เงินเดือน 50,000 ได้มายังไง แล้ววันวันทำอะไรมั่ง มาครับ...ผมจะเล่าให้ฟัง

กระทู้สนทนา
ข้อมูลพื้นฐาน
อายุ : 30 ปีกว่าๆ
สายงาน : เทคโนโลยี

* มานั่งอ่านเองอีกทีนี่ก็ยาวเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อว่าเขียนได้ยาวขนาดนี้ แต่ก็ยังอยากให้อ่านนะครับ 555
เชื่อว่าท่านจะได้แง่คิด หรือมุมมองหลายๆอย่างที่อาจจะเป็นประโยชน์ในภายหน้าครับ

เมื่อครั้งที่เริ่มทำงานใหม่ๆ ผมก็เคยสงสัยเหมือนกับหลายๆท่าน ว่าทำยังไงจะได้เงินเดือนเยอะๆ
แล้วคนที่ได้เงินเดือนเยอะๆเนี่ย วันวันเค้าทำอะไรกันมั่ง มันนึกไม่ออกเลยนะ ไม่มีภาพขึ้นมาในความคิดเลย
จนมาถึงวันนี้ ผมมาถึงจุดนี้ได้แบบงงๆและมีโชคอยู่บ้างด้วย เลยอยากจะเล่าเรื่องแชร์ให้ฟังกันครับ

ขอออกตัวก่อนเลยว่าไม่ได้มาเล่าโม้โชว์เก่งอะไร
บอกตรงๆเลยว่าตัวเลขที่ผมได้รับถ้าเทียบกับคนที่อายุเท่าๆกับ ยังอยู่ในระดับกลางๆ ของสายงานนี้เท่านั้นเองครับ

หลังเรียนจบ ผมเข้าทำงานที่แรกด้วยความคิดที่ว่า เอาวะงานอะไรก็ได้ เอาก่อนอยากได้เงินใช้แล้ว
ด้วยพื้นฐานของคนเรียนจบ IT ส่วนมาก วิชาที่เรียนที่สอนกันมาจะมีวิชาทางการเขียนโปรแกรมหลายๆภาษา
รวมทั้งตำแหน่งงานในท้องตลาดที่เปิดกว้างในสายงานนี้ด้วย พวกเราจึงมุ่งหน้าสู่เส้นทาง Programmer

เริ่มมาก็โชคดีที่ผมได้นั่งทำงานร่วมกับทีมอื่นๆหลายทีม มีโอกาสได้ไปนั่งเล่นนั่งคุยกับพี่ๆทีมอื่นอยู่เรื่อยๆ
ในช่วงเข้าปีที่ 2 ผมเริ่มรู้สึกว่าได้พบงานที่ดึงดูดและท้าทายเข้าให้แล้ว ซึ่งไม่ใช่งานProgramerที่ผมทำอยู่
ผมตัดสินใจคุยกับหัวหน้างานทันทีว่า อยากมีโอกาสเข้าไปศึกษางานของทีม SystemEngineer บ้าง
ซึ่งหัวหน้างานยิ้มและตอบผมว่ายินดี แล้วเรียกSystemEngineerมาคนนึง ฝากว่าถ้ามีงาน setup อะไรให้พาน้องไปดูด้วย

หลังจากนั้นมาผมมีโอกาสได้ร่วมสังเกตการณ์อยู่เป็นระยะๆ จนได้เป็นคำตอบที่ชัดเจนกับตัวเองว่า "ยูเรก้า!!!" นี่แหละเจอแล้ว
จนมีโอกาสได้คุยกับหัวหน้างานอีกครั้งตอนใกล้ๆจะครบปีที่2 ผมยิงคำถามตรงที่หัวหน้าผมทันทีว่าผมอยากร่วมงานกับทีมEngineer
หัวหน้าผมยิ้มและบอกว่าพี่ดูเราอยู่ ไม่ต้องบอกพี่ก็รู้ แต่...

หัวหน้าอธิบายให้ผมฟังเรื่องการจัดสรรตำแหน่งที่ได้ทำสัญญากับลูกค้าเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถโยกย้ายทีมได้ โอกาสคือยากมาก
ด้วยความที่ชีวิตชีวาในการทำงานของผมเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อได้พบแนวทางที่คิดว่าเป็นคำตอบ อธิบายง่ายๆคือ"ไฟลุก"
ผมทบทวนกับตัวเอง ผมเจอสิ่งที่ผมกำลังตามหาแล้ว แต่ผมยังไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอ พลางเปิดดูตัวเลขเงินเก็บในบัญชี

ลองคิดดูแล้ว ผมอาจจะมีทางเลือกอยู่ไม่มากเลย ที่จะทำตัวเองให้พร้อมก้าวต่อไปในเส้นทางใหม่
ผมหาซื้อหนังสือระบบที่ผมสนใจมาอ่าน หลายๆเล่มหลายๆสำนัก ผมอ่านไม่รู้เรื่อง และเริ่มพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ
ผมหักตัวเลขออกจากบัญชีทันที 10,000 บาท เพื่อแลกเปลี่ยนกับ Private Course Training ใน System ที่ผมสนใจ
และผมโชคดีอีกครั้ง พี่ที่สอนผมเขาเก่งมาก แค่ 5 วันของ Course Training ทำให้ผมมีความรู้สึกได้ว่า เหมือนจะพร้อมแล้ว
ผมเริ่มเข้าไปอ่าน Forum/Topic ต่างๆที่คุยกันในเรื่องนี้โดยตรง ก็พอคุ้นๆกับwording ได้idea แต่ก็ไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งไปซะทีเดียว
ผมพยายามหางาน System Engineer เทียมๆให้ตัวเองลองทำดู โดยการสร้างระบบจำลอง(บนVM) แล้วลองมานั่งทำงานกับมันดู
พยายามทบทวนทุกอย่างที่เรียนมา นั่งทำซ้ำๆให้จำได้ จนได้ผลลัพธ์ของระบบออกมาเป็นเหตุเป็นผลตามที่คิดไว้
นั่นเป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ถึงเวลา"หางานใหม่"

ผมลาออกตอนทำงานครบ 2 ปีพอดี เรซูเม่ที่ส่งไปล่วงหน้าได้รับการติดต่อให้ไปสัมภาษณ์อยู่เรื่อยๆ
ผมว่างงานอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ ก็ได้เริ่มต้นงานใหม่ งานที่ต้องเดินทางไกล แต่ให้โอกาสกับผู้เป็น Junior
ช่วง 3 เดือนแรก ผมรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในอุโมงค์ ที่มองไปข้างๆทางแล้วเจอสมบัติล้ำค่าวางอยู่เต็มไปหมด
คงเป็นเพราะเกือบทุกอย่างดูจะใหม่สำหรับผมด้วย มันเลยสร้างความรู้สึกว่ามีอะไรให้ผมเก็บเกี่ยวได้อีกมากมาย
ผมยอมรับว่าเหนื่อยในการเดินทางไปกลับที่ทำงาน แต่อยากให้ทุกท่านเข้าใจว่าเมื่องานมันใช่มันดึงดูดใจของผมไปแล้ว
ผมแทบไม่รู้สึกเลยว่าเรากำลังใช้แรงงานอยู่ แต่เป็นความรู้สึกในการสร้างสรรและต่อยอดอาณาจักรที่ผมออกแบบและสร้างไว้

หลังจากทำงานที่นี่ครบ 1 ปี ผมเริ่มรู้สึกว่าอยู่ดีๆแรงจูงใจมันค่อยๆลดลงเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด
จากไม่เคยเหนื่อย ก็เริ่มเหนื่อยจากการเดินทาง เริ่มมาทำงานช้า และนับวันจะมาทำงานสายออกไปเรื่อยๆ
ขณะที่ผมยังไม่รู้ถึงเหตุผลที่อยู่ดีๆไฟก็มอดลงไป ผมเริ่มสมัครงานที่ใหม่โดยเน้นที่เดินทางสะดวก
มีโอกาสได้สัมภาษณ์งานในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ผู้สัมภาษณ์บอกตรงๆว่าประทับใจผม
เค้าบอกว่าพี่อ่านResumeหลังสัมภาษณ์ พึ่งเห็นว่าทำงานมาปีเดียว น้องรู้เยอะกว่าคนในทีมพี่อีก
แต่พอผมได้เทียบตัวเลขที่แทบไม่ได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม ทำให้ตัดสินใจอยู่ที่เดิมต่อไปเพื่อรักษาประวัติ(ไม่อยากย้ายงานบ่อย)
จนผมทำงานที่นี่ได้ครบ 2 ปี มีบริษัทติดต่อมาว่าสนใจให้ไปสัมภาษณ์ นี่เป็นความโชคดีครั้งที่ครั้งสำคัญแบบดับเบิ้ลเสียด้วย

ผมเลือกปฏิเสธนัดสัมภาษณ์ไป ด้วยเหตุผลว่าที่ทำงานปัจจุบันกำลังจะทำการขึ้นระบบ version ใหม่
ผมถูกวางให้เป็น 1 ในทีมหลักของโปรเจ็คนี้ ผมได้รับโอกาสส่งให้เข้า Training ร่วมกับทีมงานหลายๆท่าน
โปรเจ็คนั้นอยู่ในระยะที่ดำเนินงานมาแล้ว ผมไม่อยากออกจากงานกลางคันแบบนี้ นี้เป็นเหตุผลหลัก
แต่เหมือนจะเขียนบทไว้แล้ว บริษัทเดิมได้ติดต่อเข้ามาอีกครั้ง โดยทาบทามว่าอยากให้ลองเข้ามาสัมภาษณ์ดูก่อน
ผมตอบตกลงโดยคาดหวังเพียงแค่อยากทราบข้อมูลว่าเขามีการใช้งานอะไรบ้าง วางระบบกันอย่างไรบ้าง
เพื่ออาจจะนำมาประยุกต์ใช้กับบริษัทปัจุบันได้ และเป็นการอัพเดทข้อมูลแนวโน้มทางเทคโนโลยีให้ตัวเองไปในตัว

การเข้ามาสัมภาษณ์งานครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดสำหรับเส้นทางการทำงานของผมเลย
ผมพบว่า บริษัทนี้ขนาดค่อนข้างใหญ่ เทียบแล้วก็ใหญ่กว่าบริษัทที่ทำอยู่พอสมควร
มีโอกาสได้สัมภาษณ์งานกับว่าที่หัวหน้าคนใหม่ชาวต่างชาติ ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ ดีที่ผมเคยสมัครเรียนภาษามาบ้าง
การดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ เป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมาก นี่เป็นความรู้สึกของการเข้ามาสัมภาษณ์งานเพียงครึ่งวัน
ผมได้รับการติดต่อกลับทั้งที่ยังไม่ทันข้ามสัปดาห์ ว่าเขาสนใจและจะขอปรับปรุงเรื่องตัวเลข
มีการต่อรองเกิดขึ้นเล็กน้อยตามปกติ พร้อมเงื่อนไขที่ผมโยนไปให้ว่า ขอเวลา 3 เดือนผมถึงจะย้ายไปร่วมงานได้
คำตอบที่ได้รับนั้นเกินคาดผมมาก ตัวเลขพบกันครึ่งทาง และเวลาที่ขอไว้ 3 เดือนนั้น เขารับได้ตามที่ขอไป
ผมรีบนำเรื่องนี้เข้าปรึกษาหัวหน้าโดยเร็ว หัวหน้าอวยพรขอให้โชคดี และขอขอบใจทุกสิ่งในตลอด 2 ปี
และตอบแทนน้ำใจด้วยการขอให้อยู่ช่วยอีกเพียงแค่ 2 เดือน ไม่อยากให้เราพลาดโอกาสนี้ไป


ผมทำงานที่ปัจจุบันมานี้ได้ 3 ปีกว่าๆ ได้รับการปรับตำแหน่ง 1 ครั้ง
ตัวเลขล่าสุดหลังได้รับการปรับขึ้นตามรอบปกติมา 2 ปีอยู่ที่ 50k ปริ่มๆ หักลบทั้งหมดทั้งมวลแล้วเหลือสุทธิเดือนละ 45k
มาว่าถึงเนื้องาน หน้าที่หลักคือ Maintenanace การทำงานของระบบเก่า, Support การสร้างระบบงานใหม่
ลงรายละเอียดก็คือการ setup infrastructure ในโปรเจ็คต่างๆทั้งหมดของทั้งบริษัทที่จะขึ้นระบบงานใหม่ในแต่ละปี
งานส่วนที่กล่าวมานี้ทั้งหมด เริ่มแรกที่ผมเข้าทำงานมีทีมงานด้วยกัน 3 คน ปัจจุบันถูกลดทอนลงเหลือแค่ 2 คน

ความยุ่งของงาน ผมขออธิบายด้วยการให้ทุกท่านจินตนาการดูว่า ที่บริษัทท่านมีระบบอะไรที่ท่านเข้าใช้งานอยู่บ้าง
ขอให้นับรวมระบบงานที่ทุกคนในบริษัทใช้งาน ทั้งหมดนี้ถ้ามีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ของผม 2 คน
แผนกไหนหรือใครต้องการสร้างระบบหรือโปรแกรมใดๆขึ้นมาใช้งาน แม้แต่ระบบเดิมที่ต้องการปรับปรุงให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่
บริษัทแม่(ต่างประเทศ) มีคำสั่งให้สร้างระบบใดขึ้นมา ให้ปรับปรุง/เปลี่ยนแปลงระบบใดๆ ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบทั้งสิ้น


ผมว่า หากท่านใดเคยถูกทีมงานของบริษัทผมว่าจ้างให้เข้าไปช่วยทำระบบได้มาอ่าน ท่านคงรู้จักผม
และจากประสบการณ์ที่เราได้ร่วมงานกันมา ท่านคงทราบว่าเรื่องที่ผมเล่ามานั้นไม่ได้เกินความจริงเลย
และท่านคงเข้าใจ และเห็นใจไปพร้อมๆกัน ถ้าผมเล่าให้ฟังว่า...
- ในหนึ่งปีผมแทบไม่ได้ลาพักร้อนเลย
- ผมลาป่วยนั่นหมายถึงผมนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน(ผ่านVPN)
- ผมต้องทำตัวเองให้อยู่ในสภาพพร้อมVPNเสมอ ไม่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัด, ไปอบรมสัมมนา, ...
  (นั่นคือ Computer Notebook คืออวัยวะชิ้นที่ 33 ไปโดยปริยาย)
- อื่นๆ ที่ไม่อยากจะกล่าวถึงอีกมากมาย

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายท่านคงสงสัยว่าผมทำงานในตำแหน่ง หรือ Level ไหน ทำงานขนาดนี้ใหญ่โตแล้วล่ะสิ
ผมลองนับดู ที่บริษัทแบ่งออกได้เป็น 8-9 Level ใหญ่ๆ ตัวผมอยู่ในระดับเริ่มแรกของ Level 3
เข้าใจง่ายๆคือ พนักงานทำงานธรรมดาทั่วไป เป็นลูกน้องชั้นล่างสุดในทีมงาน

ผมเล่ามาถึงตรงนี้ เชื่อว่าทุกท่านจะเห็นภาพพอสมควรแล้ว ใจผมอยากจะทิ้งท้ายด้วยการสรุปข้อคิดไว้เป็นข้อๆ
ก็เกรงว่าจะยาวเกินไป และเนื้อความคงอธิบายตัวเองได้หมดแล้ว แต่อาจจะยังไม่ครบถ้วนในรายละเอียดมากนัก
หากท่านใดมีคำถาม,ข้อสงสัย ชื่นชม/ติชม คำแนะนำ หรือข้อคิดเห็นใดๆก็ตาม พร้อมรับไว้ด้วยความยินดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่