คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ความเห็นส่วนตัวนะ
1.ส่วนตัวมองว่า ที่ฝรั่งชื่นชมกรีก-โรมัน
ก็เพราะ
1.1.ทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าจะทำให้ดูขลัง ดูมีเรื่องราว ดูน่าเชื่อถือ ดูน่าภาคภูมิใจ มันจะถูกวัดที่ "ระยะเวลาอันยาวนาน"
ถ้ามีคนที่มีความรู้ ความสามารถเท่า ๆ กัน แต่คนแรกมีอายุมากกว่า ส่วนคนที่สองมีอายุน้อยกว่า
คนก็มักจะเชื่อถือคนแรก มากกว่าคนที่สอง
ถ้ามีคนที่มีความร่ำรวยเท่า ๆ กัน ดูมีเกียรติมีศักดิ์ศรีพอ ๆ กัน แต่คนแรกมาจากตระกูลเศรษฐีเก่า ส่วนคนที่สองมาจากตระกูลเศรษฐีใหม่
คนก็มักจะให้ความนับถือคนแรก มากกว่าคนที่สอง
ส่วนตัวจึงมองว่า ถ้าประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวอะไรก็ตาม ที่มันดูยาวนานมาก มันก็ย่อมที่จะดูน่าภาคภูมิใจมากกว่า เรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
(ประวัติศาสตร์กรีกอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะราว ๆ 800 ปีก่อนคริสตกาล)
1.2.เรื่องราวของนครรัฐเหล่านี้ มันมีบันทึกเป็นชิ้นเป็นอันอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม และมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง
รวมไปถึงมีวัตถุ, ซากสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา ที่อยู่รอดผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในเรื่องราวของนครรัฐเหล่านี้เป็นอย่างดี
1.3.ถ้าเทียบปีค.ศ.ของนครรัฐเหล่านี้ กับนครรัฐอื่น ๆ ทั่วโลก ก็จะพบว่า พวกเขามีความเจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ มิติเป็นอย่างมาก
(อย่างตอนที่ซีซาร์ยกทัพเข้าไปในเกาะอังกฤษ (55-54 ปีก่อนคริสตกาล) ยุคนั้น ทหารโรมันยังไม่ค่อยอยากจะข้ามช่องแคบอังกฤษเลย เพราะมองว่านั่นคือสุดขอบโลกแล้ว พอไปถึงเกาะอังกฤษ เกาะอังกฤษถือว่าเป็นดินแดนที่ห่างไกลความเจริญถึงขีดสุดและมีสภาพที่เต็มไปด้วยป่าอยู่เลย แต่ถ้าใครไปยึดที่เกาะอังกฤษได้ จะได้ชื่อว่า เข้าไปครอบครองถึงสุดขอบโลก และจะได้รับชื่อเสียง, เกียรติยศไป)
1.4."ราก" ของความคิดแบบกรีก-โรมัน มันมีอิทธิพลต่อแนวคิดของตะวันตกเยอะมาก และเป็นรากฐานของความก้าวหน้าของพวกเขาในปัจจุบัน
เริ่มแรก กรีกรุ่งเรืองขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นกรีกก็เริ่มตกต่ำลง
เหมือนอย่างที่นักคิดเคยกล่าวไว้ว่า
"ปรัชญาจะงอกงามดี ตอนที่อารยธรรมนั้นร่วงโรย...
เมื่อคนเราสิ้นหวังในการแสวงหาโชคทางวัตถุด้วยกาย เขาก็มักกลับไปหาธุรกิจของจิตใจ...
เมื่ออาณาจักรล่ม ปรัชญาก็เริ่ม"
(จากหนังสือ ประวัติและลัทธิของปวงปรัชญาเมธี)
แนวคิดแบบกรีกก็เบ่งบานเยอะมาก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน กรีกก็เริ่มอ่อนอิทธิพลลงไป (ปิดฉากความรุ่งเรืองด้วยอเล็กซานเดอร์ คนมาซิโดเนียเข้ารุกรานกรีก และทำสงครามทำลายล้างไปทั่ว ลากยาวไปจนถึงอินเดีย (นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมวัฒนธรรมการปั้นรูปปั้นที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์ถึงถูกแพร่กระจายจากกรีกมายังอินเดีย มันเป็นเพราะอเล็กซานเดอร์และเหล่าขุนพลที่รุกรานและเข้าไปยึดครองเมืองต่าง ๆ ทางตะวันออก ได้นำพาวัฒนธรรมกรีกเหล่านี้เข้ามาด้วย)) และหลังจากยุคอเล็กซานเดอร์สิ้นชีวิต โรมันก็ค่อย ๆ รุ่งเรืองขึ้นมาแทน
โรมันก็ได้รับแนวคิดกรีกบางส่วนไปใช้ต่ออีกที และก็เริ่มการสร้างแนวคิดแบบโรมันขึ้นมา
โรมันได้ขยายอาณาเขตของตนเองออกไปเยอะมาก และไปตั้งอาณานิคมที่อยู่อย่างยั่งยืนได้ในพื้นที่ต่าง ๆ
ที่ไหนที่โรมไปอาศัยอยู่ ที่นั่นก็จะมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมโรมัน แฝงซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ ไม่มากก็น้อย (และผู้อพยพของชาติเหล่านี้ ที่อพยพไปตั้งรกรากที่อื่น ก็ได้นำพากลิ่นอายของวัฒนธรรมโรมันติดตัวไปด้วย (ยกเว้นในบริเตน อาณานิคมโรมันที่อยู่ในอังกฤษ (และในภายหลังกองทัพโรมันต้องยกทัพกลับ เพื่อไปช่วยประเทศแม่) ได้ถูกเหล่าคนเถื่อนเข้ารุกราน ซึ่งเหล่าคนเถื่อนนี้ไม่รู้หนังสือเลย ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นล่าง ทำให้วัฒนธรรมโรมันจึงไม่ค่อยมีผลอะไรมาก))
แต่พอกาลเวลาผ่านไปนานมาก จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็เริ่มเน่าในด้วยตัวของมันเอง และเริ่มถูกคนเถื่อนเข้ารุกรานอย่างหนักและต่อเนื่อง จนโรมันตะวันตก (โรมที่ 1) ล่มสลายไป ความรู้จำนวนมากก็สูญหายไป
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดกรีก-โรมันหลาย ๆ อย่าง ได้ถูกนักคิดขนย้ายไปยังจักรวรรดิโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) และนักคิดชาวอาหรับบางส่วนก็ได้แปลหนังสือ และขนย้ายแนวคิดเหล่านี้เข้าไปในโลกของมุสลิม
ต่อมา ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น
-กรุงคอนสแตนติโนเปิลแตก (โรมที่ 2) จากการที่ถูกออตโตมันโจมตีอย่างยาวนาน
พวกนักวิชาการเชื้อสายกรีกก็ได้หิ้วหนังสือวิชาการโบราณติดตัวมาด้วย และอพยพทั้งตนเองและหนังสือเข้าไปในเขตอิตาลี
-ศาสนาเริ่มเสื่อมอำนาจลง (ยุคก่อนหน้านั้นพระสันตะปาปาเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ มีอิทธิพลในการเมืองทางโลกเยอะมาก) รัฐฆราวาสเริ่มมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น
-นครรัฐต่าง ๆ ในอิตาลีร่ำรวยขึ้นเป็นอย่างมาก จากการที่ประเทศต่าง ๆ เดินทางไปทำสงครามครูเสด พ่อค้าคนกลางในนครรัฐที่อยู่ในเขตอิตาลี จึงได้เป็นนายหน้าจัดหาสิ่งของให้ (ยุคนั้น อิตาลียังไม่ได้เป็นประเทศ เป็นเมืองอิสระที่ชอบตีกันเองอยู่รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ) + ช่วงนั้น ธุรกิจรับซื้อของจากเอเชีย ไปขายในยุโรปได้กำไรงาม
พวกเศรษฐีในนครรัฐต่าง ๆ ในเขตอิตาลีในยุคนั้น จึงร่ำรวยขึ้น ศาสตร์การธนาคารก็รุ่งเรืองขึ้นในเขตนี้
เหล่าเศรษฐีชาวอิตาเลียน ก็เริ่มมีการอุปถัมภ์ นักคิด, ศิลปินต่าง ๆ มากมาย
(เมื่อคนอิ่มท้อง เขาจึงมีเวลาไปคิดทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การแสวงหาอาหารได้)
แถมเศรษฐีอิตาลีมีกำลังทรัพย์มากพอ และมีรสนิยมชื่นชอบในการสะสมหนังสือเอาไว้ด้วย มันจึงกลายเป็นห้องสมุดให้เหล่านักคิดภายใต้การอุปถัมภ์เข้าถึงได้
ฯลฯ
นักคิดต่าง ๆ ในอิตาลี พอได้ไปเจอแนวคิดโบราณเข้า ก็เลยเกิดความสนใจ
จากนั้นก็เริ่มมีผู้นำหนังสือความรู้กรีก-โรมันโบราณที่อยู่ในภาษาอาหรับมาทำการแปลใหม่อีกด้วย (บางเล่มก็มีการดูฉบับภาษาละตินควบคู่กันไปด้วย)
กลายเป็นการขุดความรู้โบราณขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูและต่อยอด ในทุก ๆ ด้าน
จากนั้น นักคิดต่าง ๆ ก็พยายามจะสลัดแนวคิดแบบนิยมศาสนา (ยุคก่อนหน้านี้เป็นยุครัฐศาสนา)
เปลี่ยนมาเป็นแนวคิดแบบมนุษยนิยม
แนวคิดแบบกรีก-โรมัน จึงมีอิทธิพลเยอะมาก ๆ ต่อแนวคิดของตะวันตก
เมื่อแท่นพิมพ์ของกูเตนเบิร์กถูกประดิษฐ์ขึ้นมาและได้รับการยอมรับจากสังคม
ความรู้แบบมนุษยนิยมเหล่านี้ จึงมีต้นทุนในการแพร่กระจายที่ต่ำลงเป็นอย่างมาก
หนังสือจึงมีราคาถูกลงและถูกแพร่กระจายไปทั่วยุโรป
"แนวคิดทุกแนวคิด ต้องถูกตรวจสอบ"
แนวคิดต่าง ๆ ของกรีก-โรมันเอง มันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่อย่างใด
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ค่ายแนวคิดมันจะมีเหตุผลสอดคล้องกันเองเป็นอย่างดีในตัวมัน
ในหลาย ๆ ครั้ง แนวคิดที่ดูยอดเยี่ยมลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อของอริสโตเติล กลับเป็นตัวฉุดรั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดต่าง ๆ ของกรีก-โรมัน มันได้ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
เพราะ พอคนหนึ่งตั้งปรัชญาอะไรซักค่ายหนึ่งขึ้นมา (เหตุผลที่สอดคล้องกันเป็นชุด)
มันก็จะมีคน ที่จะสร้างแนวคิดที่จะไปส่งเสริม
และมันก็จะมีอีกคน ที่จะไปสร้างแนวคิดที่เป็นขั้วตรงกันข้าม
แตกออกมาเป็นค่ายแนวคิดสารพัดค่ายเต็มไปหมด คานซึ่งกันและกันเอง
(และนักคิด นักปรัชญา นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ มักจะเป็นผู้ที่สามารถรื้อถอดแนวคิดของค่ายต่าง ๆ เหล่านี้ จากนั้น ตัดทิ้งบางส่วนที่ดูเพ้อเจ้อออกไป แล้วนำแต่แนวคิดส่วนที่ดีของแต่ละค่าย ไปสร้างเป็นปรัชญาแบบใหม่ หรือประยุกต์ปรับปรุงให้มันดียิ่งขึ้นกว่าเดิม)
ทางกรีกจะเน้นความสมบูรณ์แบบในอุดมคติ
ทางโรมันจะเน้นการใช้งานในทางปฏิบัติ
ค่ายแรกเฟื่องฟูในภาคพื้นทวีปยุโรป
ค่ายหลังเฟื่องฟูในเกาะอังกฤษ
ท้ายที่สุด สองค่ายนี้ก็แลกเปลี่ยนแนวคิดซึ่งกันและกันต่อไปอีก
สิ่งที่น่าจะมีผลต่อโลกมากที่สุดคือ การรุ่งเรืองของแนวคิดแบบ "มนุษยนิยม (humanism)" ซึ่งจะกลายเป็นแรงส่ง ทำให้เกิดปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากกว่าที่จะไปเกี่ยวข้องกับพระเจ้า
ในแง่ของการเมือง การรุ่งเรืองของแนวคิดแบบมนุษยนิยมนี้ มันได้นำพาไปสู่การรุ่งเรืองขึ้นของปรัชญาการเมืองแบบสัจนิยม (realism) ซึ่งมันก็ส่งผลที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นก็คือ มันได้เกิดแขนงปรัชญาขั้วตรงกันข้ามที่แตกออกมาจากตัวมันอีกที นั่นก็คือ เสรีนิยม (liberalism) ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ได้ถูกบิดาผู้ก่อตั้งอเมริกา นำไปประยุกต์ใช้ต่ออีกที
(ซึ่งถ้าเราแกะรากมันลงไป มันก็จะไล่ย้อนกลับไปได้ถึงแนวคิดแบบกรีก-โรมัน ที่มีการผสมแนวคิดแบบเยอรมัน, คริสเตียน, ยุคกลาง)
ในแง่ของวิทยาการ การรุ่งเรืองของแนวคิดแบบมนุษยนิยมนี้ มันได้นำพาไปสู่การรุ่งเรืองขึ้นของ "ปรัชญาแบบประสบการณ์นิยม (empiricism)" ควบคู่ไปกับ "การปฏิวัติวิทยาศาสตร์" ที่จะกลายเป็นรากฐานของ "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" และมีความเจริญก้าวหน้าแซงชาติอื่น ๆ ไปแบบไม่ทิ้งฝุ่น
(แน่นอนว่า ถ้าเราแกะรากมันลงไป มันก็จะไล่ย้อนกลับไปได้ถึงแนวคิดแบบกรีก-โรมัน ที่มีการผสมแนวคิดแบบเยอรมัน, คริสเตียน, ยุคกลาง อีกเช่นกัน)
1.5.ผู้มีอำนาจชาวตะวันตก มีความชื่นชอบในโรมัน ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
แทบจะทุกยุคทุกสมัย กษัตริย์ชาวยุโรปก็ยังจดจำโรมันในฐานะจักรวรรดิอันยิ่งใหญ๋
เพราะถึงแม้โรมันจะล่มสลายลงไปแล้ว แต่ซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะในตัวเมืองในเขตโรมันเอง หรือ ตัวเมืองในเขตอาณานิคมต่าง ๆ ของโรมัน ก็ยังปรากฎให้เห็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองอย่างมหาศาลทางวัตถุอยู่
รวมไปถึงยังมีบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการตกค้างมาส่วนหนึ่งด้วย
เราจะเห็นได้ว่า
พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Charlemagne) กษัตริย์ชาวแฟรงก์ ก็ยังยินดีที่จะได้รับการสถาปนาจากพระสันตะปาปาเป็น "จักรพรรดิของชาวโรมัน" (Emperor of The Romans) ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าชาร์เลอมาญไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางตรงกับโรมันเลย
(พระสันตะปาปาในฝั่งตะวันตกต้องการคานอำนาจกับพระสันตะปาปาในนิกายโรมันตะวันออก ที่ได้รับการหนุนหลังโดยจักรพรรดิแห่งโรมันตะวันออก จึงหาพรรคพวกแล้วแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิของชาวโรมัน ในฝั่งตะวันตกบ้าง ส่วนพระเจ้าชาร์เลอมาญก็ได้รับการขนานนามที่น่าภาคภูมิใจนี้)
หรืออย่างกษัตรย์ในยุคหลังจากนั้น (ราว ๆ ศตวรรษที่ 13) ก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาเป็น จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Emperor)
(ต้องลากโรมันเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่าจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงเลยก็ตาม)
แม้แต่ซาร์ของรัสเซีย
ก็ยังมีรากมาจากคำว่า ซีซาร์ของโรมันเลย มันเป็นคำที่ทรงพลัง เพราะมันแปลว่า มีอำนาจเท่ากับจักรพรรดิแห่งโรมัน (แม้ว่ากษัตริย์ยุโรปชาติอื่นจะไม่ยอมรับก็ตาม)
ซาร์อีวานที่ 3 แห่งรัสเซีย (ผู้รวบรวมแผ่นดินรัสเซียได้สำเร็จ) ที่แต่งงานกับหลานสาวของประมุขไบแซนไทน์ ยังเคลมหลังจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลแตก (โรมที่ 2) ว่า อาณาจักรของตนเอง เป็นอาณาจักรโรมันที่ 3 เลย (โรมที่ 3)
แม้แต่ในยุคกลาง, หลังยุคกลาง เราก็ยังพบเห็นสัญลักษณ์นกอินทรีกันได้ทั่วไป
เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ให้ระลึกถึงโรม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
(เช่น อเมริกา มีสัญลักษณ์ตัวนี้ เพื่อระลึกถึงสาธารณรัฐโรมัน)
1.ส่วนตัวมองว่า ที่ฝรั่งชื่นชมกรีก-โรมัน
ก็เพราะ
1.1.ทุกอย่างในโลกนี้ ถ้าจะทำให้ดูขลัง ดูมีเรื่องราว ดูน่าเชื่อถือ ดูน่าภาคภูมิใจ มันจะถูกวัดที่ "ระยะเวลาอันยาวนาน"
ถ้ามีคนที่มีความรู้ ความสามารถเท่า ๆ กัน แต่คนแรกมีอายุมากกว่า ส่วนคนที่สองมีอายุน้อยกว่า
คนก็มักจะเชื่อถือคนแรก มากกว่าคนที่สอง
ถ้ามีคนที่มีความร่ำรวยเท่า ๆ กัน ดูมีเกียรติมีศักดิ์ศรีพอ ๆ กัน แต่คนแรกมาจากตระกูลเศรษฐีเก่า ส่วนคนที่สองมาจากตระกูลเศรษฐีใหม่
คนก็มักจะให้ความนับถือคนแรก มากกว่าคนที่สอง
ส่วนตัวจึงมองว่า ถ้าประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวอะไรก็ตาม ที่มันดูยาวนานมาก มันก็ย่อมที่จะดูน่าภาคภูมิใจมากกว่า เรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน
(ประวัติศาสตร์กรีกอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะราว ๆ 800 ปีก่อนคริสตกาล)
1.2.เรื่องราวของนครรัฐเหล่านี้ มันมีบันทึกเป็นชิ้นเป็นอันอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม และมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง
รวมไปถึงมีวัตถุ, ซากสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมา ที่อยู่รอดผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในเรื่องราวของนครรัฐเหล่านี้เป็นอย่างดี
1.3.ถ้าเทียบปีค.ศ.ของนครรัฐเหล่านี้ กับนครรัฐอื่น ๆ ทั่วโลก ก็จะพบว่า พวกเขามีความเจริญก้าวหน้าในหลาย ๆ มิติเป็นอย่างมาก
(อย่างตอนที่ซีซาร์ยกทัพเข้าไปในเกาะอังกฤษ (55-54 ปีก่อนคริสตกาล) ยุคนั้น ทหารโรมันยังไม่ค่อยอยากจะข้ามช่องแคบอังกฤษเลย เพราะมองว่านั่นคือสุดขอบโลกแล้ว พอไปถึงเกาะอังกฤษ เกาะอังกฤษถือว่าเป็นดินแดนที่ห่างไกลความเจริญถึงขีดสุดและมีสภาพที่เต็มไปด้วยป่าอยู่เลย แต่ถ้าใครไปยึดที่เกาะอังกฤษได้ จะได้ชื่อว่า เข้าไปครอบครองถึงสุดขอบโลก และจะได้รับชื่อเสียง, เกียรติยศไป)
1.4."ราก" ของความคิดแบบกรีก-โรมัน มันมีอิทธิพลต่อแนวคิดของตะวันตกเยอะมาก และเป็นรากฐานของความก้าวหน้าของพวกเขาในปัจจุบัน
เริ่มแรก กรีกรุ่งเรืองขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นกรีกก็เริ่มตกต่ำลง
เหมือนอย่างที่นักคิดเคยกล่าวไว้ว่า
"ปรัชญาจะงอกงามดี ตอนที่อารยธรรมนั้นร่วงโรย...
เมื่อคนเราสิ้นหวังในการแสวงหาโชคทางวัตถุด้วยกาย เขาก็มักกลับไปหาธุรกิจของจิตใจ...
เมื่ออาณาจักรล่ม ปรัชญาก็เริ่ม"
(จากหนังสือ ประวัติและลัทธิของปวงปรัชญาเมธี)
แนวคิดแบบกรีกก็เบ่งบานเยอะมาก ๆ หลังจากนั้นไม่นาน กรีกก็เริ่มอ่อนอิทธิพลลงไป (ปิดฉากความรุ่งเรืองด้วยอเล็กซานเดอร์ คนมาซิโดเนียเข้ารุกรานกรีก และทำสงครามทำลายล้างไปทั่ว ลากยาวไปจนถึงอินเดีย (นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมวัฒนธรรมการปั้นรูปปั้นที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์ถึงถูกแพร่กระจายจากกรีกมายังอินเดีย มันเป็นเพราะอเล็กซานเดอร์และเหล่าขุนพลที่รุกรานและเข้าไปยึดครองเมืองต่าง ๆ ทางตะวันออก ได้นำพาวัฒนธรรมกรีกเหล่านี้เข้ามาด้วย)) และหลังจากยุคอเล็กซานเดอร์สิ้นชีวิต โรมันก็ค่อย ๆ รุ่งเรืองขึ้นมาแทน
โรมันก็ได้รับแนวคิดกรีกบางส่วนไปใช้ต่ออีกที และก็เริ่มการสร้างแนวคิดแบบโรมันขึ้นมา
โรมันได้ขยายอาณาเขตของตนเองออกไปเยอะมาก และไปตั้งอาณานิคมที่อยู่อย่างยั่งยืนได้ในพื้นที่ต่าง ๆ
ที่ไหนที่โรมไปอาศัยอยู่ ที่นั่นก็จะมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมโรมัน แฝงซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมของชาตินั้น ๆ ไม่มากก็น้อย (และผู้อพยพของชาติเหล่านี้ ที่อพยพไปตั้งรกรากที่อื่น ก็ได้นำพากลิ่นอายของวัฒนธรรมโรมันติดตัวไปด้วย (ยกเว้นในบริเตน อาณานิคมโรมันที่อยู่ในอังกฤษ (และในภายหลังกองทัพโรมันต้องยกทัพกลับ เพื่อไปช่วยประเทศแม่) ได้ถูกเหล่าคนเถื่อนเข้ารุกราน ซึ่งเหล่าคนเถื่อนนี้ไม่รู้หนังสือเลย ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือชนชั้นล่าง ทำให้วัฒนธรรมโรมันจึงไม่ค่อยมีผลอะไรมาก))
แต่พอกาลเวลาผ่านไปนานมาก จักรวรรดิโรมันตะวันตกก็เริ่มเน่าในด้วยตัวของมันเอง และเริ่มถูกคนเถื่อนเข้ารุกรานอย่างหนักและต่อเนื่อง จนโรมันตะวันตก (โรมที่ 1) ล่มสลายไป ความรู้จำนวนมากก็สูญหายไป
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดกรีก-โรมันหลาย ๆ อย่าง ได้ถูกนักคิดขนย้ายไปยังจักรวรรดิโรมันตะวันออก (ไบแซนไทน์) และนักคิดชาวอาหรับบางส่วนก็ได้แปลหนังสือ และขนย้ายแนวคิดเหล่านี้เข้าไปในโลกของมุสลิม
ต่อมา ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
มีเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์เกิดขึ้น เช่น
-กรุงคอนสแตนติโนเปิลแตก (โรมที่ 2) จากการที่ถูกออตโตมันโจมตีอย่างยาวนาน
พวกนักวิชาการเชื้อสายกรีกก็ได้หิ้วหนังสือวิชาการโบราณติดตัวมาด้วย และอพยพทั้งตนเองและหนังสือเข้าไปในเขตอิตาลี
-ศาสนาเริ่มเสื่อมอำนาจลง (ยุคก่อนหน้านั้นพระสันตะปาปาเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ มีอิทธิพลในการเมืองทางโลกเยอะมาก) รัฐฆราวาสเริ่มมีอำนาจเพิ่มมากขึ้น
-นครรัฐต่าง ๆ ในอิตาลีร่ำรวยขึ้นเป็นอย่างมาก จากการที่ประเทศต่าง ๆ เดินทางไปทำสงครามครูเสด พ่อค้าคนกลางในนครรัฐที่อยู่ในเขตอิตาลี จึงได้เป็นนายหน้าจัดหาสิ่งของให้ (ยุคนั้น อิตาลียังไม่ได้เป็นประเทศ เป็นเมืองอิสระที่ชอบตีกันเองอยู่รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ) + ช่วงนั้น ธุรกิจรับซื้อของจากเอเชีย ไปขายในยุโรปได้กำไรงาม
พวกเศรษฐีในนครรัฐต่าง ๆ ในเขตอิตาลีในยุคนั้น จึงร่ำรวยขึ้น ศาสตร์การธนาคารก็รุ่งเรืองขึ้นในเขตนี้
เหล่าเศรษฐีชาวอิตาเลียน ก็เริ่มมีการอุปถัมภ์ นักคิด, ศิลปินต่าง ๆ มากมาย
(เมื่อคนอิ่มท้อง เขาจึงมีเวลาไปคิดทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การแสวงหาอาหารได้)
แถมเศรษฐีอิตาลีมีกำลังทรัพย์มากพอ และมีรสนิยมชื่นชอบในการสะสมหนังสือเอาไว้ด้วย มันจึงกลายเป็นห้องสมุดให้เหล่านักคิดภายใต้การอุปถัมภ์เข้าถึงได้
ฯลฯ
นักคิดต่าง ๆ ในอิตาลี พอได้ไปเจอแนวคิดโบราณเข้า ก็เลยเกิดความสนใจ
จากนั้นก็เริ่มมีผู้นำหนังสือความรู้กรีก-โรมันโบราณที่อยู่ในภาษาอาหรับมาทำการแปลใหม่อีกด้วย (บางเล่มก็มีการดูฉบับภาษาละตินควบคู่กันไปด้วย)
กลายเป็นการขุดความรู้โบราณขึ้นมาเพื่อฟื้นฟูและต่อยอด ในทุก ๆ ด้าน
จากนั้น นักคิดต่าง ๆ ก็พยายามจะสลัดแนวคิดแบบนิยมศาสนา (ยุคก่อนหน้านี้เป็นยุครัฐศาสนา)
เปลี่ยนมาเป็นแนวคิดแบบมนุษยนิยม
แนวคิดแบบกรีก-โรมัน จึงมีอิทธิพลเยอะมาก ๆ ต่อแนวคิดของตะวันตก
เมื่อแท่นพิมพ์ของกูเตนเบิร์กถูกประดิษฐ์ขึ้นมาและได้รับการยอมรับจากสังคม
ความรู้แบบมนุษยนิยมเหล่านี้ จึงมีต้นทุนในการแพร่กระจายที่ต่ำลงเป็นอย่างมาก
หนังสือจึงมีราคาถูกลงและถูกแพร่กระจายไปทั่วยุโรป
"แนวคิดทุกแนวคิด ต้องถูกตรวจสอบ"
แนวคิดต่าง ๆ ของกรีก-โรมันเอง มันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่อย่างใด
แต่ส่วนใหญ่แล้ว ค่ายแนวคิดมันจะมีเหตุผลสอดคล้องกันเองเป็นอย่างดีในตัวมัน
ในหลาย ๆ ครั้ง แนวคิดที่ดูยอดเยี่ยมลื่นไหลอย่างเหลือเชื่อของอริสโตเติล กลับเป็นตัวฉุดรั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดต่าง ๆ ของกรีก-โรมัน มันได้ก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
เพราะ พอคนหนึ่งตั้งปรัชญาอะไรซักค่ายหนึ่งขึ้นมา (เหตุผลที่สอดคล้องกันเป็นชุด)
มันก็จะมีคน ที่จะสร้างแนวคิดที่จะไปส่งเสริม
และมันก็จะมีอีกคน ที่จะไปสร้างแนวคิดที่เป็นขั้วตรงกันข้าม
แตกออกมาเป็นค่ายแนวคิดสารพัดค่ายเต็มไปหมด คานซึ่งกันและกันเอง
(และนักคิด นักปรัชญา นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ มักจะเป็นผู้ที่สามารถรื้อถอดแนวคิดของค่ายต่าง ๆ เหล่านี้ จากนั้น ตัดทิ้งบางส่วนที่ดูเพ้อเจ้อออกไป แล้วนำแต่แนวคิดส่วนที่ดีของแต่ละค่าย ไปสร้างเป็นปรัชญาแบบใหม่ หรือประยุกต์ปรับปรุงให้มันดียิ่งขึ้นกว่าเดิม)
ทางกรีกจะเน้นความสมบูรณ์แบบในอุดมคติ
ทางโรมันจะเน้นการใช้งานในทางปฏิบัติ
ค่ายแรกเฟื่องฟูในภาคพื้นทวีปยุโรป
ค่ายหลังเฟื่องฟูในเกาะอังกฤษ
ท้ายที่สุด สองค่ายนี้ก็แลกเปลี่ยนแนวคิดซึ่งกันและกันต่อไปอีก
สิ่งที่น่าจะมีผลต่อโลกมากที่สุดคือ การรุ่งเรืองของแนวคิดแบบ "มนุษยนิยม (humanism)" ซึ่งจะกลายเป็นแรงส่ง ทำให้เกิดปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากกว่าที่จะไปเกี่ยวข้องกับพระเจ้า
ในแง่ของการเมือง การรุ่งเรืองของแนวคิดแบบมนุษยนิยมนี้ มันได้นำพาไปสู่การรุ่งเรืองขึ้นของปรัชญาการเมืองแบบสัจนิยม (realism) ซึ่งมันก็ส่งผลที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นก็คือ มันได้เกิดแขนงปรัชญาขั้วตรงกันข้ามที่แตกออกมาจากตัวมันอีกที นั่นก็คือ เสรีนิยม (liberalism) ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ได้ถูกบิดาผู้ก่อตั้งอเมริกา นำไปประยุกต์ใช้ต่ออีกที
(ซึ่งถ้าเราแกะรากมันลงไป มันก็จะไล่ย้อนกลับไปได้ถึงแนวคิดแบบกรีก-โรมัน ที่มีการผสมแนวคิดแบบเยอรมัน, คริสเตียน, ยุคกลาง)
ในแง่ของวิทยาการ การรุ่งเรืองของแนวคิดแบบมนุษยนิยมนี้ มันได้นำพาไปสู่การรุ่งเรืองขึ้นของ "ปรัชญาแบบประสบการณ์นิยม (empiricism)" ควบคู่ไปกับ "การปฏิวัติวิทยาศาสตร์" ที่จะกลายเป็นรากฐานของ "การปฏิวัติอุตสาหกรรม" และมีความเจริญก้าวหน้าแซงชาติอื่น ๆ ไปแบบไม่ทิ้งฝุ่น
(แน่นอนว่า ถ้าเราแกะรากมันลงไป มันก็จะไล่ย้อนกลับไปได้ถึงแนวคิดแบบกรีก-โรมัน ที่มีการผสมแนวคิดแบบเยอรมัน, คริสเตียน, ยุคกลาง อีกเช่นกัน)
1.5.ผู้มีอำนาจชาวตะวันตก มีความชื่นชอบในโรมัน ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
แทบจะทุกยุคทุกสมัย กษัตริย์ชาวยุโรปก็ยังจดจำโรมันในฐานะจักรวรรดิอันยิ่งใหญ๋
เพราะถึงแม้โรมันจะล่มสลายลงไปแล้ว แต่ซากปรักหักพังอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะในตัวเมืองในเขตโรมันเอง หรือ ตัวเมืองในเขตอาณานิคมต่าง ๆ ของโรมัน ก็ยังปรากฎให้เห็นร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองอย่างมหาศาลทางวัตถุอยู่
รวมไปถึงยังมีบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่ดูยิ่งใหญ่อลังการตกค้างมาส่วนหนึ่งด้วย
เราจะเห็นได้ว่า
พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Charlemagne) กษัตริย์ชาวแฟรงก์ ก็ยังยินดีที่จะได้รับการสถาปนาจากพระสันตะปาปาเป็น "จักรพรรดิของชาวโรมัน" (Emperor of The Romans) ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าชาร์เลอมาญไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันทางตรงกับโรมันเลย
(พระสันตะปาปาในฝั่งตะวันตกต้องการคานอำนาจกับพระสันตะปาปาในนิกายโรมันตะวันออก ที่ได้รับการหนุนหลังโดยจักรพรรดิแห่งโรมันตะวันออก จึงหาพรรคพวกแล้วแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดิของชาวโรมัน ในฝั่งตะวันตกบ้าง ส่วนพระเจ้าชาร์เลอมาญก็ได้รับการขนานนามที่น่าภาคภูมิใจนี้)
หรืออย่างกษัตรย์ในยุคหลังจากนั้น (ราว ๆ ศตวรรษที่ 13) ก็ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาเป็น จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Emperor)
(ต้องลากโรมันเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่าจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันโดยตรงเลยก็ตาม)
แม้แต่ซาร์ของรัสเซีย
ก็ยังมีรากมาจากคำว่า ซีซาร์ของโรมันเลย มันเป็นคำที่ทรงพลัง เพราะมันแปลว่า มีอำนาจเท่ากับจักรพรรดิแห่งโรมัน (แม้ว่ากษัตริย์ยุโรปชาติอื่นจะไม่ยอมรับก็ตาม)
ซาร์อีวานที่ 3 แห่งรัสเซีย (ผู้รวบรวมแผ่นดินรัสเซียได้สำเร็จ) ที่แต่งงานกับหลานสาวของประมุขไบแซนไทน์ ยังเคลมหลังจากกรุงคอนสแตนติโนเปิลแตก (โรมที่ 2) ว่า อาณาจักรของตนเอง เป็นอาณาจักรโรมันที่ 3 เลย (โรมที่ 3)
แม้แต่ในยุคกลาง, หลังยุคกลาง เราก็ยังพบเห็นสัญลักษณ์นกอินทรีกันได้ทั่วไป
เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ให้ระลึกถึงโรม ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
(เช่น อเมริกา มีสัญลักษณ์ตัวนี้ เพื่อระลึกถึงสาธารณรัฐโรมัน)
แสดงความคิดเห็น
ทำไมฝรั่งดูจะภูมิใจ หลงไหล ชื่นชมในยุคกรีก-โรมันมากกว่ายุคอื่นๆเพราะอะไร เพราะยุคพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกไปถึงอินเดีย?
2คุณคิดว่ายุโรปยุคไหนมีเสน่ห์ พัฒนาได้รวดเร็วมากที่สุด ยุคกรีก โรมัน ยุคกลาง ยุคฟื้นฟูศิลปะ ศตวรรษที่19 20 หรือยุคปัจจุบัน?
3.ตุรกีเคยเป็นของกรีกโบราณมาก่อนใช่ไหม เพราะเมืองทรอยอยู่ในตุรกีปัจจุบัน แต่ตอนหลังค่อยถูกมุสลิมยึด