สามก๊กฉบับลายคราม ๒๓ พ.ย.๕๙

สามก๊กฉบับลายคราม   
                                                                                                         
ผู้พิชิตสามก๊ก

ตอนที่ ๑๑ ฮ่องเต้ใจเด็ด                                                                                                

   เล่าเซี่ยงชุน
  
        สุมาเจียวก็ยกกองทัพพลยี่สิบหกหมื่น พาพระเจ้าโจมอและนางกวยไทเฮา เสด็จไปปราบปรามจูกัดเอี๋ยนซึ่งเป็นขบถ ที่เมืองห้วยหลำ การศึกครั้งนี้เมืองกังตั๋งส่งทหารมาช่วย                   จูกัดเอี๋ยนรบด้วย แต่สุดท้ายสุมาเจียวก็ได้ชัยชนะ ตัวจูกัดเอี๋ยนตายในที่รบ

        เมื่อเกียงอุยแม่ทัพของจ๊กก๊กรู้ข่าว การสู้รบปราบขบถภายในวุยก๊ก ก็ยกกองทัพ มาตีเมืองเตียงเสีย แต่เตงงายแม่ทัพของวุยก๊กก็สามารถต้านทานไว้ได้ เกียงอุยต้องถอนทัพกลับไปเมืองเสฉวน เตงงายก็คิดจะยกทัพไปตีแคว้นจ๊กก๊กบ้าง

        ขณะนั้นสุมาเจียวยกกองทัพพาพระเจ้าโจมอและนางกวยไทเฮา กลับมาที่เมือง        ลกเอี๋ยงแล้ว  เมื่อเตงงายทำเรื่องราวแจ้งว่าจะยกทัพไปตีเมืองเสฉวน สุมาเจียวก็เห็นชอบด้วย แต่แกฉงทักท้วงว่า เวลานี้พระเจ้าโจมอไม่ไว้วางใจอยู่  การที่สุมาเจียวจะยกทัพไปนั้นเห็นจะขัดสน        สุมาเจียวจึงรอไว้ตามคำของแกฉง

        ถึง พ.ศ.๘๐๓ พระเจ้าโจมอครองราชสมบัติมาได้ห้าปี สุมาเจียวกับแกฉงก็คิดประทุษร้ายต่อพระเจ้าโจมอ จึงถือกระบี่เข้าไปเฝ้า และพูดข่มขู่ฮ่องเต้ในที่เสด็จออกว่าราชการ ต่อหน้าขุนนางผู้น้อยผู้ใหญ่ทั้งปวง อย่างไม่เคารพยำเกรง แล้วก็ออกจากที่เฝ้ากลับมาบ้าน

        อีกไม่ช้าก็มีขุนนางสองคนมาหาสุมาเจียว แจ้งเนื้อความว่าฮ่องเต้มีรับสั่งให้พวกตนเข้าเฝ้าในที่ข้างใน แล้วปรึกษาว่าสุมาเจียวบังอาจทำหยาบช้า จะเป็นขบถชิงราชสมบัติพระองค์จึงตรัสว่า

        “...........ซึ่งสุมาเจียวทำหยาบช้าฉะนี้ เราน้อยใจนัก ถึงมาตรว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่เราจะทำการให้หายแค้นจงได้.............”

        แล้วพระเจ้าโจมอก็จะยกทหารมากำจัดสุมาเจียวด้วยพระองค์เอง สุมาเจียวก็ให้แกฉงกับเซงจุยและเซงเจทหารเอกสองพี่น้อง คุมทหารพันหนึ่งไปตั้งรับ เมื่อพระเจ้าโจมอถือกระบี่ขึ้นรถทรง นำทหารรักษาพระองค์สามร้อยเศษ ยกออกจากประตูวัง ก็เจอทหารของแกฉงยกเข้า  โจมตีทันที ฮ่องเต้ก็จับกระบี่ขึ้นกวัดแกว่ง แล้วร้องว่า

        “...........ตัวเราเป็นกษัตริย์ อ้ายเหล่านี้ทำบังอาจหักหาญเข้ามา จะทำร้ายเราหรือ..........”

        ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็ชะงักอยู่ไม่อาจบุกเข้าไปจับพระองค์ได้  แกฉงจึงว่ากับเซงเจว่า

        “.........ซึ่งมหาอุปราชชุบเลี้ยงตัวมา ก็ประสงค์ด้วยการเท่านี้ บัดนี้ได้ท่วงทีอยู่แล้ว เหตุไฉนนิ่งเสียไม่เร่งทำการ ..........”

        เซงเจก็ถามว่า

        “..........ท่านจะให้ฆ่าเสีย หรือจะจับเอาตัวไป..........”

        แกฉงก็ว่า

        “...........สุมาเจียวสั่งมาว่า ได้ท่วงทีแล้วก็ให้ฆ่าเสียเถิด...........”

        เซงเจได้ฟังดังนั้นก็ควบม้าควงง้าวเข้าไปถึงหน้ารถทรง ฮ่องเต้ก็ทรงตวาดว่า จะคิดขบถต่อกูหรือ เซงเจไม่ฟังเสียง เอาง้าวแทงพระเจ้าโจมอถูกอกพลัดตกจากรถ แล้วเอาง้าวฟันซ้ำ พระเจ้าโจมอก็สิ้นพระชนม์อยู่ที่ริมถนนนั้นเอง ขุนนางรักษาพระองค์ที่ติดตามฮ่องเต้มา ก็ควบม้าเข้ารบกับเซงเจ แต่ก็ถูกเซงเจฟันตกม้าตาย  ทหารรักษาพระองค์ก็แตกกระจัดกระจายไป อองเก๋ง ขุนนางผู้ใหญ่เห็นดังนั้นก็ร้องว่า

        “..........อ้ายโจรขบถ บังอาจฆ่าพระมหากษัตริย์เสียเจียวหรือ..........”

        แกฉงจึงสั่งให้ทหารจับตัวอองเก๋งไป แล้วกลับไปแจ้งเรื่องราวให้สุมาเจียวฟังสิ้นทุกประการ สุมาเจียวได้ฟังก็ทำเป็นตกใจ ขึ้นม้าพาทหารเข้าไปในวัง เห็นพระเจ้าโจมอสิ้นพระชนม์กลิ้งอยู่ข้างรถ ก็ลงจากม้าถวายบังคมแล้วก็ทำเป็นร้องไห้ร่ำไรอยู่เป็นอันมาก แล้วให้หาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมาพร้อมกัน ขุนนางผู้ใหญ่ก็ร้องไห้คำนับศพฮ่องเต้แล้วว่า ซึ่งผู้ร้ายบังอาจล่วงเข้ามาทำอันตรายพระองค์นั้น พวกตนทั้งหลายก็มีโทษผิดอยู่เป็นอันมาก แล้วก็ชวนกันเชิญพระศพขึ้นไว้บนตำหนักใหญ่ฝ่ายทิศตะวันตก และทำการศพตามประเพณีกษัตริย์

        สุมาเจียวก็พาขุนนางเข้าไปในที่เสด็จออกว่าราชการ สุมาเจียวก็ถามที่ประชุมว่า

        “........บัดนี้มีผู้มาทำร้ายพระเจ้าโจมอ ท่านทั้งปวงจะปรึกษาโทษประการใด......”

        ต้านท่ายขุนนางผู้ใหญ่จึงว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะแกฉงผู้เดียว ขอให้เอาแกฉงมาฆ่าเสียจึงจะชอบ สุมาเจียวก็ว่า ซึ่งจะให้ฆ่าแกฉงเสียนั้นให้คิดดูใหม่ก่อน ต้านท่ายก็ว่าตนพิจารณาดูตามธรรมเนียม ก็เห็นแต่เท่านั้น สุมาเจียวจึงว่า

        “.........แกฉงมาด้วยก็จริงแต่หาได้ทำการลงมือไม่ เซงเจเป็นตัวขบถ ควรจะฆ่าเสียทั้งสามโคตรจึงจะชอบ..........”

        เซงเจก็ร้องตอบว่า

        “.........เหตุใดท่านจะมาเอาโทษแก่เรา แกฉงบังคับเราว่าท่านสั่งให้ฆ่าพระเจ้าโจมอเสีย เราเกรงอาญาท่านจึงทำตาม........”

        สุมาเจียวจึงว่า

        “..........ตัวเป็นขบถทำร้ายเจ้าแผ่นดินเสีย แล้วยังมาเจรจาฉะนี้อีกเล่า........”

        แล้วก็สั่งให้ทหารเอาตัวเซงเจไปประหารชีวิตเสีย เซงเจก็ร้องด่าสุมาเจียวไปจนขาดใจตาย สุมาเจียวก็ให้ทหารเอาตัวเซงจุยผู้น้อง และสมัครพรรคพวกไปฆ่าเสียอีกสองโคตร แล้วให้เอาตัวอองเก๋งไปฆ่าเสียอีกโคตรหนึ่งด้วย

        สุมาเจียวก็เชิญศพพระเจ้าโจมอไปฝังไว้ตามประเพณีกษัตริย์  แกฉงก็ปรึกษาขุนนางทั้งปวงจะยกสุมาเจียวขึ้นครองราชสมบัติ แต่สุมาเจียวไม่รับ ว่าจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้เหมือนพระเจ้าวุยอ๋องหรือโจโฉนั้น

        แล้วสุมาเจียวก็เชิญโจฮวนผู้หลานโจโฉขึ้นครองราชสมบัติ เป็นฮ่องเต้ของวุยก๊ก พระเจ้าโจฮวนก็ตั้งให้สุมาเจียวเป็นมหาอุปราช พระราชทานเงินสิบหมื่นชั่ง แพรอย่างดีสิบหมื่นพับ กับเครื่องสำหรับยศตามตำแหน่ง

        ฝ่ายเกียงอุยรู้ข่าวก็มีหนังสือไปชวนแคว้นง่อก๊กเมืองกังตั๋ง ให้ยกกองทัพมาสมทบตีแคว้นวุยก๊ก แล้วตนเองก็ยกทัพพลยี่สิบห้าหมื่น เป็นสามทางไปบรรจบกันที่เขากิสาน

         เตงงายแม่ทัพของวุยก๊กก็ตั้งรับที่เขากิสาน เกือบจะเสียทีอยู่แล้วเกียงอุยก็ยกทัพกลับเมืองเสฉวน เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนเชื่อคำขันทีเรียกให้เกียงอุยกลับ แล้วเกียงอุยก็น้อยใจฮ่องเต้ของตน จึงยกทหารแปดหมื่นออกมาตั้งฝึกทหาร แลสะสมเสบียงอยู่ที่ตำบลหลงเส

        เตงงายก็ให้ทหารเขียนแผนที่ตั้ง ค่ายของเกียงอุยสิบสี่ค่าย เอาไปให้สุมาเจียวที่เมืองหลวง สุมาเจียวก็ว่า

        “.........อ้ายเกียงอุยคนนี้ เคยยกมาทำการศึกแก่เราเนือง ๆ ครั้งนี้เราจะคิดกำจัดมันเสียให้ได้.........”

        ที่ปรึกษาก็บอกว่า

        “.........อันเมืองเสฉวนทุกวันนี้ พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีใจหลงรักผู้หญิง แลเสพสุรามิได้ขาด เชื่อถือถ้อยคำอ้ายฮุยโฮซึ่งเป็นขันทีคนหนึ่ง บัดนี้ขุนนางซึ่งมีสติปัญญาในเมืองเสฉวนนั้น มีความน้อยใจต่างคนต่างเอาตัวออกห่าง ซึ่งเกียงอุยมาตั้งค่ายอยู่ตำบลหลงเส หวังจะให้พ้นอันตราย ขอท่านจงเร่งให้ยกทหารไปตีเอาเมืองเสฉวนเถิด เห็นจะได้โดยง่าย..........”

        สุมาเจียวก็ดีใจหัวเราะ แล้วว่า

        “...........ซึ่งท่านคิดเราก็เห็นชอบด้วย อันน้ำใจเราคิดจะไปตีเอาเมืองเสฉวนช้านานอยู่แล้ว  แลบัดนี้ท่านจะเห็นผู้ใดเป็นแม่ทัพคุมทหารไปตีเมืองเสฉวนได้........”

        ที่ปรึกษาก็ว่า

        “.........ข้าพเจ้าเห็นเตงงายประกอบด้วยความคิดมาก ขอท่านจงตั้งเตงงายเป็นปลัดทัพ ตั้งจงโฮยให้เป็นแม่ทัพยกไป เห็นจะตีเมืองเสฉวนได้........”

        สุมาเจียวจึงเรียกจงโฮยเข้ามาถามว่า

        “.......เราจะให้ท่านเป็นแม่ทัพ คุมทหารไปตีเมืองกังตั๋งเห็นจะได้หรือมิได้.........”

        จงโฮยก็ว่า

        “.......ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า ท่านแกล้งว่าจะให้ข้าพเจ้าไปตีเมืองกังตั๋งนั้นหาจริงไม่ ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปตีเมืองเสฉวนดอก............”

        สุมาเจียวก็หัวเราะว่าจงโฮยล่วงรู้ในใจตน และถามว่าจะคิดประการใด จึงจะเอาเมืองเสฉวนได้ จงโฮยก็เอาแผนที่เมืองเสฉวนออกมาให้สุมาสูดู และชี้แจงลู่ทางที่จะทำการให้ฟัง       สุมาเจียวก็ว่าจงโฮยสมควรเป็นนายทหารผู้ใหญ่ได้ จึงตั้งให้จงโฮยเป็นแม่ทัพยกกองทัพจากหกหัวเมือง ไปตีเมืองเสฉวน และเขียนหนังสือไปถึงเตงงาย ให้ยกทหารไปบรรจบกับจงโฮยด้วย

        จงโฮยรับตราตั้งแล้วก็สั่งให้ทหารหกหัวเมือง ไปพร้อมกันที่เมืองเกงจิ๋วแลเมืองลับจิ๋ว ซึ่งอยู่ชายทะเล และให้ต่อเรือรบไว้ สุมาเจียวรู้ข่าวก็เรียกตัวจงโฮยมาถามว่า จะให้ไปตีเมืองเสฉวนทางบก แล้วทำไมจึงให้ต่อเรือรบ จงโฮยก็ตอบว่า

        “............ซึ่งจะไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองกังตั๋งจะยกกกองทัพมาช่วย ข้าพเจ้าจึงคิดอ่านต่อเรือหวังจะให้กิตติศัพท์ลือไปถึงเมืองกังตั๋ง ว่าเราจะยกมารบ ชาวเมืองกังตั๋งก็จะตระเตรียมระวังตัวหาไปช่วยเมืองเสฉวนไม่ เราจะยกไปตีเมืองเสฉวนก็จะได้โดยง่าย ครั้นได้เมืองเสฉวนแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะกลับมาเอาเรือรบซึ่งทำไว้นั้น ยกไปตีเมืองกังตั๋งอีกครั้งหนึ่ง........”

        สุมาเจียวก็ดีใจว่าจงโฮยคิดการถูกต้องแล้ว ครั้นถึงวันกำหนดฤกษ์ดี จงโฮยก็คำนับลาสุมาเจียวยกกองทัพไป  ขุนนางที่ปรึกษาคนหนึ่งเห็นจงโฮยยกกองทัพไปแล้ว ก็บอกแก่สุมาเจียวว่า

        “............ซึ่งให้จงโฮยเป็นแม่ทัพหลวง ถืออาญาสิทธิ์ คุมทหารยกไปตีเมืองเสฉวนครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจงโฮยนี้มีใจกำเริบคิดการใหญ่หลวงเหลือตัวนัก.........”

        สุมาเจียวก็ว่าอันน้ำใจจงโฮยนั้น แต่ก่อนเราก็รู้อยู่แล้ว ที่ปรึกษาก็ว่าเมื่อรู้น้ำใจ        จงโฮยแล้ว เหตุใดจึงไม่ให้ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ กำกับไปด้วยเล่า สุมาเจียวจึงว่า

        “.............อันจงโฮยนี้ประกอบได้ด้วยน้ำใจกล้าแข็งในการสงครามนัก เห็นครั้งนี้จะตีเมืองเสฉวนได้เป็นมั่นคง ถ้าเราจะให้ขุนนางกำกับจงโฮยไปนั้น เห็นว่าจงโฮยจะเสียน้ำใจ จะทำการสงครามมิเต็มมือ ถ้าได้เมืองเสฉวนแล้ว พวกทหารทั้งปวงซึ่งไปด้วยนั้นเป็นชาวเมืองเรา ต่างคนต่างก็จะคิดตั้งใจเอาความชอบ จะกลับมาหาบุตรภรรยา ถึงว่าจงโฮยจะคิดขบถต่อเรา เห็นทหารทั้งปวงจะหาเข้าด้วยไม่ ท่านอย่าวิตกเลย ซึ่งถ้อยคำเราพูดดังนี้ ท่านอย่าให้เนื้อความแพร่งพรายรู้ไปถึงผู้ใดได้.........”

        แล้วกองทัพใหญ่ของวุยก๊ก ซึ่งยกเข้าไปตีเมืองเสฉวนของจ๊กก๊กเป็นครั้งแรก จะสามารถเอาชนะข้าศึก ที่เคยยกเข้ามารุกรานบ้านเมืองของตนตลอดเวลา กว่าสามสิบปี ได้หรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่