One day สักวัน...เราจะเจอคนที่ใช่ ในวันที่ใช่ (คำเตือน บทความเปิดเผยเนื้อหาในหนัง spoil เล็กน้อย)
หนังที่ดีคือหนังที่เราชอบ ใช่....มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ภาพยนตร์เรื่อง One day เข้าฉายเมื่อปี 2011 ห้าปีผ่านมาแล้วที่เราไม่รู้จักกันเลย
จนวันนึงบังเอิญเปิดดูทีวีช่อง Mono ไม่นานมานี้ความรู้สึกแรกคือ one day แกไปอยู่ไหนมา ทำไมเราถึงเพิ่งมาเจอกันป่านนี้.....
One day สร้างจากนิยายขายดีติดอันดับโลก เรื่องราวความสัมพันธ์ของเอ็มมา มอร์ลีย์ และเด็กซ์เตอร์ เมย์ฮิว กำกับการแสดงโดย
ผู้กำกับหญิง โลน เชอร์ฟิก (ผลงานการกำกับหนังของเธอ An Education ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
การที่ผู้กำกับเป็นผู้หญิงนั้นมีข้อดีในแง่ของความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ที่หนังถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว การเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ในหนังโดยที่เราไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดมากจนเกินไปนัก ทำให้หนังมีรสชาติละมุนละม่อมกลมกล่อม ถูกใจจนอยากจะชวนพูดคุยในประเด็นที่น่าสนใจ
จากตัวละครเอกของหนังเรื่องนี้กันค่ะ
แตกต่างอย่างลงตัว
มนุษย์เรานั้นมีบุคลิกภาพเด่นๆ สามด้านประกอบรวมอยู่ในคนๆ นึง ด้านที่ 1 คือ ความเป็นพ่อแม่ หมายถึงผู้ดูแล โอบอ้อมอารี
ด้านที่ 2 ความเป็นผู้ใหญ่ จริงจัง มุ่งมั่น และด้านที่ 3 ความเป็นเด็ก หมายถึงความสนุกสนาน ร่าเริง สดใส ขณะเดียวกันก็มีความสงสัย หวาดระแวง และไม่มั่นใจ
เอ็มมา มอร์ลีย์ สาวเนิร์ดๆ ช่างฝัน ผู้เปี่ยมไปด้วยอุดมคติในการใช้ชีวิต แต่ขาดความมั่นใจ บ่อยครั้งที่เผลอมองข้ามข้อดีของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ความสดใส ความเป็นธรรมชาติ และพรสวรรค์ในด้านงานเขียนของเธอ เอ็มม่ามีบุคลิกเด่นคือ มีความเป็นผู้ใหญ่ และมีลักษณะของความเป็นผู้ดูแลมากพอสมควร แต่บุคลิกด้านที่ 3 (ความเป็นเด็ก) มีน้อยไปสักนิด เธอจึงดำเนินชีวิตด้วยความกังวล เครียด และไม่มั่นใจในตัวเองไปซะทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ ดังจะเห็นได้ในฉากแรกที่เอ็มม่าและเด็กซ์เกือบจะมีเซ็กซ์กัน เอ็มม่าก็ขอตัวไปตั้งหลักก่อน ทำให้เด็กซ์อารมณ์ค้างซะงั้นและจบด้วยการตกลงเป็นเพื่อนกัน

ส่วนเด็กซ์เตอร์ หนุ่มหล่อเจ้าสำราญ ร่าเริงสดใส และมีเสน่ห์ ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตตลอดเวลา เขาเหมือนสายลมที่พัดผ่านมาให้สดชื่นแล้วก็ผ่านไป ยากจะไขว่คว้าไว้กับตัว แต่เขาคือคนที่ถ่วงสมดุลชีวิตเครียดๆ อันแสนจะน่าเบื่อของเอ็มม่าให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เด็กซ์เติบโตมาจากครอบครัวที่มีฐานะ พ่อที่ค่อนข้างเผด็จการและเข้มงวด ว่ากันว่าคนที่อ่อนไหวที่สุดในครอบครัว จะแสดงพฤติกรรมที่มีปัญหา พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เหมือนเด็กซ์เตอร์ที่เหมือนจะไม่เป็นผู้ใหญ่สักที เด็กซ์ชายผู้ใช้ชีวิตในวิถีสุขนิยม ไม่ชอบความคาดหวัง ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของเขาแต่ละคนล้วนฉาบฉวย เหมือนเข้ามาเพื่อเป็นสีสันให้กับชีวิตเด็กซ์เท่านั้น ...ยกเว้นเอ็มม่า
เอ็มม่าให้ความรู้สึกแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจยามที่เด็กซ์เตอร์รู้สึกที่อ่อนไหว ความรู้สึกถูกชะตากันในวันแรกที่เจอนั้น ค่อยๆ เติบโต ยิ่งได้หัวเราะและร้องไห้มาด้วยกัน ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนกลายเป็นความผูกพัน เติมเต็มความรู้สึกดีๆ และมีความปรารถนาดีให้กันและกันตลอดระยะเวลา 20 ปี
ความไม่มั่นใจและกลัวความคาดหวัง
ฉากที่ชอบที่สุดฉากนึงคือฉากที่เอ็มม่าและเด็กซ์ไปเที่ยวพักผ่อน แก้ผ้าเล่นน้ำ เอ็มม่าเป็นฝ่ายเปิดใจก่อน พอเด็กซ์สบตาแล้วเอ่ยด้วย น้ำเสียงจริงจังว่า “ยังรู้สึกเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่เราคลาดกันไปวันนั้น ผมคิดถึงคุณ คุณกับผม” เอ็มม่าเกือบจะซึ้งและตัดสินใจเอ่ยคำสำคัญ แต่ดูเหมือนเด็กซ์กลัวความคาดหวังของเธอขึ้นมาซะงั้น แล้วบ่ายเบี่ยงป้องกันตัวเองไปว่า “แต่ผมรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนเลย นั่นแหละปัญหาของผม” ทำลายโมเม้นต์นั้นไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเรารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต ใครกันที่เรานึกถึง
ตอนที่ชีวิตเด็กซ์เตอร์อยู่ในช่วงขาลง ฝันร้ายของเด็กซ์และทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุดคือ การที่ทำให้แม่ที่ป่วยหนักรู้สึกผิดหวังในตัวเขา งานเห่ย รู้สึกล้มเหลว แต่ด้วยความเป็นเด็กซ์เตอร์ที่คาดหวังให้ชีวิตตัวเองมีแต่ความสนุกสนาน เขาเลือกวิธีหาทางออกในทางที่ตรงกันข้าม เหมือนคนหลงทาง เอ็มม่าเองก็หลงทางเช่นกัน เธอคบกับผู้ชายแย่ๆ ที่คิดว่าเหมาะสมกับเธอ ในยามที่เรารู้สึกเคว้งคว้างมืดมน ใครคือแสงสว่างในชีวิต ใครคือคนที่เหนี่ยวนำชีวิตให้กลับมาเดินในร่องในรอย
เวลาและจังหวะของชีวิต
เอ็มม่าและเด็กซ์เป็นสัมพันธภาพที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิดๆ ซ่อนตัวและค่อยๆ เติบโตขึ้นในใจของพวกเขาทั้งสอง กว่าดอกรักจะบานก็เกือบจะสายเกินไป จะว่าไปแล้วในทุกๆ ความสัมพันธ์ล้วนมีระยะที่ใช่ เวลาที่เหมาะสม เอ็มม่าและเด็กซ์เหมือนเข็มนาฬิกา เข็มสั้นเข็มยาว ต่างคนต่างเดินทาง ใช้ชีวิตของตัวเอง และแล้ววันนึงจังหวะที่เข็มนาฬิกาหมุนวนมาบรรจบกันพอดี แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่ายังมี ...มีวันของเรา
บางครั้งสิ่งที่เราตามหามาตลอดชีวิต ก็อาจจะอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง
“ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราก็มีมันละนะวันนี้” ... One day ...
หมายเหตุ ยังอ่านฉบับหนังสือไม่จบเลยค่ะ คิดว่าถ้าอ่านจบอาจจะเข้าใจตัวละครได้ลึกซึ้งกว่านี้เนาะ ใครที่ดูแล้วประทับใจความสวยงามของมิตรภาพในเรื่องนี้เหมือนเรา เชิญมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันนะคะ ^^ ส่วนตัวเราได้ข้อคิดจากเรื่องนี้มากพอสมควรเลยล่ะค่ะ
One day สักวัน...เราจะเจอคนที่ใช่ ในวันที่ใช่ (ชวนคุยหนังเก่า /วิเคราะห์ตัวละคร)
หนังที่ดีคือหนังที่เราชอบ ใช่....มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ภาพยนตร์เรื่อง One day เข้าฉายเมื่อปี 2011 ห้าปีผ่านมาแล้วที่เราไม่รู้จักกันเลย
จนวันนึงบังเอิญเปิดดูทีวีช่อง Mono ไม่นานมานี้ความรู้สึกแรกคือ one day แกไปอยู่ไหนมา ทำไมเราถึงเพิ่งมาเจอกันป่านนี้.....
One day สร้างจากนิยายขายดีติดอันดับโลก เรื่องราวความสัมพันธ์ของเอ็มมา มอร์ลีย์ และเด็กซ์เตอร์ เมย์ฮิว กำกับการแสดงโดย
ผู้กำกับหญิง โลน เชอร์ฟิก (ผลงานการกำกับหนังของเธอ An Education ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม)
การที่ผู้กำกับเป็นผู้หญิงนั้นมีข้อดีในแง่ของความละเอียดอ่อนทางอารมณ์ที่หนังถ่ายทอดออกมาได้ดีทีเดียว การเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ
ในหนังโดยที่เราไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดมากจนเกินไปนัก ทำให้หนังมีรสชาติละมุนละม่อมกลมกล่อม ถูกใจจนอยากจะชวนพูดคุยในประเด็นที่น่าสนใจ
จากตัวละครเอกของหนังเรื่องนี้กันค่ะ
แตกต่างอย่างลงตัว
มนุษย์เรานั้นมีบุคลิกภาพเด่นๆ สามด้านประกอบรวมอยู่ในคนๆ นึง ด้านที่ 1 คือ ความเป็นพ่อแม่ หมายถึงผู้ดูแล โอบอ้อมอารี
ด้านที่ 2 ความเป็นผู้ใหญ่ จริงจัง มุ่งมั่น และด้านที่ 3 ความเป็นเด็ก หมายถึงความสนุกสนาน ร่าเริง สดใส ขณะเดียวกันก็มีความสงสัย หวาดระแวง และไม่มั่นใจ
เอ็มมา มอร์ลีย์ สาวเนิร์ดๆ ช่างฝัน ผู้เปี่ยมไปด้วยอุดมคติในการใช้ชีวิต แต่ขาดความมั่นใจ บ่อยครั้งที่เผลอมองข้ามข้อดีของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา ความสดใส ความเป็นธรรมชาติ และพรสวรรค์ในด้านงานเขียนของเธอ เอ็มม่ามีบุคลิกเด่นคือ มีความเป็นผู้ใหญ่ และมีลักษณะของความเป็นผู้ดูแลมากพอสมควร แต่บุคลิกด้านที่ 3 (ความเป็นเด็ก) มีน้อยไปสักนิด เธอจึงดำเนินชีวิตด้วยความกังวล เครียด และไม่มั่นใจในตัวเองไปซะทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องความสัมพันธ์ ดังจะเห็นได้ในฉากแรกที่เอ็มม่าและเด็กซ์เกือบจะมีเซ็กซ์กัน เอ็มม่าก็ขอตัวไปตั้งหลักก่อน ทำให้เด็กซ์อารมณ์ค้างซะงั้นและจบด้วยการตกลงเป็นเพื่อนกัน
ส่วนเด็กซ์เตอร์ หนุ่มหล่อเจ้าสำราญ ร่าเริงสดใส และมีเสน่ห์ ทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักโตตลอดเวลา เขาเหมือนสายลมที่พัดผ่านมาให้สดชื่นแล้วก็ผ่านไป ยากจะไขว่คว้าไว้กับตัว แต่เขาคือคนที่ถ่วงสมดุลชีวิตเครียดๆ อันแสนจะน่าเบื่อของเอ็มม่าให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เด็กซ์เติบโตมาจากครอบครัวที่มีฐานะ พ่อที่ค่อนข้างเผด็จการและเข้มงวด ว่ากันว่าคนที่อ่อนไหวที่สุดในครอบครัว จะแสดงพฤติกรรมที่มีปัญหา พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เหมือนเด็กซ์เตอร์ที่เหมือนจะไม่เป็นผู้ใหญ่สักที เด็กซ์ชายผู้ใช้ชีวิตในวิถีสุขนิยม ไม่ชอบความคาดหวัง ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของเขาแต่ละคนล้วนฉาบฉวย เหมือนเข้ามาเพื่อเป็นสีสันให้กับชีวิตเด็กซ์เท่านั้น ...ยกเว้นเอ็มม่า
เอ็มม่าให้ความรู้สึกแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นน้ำทิพย์หล่อเลี้ยงจิตใจยามที่เด็กซ์เตอร์รู้สึกที่อ่อนไหว ความรู้สึกถูกชะตากันในวันแรกที่เจอนั้น ค่อยๆ เติบโต ยิ่งได้หัวเราะและร้องไห้มาด้วยกัน ผ่านกาลเวลาเนิ่นนานจนกลายเป็นความผูกพัน เติมเต็มความรู้สึกดีๆ และมีความปรารถนาดีให้กันและกันตลอดระยะเวลา 20 ปี
ความไม่มั่นใจและกลัวความคาดหวัง
ฉากที่ชอบที่สุดฉากนึงคือฉากที่เอ็มม่าและเด็กซ์ไปเที่ยวพักผ่อน แก้ผ้าเล่นน้ำ เอ็มม่าเป็นฝ่ายเปิดใจก่อน พอเด็กซ์สบตาแล้วเอ่ยด้วย น้ำเสียงจริงจังว่า “ยังรู้สึกเหมือนเดิม ตั้งแต่วันที่เราคลาดกันไปวันนั้น ผมคิดถึงคุณ คุณกับผม” เอ็มม่าเกือบจะซึ้งและตัดสินใจเอ่ยคำสำคัญ แต่ดูเหมือนเด็กซ์กลัวความคาดหวังของเธอขึ้นมาซะงั้น แล้วบ่ายเบี่ยงป้องกันตัวเองไปว่า “แต่ผมรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนเลย นั่นแหละปัญหาของผม” ทำลายโมเม้นต์นั้นไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเรารู้สึกแย่ที่สุดในชีวิต ใครกันที่เรานึกถึง
ตอนที่ชีวิตเด็กซ์เตอร์อยู่ในช่วงขาลง ฝันร้ายของเด็กซ์และทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุดคือ การที่ทำให้แม่ที่ป่วยหนักรู้สึกผิดหวังในตัวเขา งานเห่ย รู้สึกล้มเหลว แต่ด้วยความเป็นเด็กซ์เตอร์ที่คาดหวังให้ชีวิตตัวเองมีแต่ความสนุกสนาน เขาเลือกวิธีหาทางออกในทางที่ตรงกันข้าม เหมือนคนหลงทาง เอ็มม่าเองก็หลงทางเช่นกัน เธอคบกับผู้ชายแย่ๆ ที่คิดว่าเหมาะสมกับเธอ ในยามที่เรารู้สึกเคว้งคว้างมืดมน ใครคือแสงสว่างในชีวิต ใครคือคนที่เหนี่ยวนำชีวิตให้กลับมาเดินในร่องในรอย
เวลาและจังหวะของชีวิต
เอ็มม่าและเด็กซ์เป็นสัมพันธภาพที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละนิดๆ ซ่อนตัวและค่อยๆ เติบโตขึ้นในใจของพวกเขาทั้งสอง กว่าดอกรักจะบานก็เกือบจะสายเกินไป จะว่าไปแล้วในทุกๆ ความสัมพันธ์ล้วนมีระยะที่ใช่ เวลาที่เหมาะสม เอ็มม่าและเด็กซ์เหมือนเข็มนาฬิกา เข็มสั้นเข็มยาว ต่างคนต่างเดินทาง ใช้ชีวิตของตัวเอง และแล้ววันนึงจังหวะที่เข็มนาฬิกาหมุนวนมาบรรจบกันพอดี แม้จะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่ายังมี ...มีวันของเรา
“ไม่ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราก็มีมันละนะวันนี้” ... One day ...
หมายเหตุ ยังอ่านฉบับหนังสือไม่จบเลยค่ะ คิดว่าถ้าอ่านจบอาจจะเข้าใจตัวละครได้ลึกซึ้งกว่านี้เนาะ ใครที่ดูแล้วประทับใจความสวยงามของมิตรภาพในเรื่องนี้เหมือนเรา เชิญมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันนะคะ ^^ ส่วนตัวเราได้ข้อคิดจากเรื่องนี้มากพอสมควรเลยล่ะค่ะ