สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
พิจารณาแล้วเหตุของการเสียกรุงเป็นเป็นสิ่งที่เป็น ‘พหุปัจจัย’ และเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าเรื่องของบุคคลคนเดียวอย่างกษัตริย์ที่คิดกันว่าอ่อนแอไร้ความสามารถ หรือความไม่สามัคคีครับ
ปัจจัยหลักอย่างหนึ่งคือความล้มเหลวของ ‘ระบบไพร่’ ในสมัยอยุทธยา ซึ่งได้สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาระบบการปกครองของกรุงศรีอยุทธยา ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุทธยาไม่มีประสิทธิภาพพอในการเกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองเพื่อรับศึกพม่าได้
ในสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรทรงรับศึกจากหงสาวดีสามารถเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมากรับศึกทำสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพระองค์โปรดให้เทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ร้างทั้งหมดและกวาดต้อนไพร่พลเพื่อนำมาเป็นกำลังอยู่ที่อยุทธยา ทำให้การเรียกเกณฑ์กองทัพขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่าย และทำให้พระองค์สามารถดำเนินยุทธศาสตร์การยกกองทัพไปรับศึกหงสาวดีที่หัวเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้รุกคืบมาถึงอยุทธยาได้
แต่หลังจากสมัยของพระองค์เป็นต้นมาซึ่งยุคความขัดแย้งระหว่างเจ้าวงศ์ต่างๆได้จบลงไปพร้อมกับสงครามหงสาวดี อำนาจของขุนนางเริ่มทวีสูงขึ้น ทำให้เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระกว่างเจ้าและขุนนางสูง จนครั้งหนึ่งเสนาบดีสามารถมีอำนาจสูงสุดขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างในกรณีสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในสมัยอยุทธยาตอนปลายมีการกบฎหัวเมืองขึ้นหลายครั้ง อย่างในสมัยสมเด็จพระเพทราชาที่เกิดทั้งกบฏธรรมเถียร กบฏนครราชสีมา กบฏเมืองนครศรีธรรมราช จึงต้องส่งกองทัพไปปราบปรามและน่าจะมีนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้หัวเมืองเหล่านี้ซ่องสุมไพร่พลเป็นกบฏได้อีก
รัฐบาลอยุทธยาจำเป็นต้องสร้างเสถียรภาพเพื่อความมั่นคงในการปกครองโดยการลดอำนาจของขุนนางลง โดยเฉพาะขุนนางหัวเมือง ไม่ให้มีความเข้มแข็งพอที่จะคุกคามส่วนกลางได้
ตัวอย่างเช่น การที่อยุทธยาแทรกแซงการปกครองหัวเมือง อย่างการออกกฎหมายห้ามเจ้าเมืองติดต่อกัน การพยายามข้าราชการผู้ใหญ่จากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทนจะเป็นเชื้อสายดั้งเดิม การห้ามซ้องสุมไพร่สมเป็นกำลัง การกระทำเหล่านี้ทำให้อยุทธยาซึ่งเป็นรัฐบาลกลางมีอำนาจสูงกว่าหัวเมืองท้องถิ่นอย่างมาก ข้าราชการหัวเมืองอยู่ในสภาวะที่ขาดเสถียรภาพ ไม่มีอำนาจที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนได้
ส่วนหนึ่งก็เป็นผลดีที่ทำให้อยุทธยามีเสถียรภาพในการปกครองภายใน แต่ผลเสียคือความอ่อนแอในการป้องกันตนเอง เพราะหัวเมืองไม่มีความเข้มแข็งพอหากต้องรับศึกจากอาณาจักรภายนอก หัวเมืองในสมัยปลายอยุทธยาจึงเกิดความล้มเหลวในการเกณฑ์ไพร่พล ตัวอย่างที่พบปรากฏหลักฐานใน พ.ศ.๒๒๘๙ สมัยสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพบไพร่หัวเมืองที่ขึ้นกับมหาดไทยหลบหนีสังกัดอยู่จำนวนมาก ต้องส่งคนไปเกลี้ยกล่อมปรากฏว่าได้ไพร่มาจำนวนหลายหมื่น
“ให้ถือตราพระราชสีหออกไปเกลี้ยกล่อมเลกจรจับพรัด ณะ หัวเมืองวิเศศไชยชาญ เมืองสุพรรณบูรี เมืองนครไชยศรี เมืองอินทบูรี เมืองพรหมบูรี เมืองสิงฆบูรี เมืองสรรคบูรี เมืองไชยนาทบูรี เมืองมะโนรม เมืองอุไทยธาณี เมืองนครสวรรค์ ได้ตนเปนอีนมาก ที่มีมุนนายก็เข้าหาเจ้ามุนนายเดิม ที่หามุนนายมิได้ ก็เข้าหามุนนายใหม่ ส่งสารบาญชีขึ้นกรมพระสุรัศวดี ได้เลกไพร่หลวงแลสังกัดพันแลเลกหัวเมืองขึ้นครั้งนั้นมากเปนหลายหมื่น”
ปัญหาไพร่หนีเกณฑ์ยังสะท้อนให้เห็นได้ผ่านพระราชกำหนดเก่าๆที่ออกในสมัยปลายอยุทธยาเพื่อป้องกันไม่ให้ไพร่หนีนายอีก อย่างเช่นพระราชกำหนดเก่า พ.ศ.๒๒๘๑ ซึ่งพยายามผ่อนปรนความลำบากของไพร่หลวงและป้องกันไม่ให้หนีไปเป็นไพร่สม และพระราชกำหนดเก่า พ.ศ.๒๒๘๗ ซึ่งระบุว่าเวลาทำสารบัญชีเกณฑ์ไพร่ ต้องมีเจ้ากรมปลัดกรมอยู่กำกับเพื่อป้องกันพวกเจ้าหน้าที่ทำบัญชีไพร่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาความวุ่นวายอย่างเช่น การซ่องสุมผู้คนของนักโสนในแขวงเมืองลพบุรีเมือง พ.ศ.๒๒๙๐ รวมถึงชาวมอญอพยพที่ก่อกบฎมาตีเมืองนครนายกใน พ.ศ.๒๓๐๓ ซึ่งหนีไปทางหล่มสัก ก็ไม่สามารถตามตัวกลับมาได้ สะท้อนความไร้ประสิทธิภาพของหัวเมืองในการจัดการความวุ่นวาย
เมื่อการเกณฑ์ไพร่พลของหัวเมืองไร้ประสิทธิภาพ การจะเกณฑ์กองทัพขนาดใหญ่เพื่อทำรับศึกพม่าตามหัวเมืองอย่างสมัยสมเด็จพระนเรศวรนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังที่ปรากฏว่าทัพอยุทธยาที่ถูกส่งไปต้านทัพพม่าตามหัวเมืองนั้นถูกตีแตกทั้งหมดซึ่งน่าจะเป็นเพราะการระดมไพร่พลได้น้อย รวมถึงการข่าวที่บกพร่อง ทำให้มีการแบ่งกองกำลังไปรับศึกหลายเส้นทางจนเกินไป
‘บ้านระจัน’ ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าส่วนกลางไม่มีอำนาจควบคุมไพร่หัวเมืองได้ ทำให้ไพร่ในแถบภาคกลางซึ่งไม่ได้ไกลจากราชธานีสามารถรวมตัวเป็นกองกำลังใหญ่เพื่อต่อต้านพม่าได้เอง โดยที่ส่วนกลางไม่สามารถกะเกณฑ์มาเป็นกำลังได้ตั้งแต่แรก
และตัวเจ้าเมืองเองแม้จะถูกเกณฑ์ลงมาช่วยป้องกันกรุง แต่ก็ไม่ได้ปรากฏว่าจะมีกองกำลังที่มากเพียงพอหรือให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง ถ้าไม่ถูกตีแตกก็หนียกกลับบ้านเมืองของตนเอง อาจเพราะห่วงบ้านเมืองของตนมากกว่า อย่างเช่นเจ้าพระยาพิษณุโลกซึ่งขอกลับเมืองโดยอ้างว่าต้องไปปลงศพมารดา ซึ่งอยุทธยาก็ไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้
ผลจากความล้มเหลวในระบบการปกครองบวกกับการที่พม่ายกกองทัพใหญ่ ทำให้อยุทธยาถูกตัดขาดจากหัวเมือง ซึ่งพร้อมที่จะแยกตัวออกจากการปกครองส่วนกลาง สามารถรวมตัวกันได้เองเพื่อต่อต้านพม่าบ้าง หรือทำเพียงปกป้องดินแดนของตนบ้าง อย่างกลุ่มของเจ้าพระยาพิษณุโลก หรือกรมหมื่นเทพพิพิธที่รวบรวมผู้คนในหัวเมืองขายทะเลตะวันออก โดยไม่ได้ขึ้นกับส่วนกลาง
อยุทธยาในสภาวะโดดเดี่ยวจึงทำได้เพียงแต่กลับไปใช้ยุทธศาสตร์ที่เคยใช้มาแต่ก่อนคือการใช้พระนครเป็นฐานรับศึก เหมือนกันที่เคยมาในอดีต และก็ใช้ไม่ได้ผลจนนำไปสู่การเสียกรุงเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ ครับ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1057391057657697
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1057981634265306:0
ปัจจัยหลักอย่างหนึ่งคือความล้มเหลวของ ‘ระบบไพร่’ ในสมัยอยุทธยา ซึ่งได้สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาระบบการปกครองของกรุงศรีอยุทธยา ซึ่งทำให้กรุงศรีอยุทธยาไม่มีประสิทธิภาพพอในการเกณฑ์ไพร่พลหัวเมืองเพื่อรับศึกพม่าได้
ในสมัยที่สมเด็จพระนเรศวรทรงรับศึกจากหงสาวดีสามารถเกณฑ์ไพร่พลจำนวนมากรับศึกทำสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะพระองค์โปรดให้เทครัวหัวเมืองฝ่ายเหนือให้ร้างทั้งหมดและกวาดต้อนไพร่พลเพื่อนำมาเป็นกำลังอยู่ที่อยุทธยา ทำให้การเรียกเกณฑ์กองทัพขนาดใหญ่เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ง่าย และทำให้พระองค์สามารถดำเนินยุทธศาสตร์การยกกองทัพไปรับศึกหงสาวดีที่หัวเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้รุกคืบมาถึงอยุทธยาได้
แต่หลังจากสมัยของพระองค์เป็นต้นมาซึ่งยุคความขัดแย้งระหว่างเจ้าวงศ์ต่างๆได้จบลงไปพร้อมกับสงครามหงสาวดี อำนาจของขุนนางเริ่มทวีสูงขึ้น ทำให้เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระกว่างเจ้าและขุนนางสูง จนครั้งหนึ่งเสนาบดีสามารถมีอำนาจสูงสุดขึ้นมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างในกรณีสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในสมัยอยุทธยาตอนปลายมีการกบฎหัวเมืองขึ้นหลายครั้ง อย่างในสมัยสมเด็จพระเพทราชาที่เกิดทั้งกบฏธรรมเถียร กบฏนครราชสีมา กบฏเมืองนครศรีธรรมราช จึงต้องส่งกองทัพไปปราบปรามและน่าจะมีนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้หัวเมืองเหล่านี้ซ่องสุมไพร่พลเป็นกบฏได้อีก
รัฐบาลอยุทธยาจำเป็นต้องสร้างเสถียรภาพเพื่อความมั่นคงในการปกครองโดยการลดอำนาจของขุนนางลง โดยเฉพาะขุนนางหัวเมือง ไม่ให้มีความเข้มแข็งพอที่จะคุกคามส่วนกลางได้
ตัวอย่างเช่น การที่อยุทธยาแทรกแซงการปกครองหัวเมือง อย่างการออกกฎหมายห้ามเจ้าเมืองติดต่อกัน การพยายามข้าราชการผู้ใหญ่จากส่วนกลางเข้าไปปกครองแทนจะเป็นเชื้อสายดั้งเดิม การห้ามซ้องสุมไพร่สมเป็นกำลัง การกระทำเหล่านี้ทำให้อยุทธยาซึ่งเป็นรัฐบาลกลางมีอำนาจสูงกว่าหัวเมืองท้องถิ่นอย่างมาก ข้าราชการหัวเมืองอยู่ในสภาวะที่ขาดเสถียรภาพ ไม่มีอำนาจที่จะรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนได้
ส่วนหนึ่งก็เป็นผลดีที่ทำให้อยุทธยามีเสถียรภาพในการปกครองภายใน แต่ผลเสียคือความอ่อนแอในการป้องกันตนเอง เพราะหัวเมืองไม่มีความเข้มแข็งพอหากต้องรับศึกจากอาณาจักรภายนอก หัวเมืองในสมัยปลายอยุทธยาจึงเกิดความล้มเหลวในการเกณฑ์ไพร่พล ตัวอย่างที่พบปรากฏหลักฐานใน พ.ศ.๒๒๘๙ สมัยสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพบไพร่หัวเมืองที่ขึ้นกับมหาดไทยหลบหนีสังกัดอยู่จำนวนมาก ต้องส่งคนไปเกลี้ยกล่อมปรากฏว่าได้ไพร่มาจำนวนหลายหมื่น
“ให้ถือตราพระราชสีหออกไปเกลี้ยกล่อมเลกจรจับพรัด ณะ หัวเมืองวิเศศไชยชาญ เมืองสุพรรณบูรี เมืองนครไชยศรี เมืองอินทบูรี เมืองพรหมบูรี เมืองสิงฆบูรี เมืองสรรคบูรี เมืองไชยนาทบูรี เมืองมะโนรม เมืองอุไทยธาณี เมืองนครสวรรค์ ได้ตนเปนอีนมาก ที่มีมุนนายก็เข้าหาเจ้ามุนนายเดิม ที่หามุนนายมิได้ ก็เข้าหามุนนายใหม่ ส่งสารบาญชีขึ้นกรมพระสุรัศวดี ได้เลกไพร่หลวงแลสังกัดพันแลเลกหัวเมืองขึ้นครั้งนั้นมากเปนหลายหมื่น”
ปัญหาไพร่หนีเกณฑ์ยังสะท้อนให้เห็นได้ผ่านพระราชกำหนดเก่าๆที่ออกในสมัยปลายอยุทธยาเพื่อป้องกันไม่ให้ไพร่หนีนายอีก อย่างเช่นพระราชกำหนดเก่า พ.ศ.๒๒๘๑ ซึ่งพยายามผ่อนปรนความลำบากของไพร่หลวงและป้องกันไม่ให้หนีไปเป็นไพร่สม และพระราชกำหนดเก่า พ.ศ.๒๒๘๗ ซึ่งระบุว่าเวลาทำสารบัญชีเกณฑ์ไพร่ ต้องมีเจ้ากรมปลัดกรมอยู่กำกับเพื่อป้องกันพวกเจ้าหน้าที่ทำบัญชีไพร่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาความวุ่นวายอย่างเช่น การซ่องสุมผู้คนของนักโสนในแขวงเมืองลพบุรีเมือง พ.ศ.๒๒๙๐ รวมถึงชาวมอญอพยพที่ก่อกบฎมาตีเมืองนครนายกใน พ.ศ.๒๓๐๓ ซึ่งหนีไปทางหล่มสัก ก็ไม่สามารถตามตัวกลับมาได้ สะท้อนความไร้ประสิทธิภาพของหัวเมืองในการจัดการความวุ่นวาย
เมื่อการเกณฑ์ไพร่พลของหัวเมืองไร้ประสิทธิภาพ การจะเกณฑ์กองทัพขนาดใหญ่เพื่อทำรับศึกพม่าตามหัวเมืองอย่างสมัยสมเด็จพระนเรศวรนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังที่ปรากฏว่าทัพอยุทธยาที่ถูกส่งไปต้านทัพพม่าตามหัวเมืองนั้นถูกตีแตกทั้งหมดซึ่งน่าจะเป็นเพราะการระดมไพร่พลได้น้อย รวมถึงการข่าวที่บกพร่อง ทำให้มีการแบ่งกองกำลังไปรับศึกหลายเส้นทางจนเกินไป
‘บ้านระจัน’ ก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าส่วนกลางไม่มีอำนาจควบคุมไพร่หัวเมืองได้ ทำให้ไพร่ในแถบภาคกลางซึ่งไม่ได้ไกลจากราชธานีสามารถรวมตัวเป็นกองกำลังใหญ่เพื่อต่อต้านพม่าได้เอง โดยที่ส่วนกลางไม่สามารถกะเกณฑ์มาเป็นกำลังได้ตั้งแต่แรก
และตัวเจ้าเมืองเองแม้จะถูกเกณฑ์ลงมาช่วยป้องกันกรุง แต่ก็ไม่ได้ปรากฏว่าจะมีกองกำลังที่มากเพียงพอหรือให้ความช่วยเหลืออย่างจริงจัง ถ้าไม่ถูกตีแตกก็หนียกกลับบ้านเมืองของตนเอง อาจเพราะห่วงบ้านเมืองของตนมากกว่า อย่างเช่นเจ้าพระยาพิษณุโลกซึ่งขอกลับเมืองโดยอ้างว่าต้องไปปลงศพมารดา ซึ่งอยุทธยาก็ไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้
ผลจากความล้มเหลวในระบบการปกครองบวกกับการที่พม่ายกกองทัพใหญ่ ทำให้อยุทธยาถูกตัดขาดจากหัวเมือง ซึ่งพร้อมที่จะแยกตัวออกจากการปกครองส่วนกลาง สามารถรวมตัวกันได้เองเพื่อต่อต้านพม่าบ้าง หรือทำเพียงปกป้องดินแดนของตนบ้าง อย่างกลุ่มของเจ้าพระยาพิษณุโลก หรือกรมหมื่นเทพพิพิธที่รวบรวมผู้คนในหัวเมืองขายทะเลตะวันออก โดยไม่ได้ขึ้นกับส่วนกลาง
อยุทธยาในสภาวะโดดเดี่ยวจึงทำได้เพียงแต่กลับไปใช้ยุทธศาสตร์ที่เคยใช้มาแต่ก่อนคือการใช้พระนครเป็นฐานรับศึก เหมือนกันที่เคยมาในอดีต และก็ใช้ไม่ได้ผลจนนำไปสู่การเสียกรุงเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ ครับ
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1057391057657697
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/1057981634265306:0
แสดงความคิดเห็น
สายโลหิต กับการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่2 แบบเข้าใจง่ายในไม่กี่นาที
ฝากถึงผู้สร้างสายโลหิต 2560 อยากให้ทำเอมิเมชั่นเกี่ยวกับแผนผังอยุธา เส้นทางการเดินทัพ หรือข้อมูลสำคัญใส่ลงไปในละครด้วย เพื่อให้เห็นภาพรวมและความเข้าใจง่ายต่อการดูละคร