สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
จริงๆก็โตแล้ว มีงานมีการทำแล้ว
ก็แยกออกมาก็ได้นี่
ปล่อยเขาอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก
เราก็อยู่ 2 คนพี่น้อง
ไปมาหาสู่กันได้
มันก็ไม่น่าจะมีใครต้องเจ็บปวด
อุตส่าห์อดทนกันมาได้ถึงป่านนี้
แม่เขาก็น่าจะได้สบายใจกับชีวิตของเขานะ
เราก็โตพอจะมีชีวิตของตัวเองกันแล้ว
ความเข้าใจแม่ที่เคยมีหายไปแล้วเหรอ
ก็แยกออกมาก็ได้นี่
ปล่อยเขาอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก
เราก็อยู่ 2 คนพี่น้อง
ไปมาหาสู่กันได้
มันก็ไม่น่าจะมีใครต้องเจ็บปวด
อุตส่าห์อดทนกันมาได้ถึงป่านนี้
แม่เขาก็น่าจะได้สบายใจกับชีวิตของเขานะ
เราก็โตพอจะมีชีวิตของตัวเองกันแล้ว
ความเข้าใจแม่ที่เคยมีหายไปแล้วเหรอ
ความคิดเห็นที่ 67
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ เราได้อ่านทุก ๆ ข้อความค่ะ
ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้วนะคะมีการตัดสินใจร่วมกันของคนในครอบครัวแล้ว(แม่เรา น้องคนกลาง น้องคนเล็ก) และมัน ว่าจะต้องเลิกกัน !
โดยได้ทำการพูดคุยกับมันเรียบร้อยแล้วเมื่อวันอาทิตย์ตอนเช้า ใจความสำคัญคือ พูดคุยถึงปัญหาจริง ๆ ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น และทางออกคืออะไร
ไม่อยากให้มีการแจ้งความฟ้องร้องกันเกิดขึ้นแต่ประการใดเพราะมันสร้างแต่ความเจ็บปวดให้กับทุกฝ่าย
สรุปคือ มันต้องออกจากบ้านหลังนี้ (บ้านแม่เรา ที่ดินแม่เรา มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใด)
แรกเลยมันไม่รับข้อเสนออ้างแต่เพียงว่าห่วงลูกอยากอยู่ดูแลลูก ซึ่งแม่ก็มาปรึกษาเราอีกที(การคุยกับมันทั้งหมดผ่านแม่เรา)
เราและน้องไม่ยอม แม่ก็ไปบอกมันอีกทีว่า ต้องออกจากบ้านหลังนี้เท่านั้น ไม่ใช่ว่ากลับมาดูลูกไม่ได้ ให้ไปมาหาสู่กัน แต่ต้องออกไป !
มันยอมรับข้อเสนอ แต่ขอเวลา 7 วันในการขนย้ายข้าวของและขอปรับตัว (ของในบ้านมีหลายชิ้นเป็นของมันและแม่ปนกันส่วนใหญ่เป็นของมัน) ซึ่งเราโอเค ให้ขอบเวลากับมัน
พอเที่ยงวันนั้นอยู่ ๆ มันก็มาบอกอีกว่า ขอย้ายไปอยู่บ้านข้างๆแทนจะได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ( บ้านข้างๆเป็นบ้านเช่าของแม่เรา อยู่ข้างห้องเรา ) เราคุยกับน้องแล้วความเห็นตรงกันว่าปัญหามันก็อยู่ที่เดิม ทีนี้ก็มาถนัดตามันเลยเพราะบ้านมันอยู่ข้างๆห้องนอนของเราสองคน เราสองคนไม่ยอม แม่เราบอกก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว ... ซึ่งคือมันทำได้ แม่บอกห่วงน้องคนเล็ก โอเคเดี๋ยวเราคุยกับน้องคนเล็กเอง
เย็นนั้นเรานั่งคุยกับน้องคนเล็ก (ใช้จิตวิทยาตามหลักการที่อ่านตามเน็ต) พูดอธิบายถึงปัญหาที่เกิดกับบ้านเราตอนนี้แต่เลี่ยง**ปัญหาแท้จริง**เพราะไม่อยากให้น้องต้องคิดมากและมีความรู้สึกไม่ดีกับพ่อตัวเอง กลายเป็นว่าคุยไปคุยมาอยู่ ๆ น้องก็ร้องไห้แล้วก็บอกว่าหนูรู้ทุกอย่าง!
ซึ่งเราก็ถามกลับว่าหนูรู้อะไร (เพราะเราช็อคจริงๆว่าที่น้องพูดคือน้องรู้อะไร) น้องก็พูดคำนึงขึ้นมาว่า "ก็ที่พ่อหนูเป็นโรคจิตไง" เราตกใจมากที่น้องพูดคำนี้ออกมา เราก็ถามกลับว่าหนูรู้เหรอ น้องตอบ "รู้มาตลอด รู้มาตั้งแต่เด็ก" ถามกันไปมาได้ความว่า น้องเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าพ่อตัวเองมีพฤติกรรมแปลกๆคือชอบแอบดูพี่ทั้งสองคนแต่เก็บไว้ไม่พูดไม่บอกใคร เหตุการณ์วันที่แตกหักที่มันเปิดประตูเข้าไปในห้องน้องเรา น้องคนเล็กก็บอกว่าได้ยินเสียงพี่คนกลางกรี๊ด ! แล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน แล้วก็เป็นคนเดินไปถามพ่อตัวเองให้ด้วยว่าเปิดเข้าห้องพี่ทำไม ?
ตอนนี้เราไม่รู้แล้วว่าเราหรือน้องที่เจ็บปวดมากกว่ากัน มีสองคนโดนกระทำจากพ่อเลี้ยง แต่มีอีกคนที่เห็นพฤติกรรมโรคจิตของพ่อแท้ๆของตัวเอง ..
น้องพูดทั้งน้ำตา ร้องไห้ ทุกอย่างยิ่งพังไปหมด เราเลยพูดกับน้องว่าแล้วหนูมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ไหม มีทางที่หนูสบายใจไหม น้องก็บอกว่าเลิกกันก็ได้ รู้ตั้งแต่แม่บอกแล้วว่าต้องเลิก เข้าใจ แต่สงสารพ่อ ให้พ่ออยู่บ้านข้างๆก่อนได้ไหมให้พ่อปรับตัว รอหนูขึ้นมอสี่ก่อน(ซึ่งจะขึ้นมอสี่ในอีกไม่กี่เดือน) แล้วจากนั้นจะแยกกันก็โอเค
โอเคเรายอมรับข้อเสนอของน้อง ปรึกษากับน้องคนกลางแล้วน้องก็โอเคยอม ! ตอนนี้จะแก้ปัญหาไปชั่วคราวโดยที่น้องคนกลางจะไปอยู่กับเพื่อน ส่วนตัวเราจะอยู่ดูแม่ดูน้องที่บ้านนี้แหละ เราว่าเราไหว
แต่ปัญหามันไม่จบง่ายๆแค่นั้น ตอนนี้มันขนของทุกอย่างไปอยู่บ้านเล็กหมดแล้ว แต่มันยังวนเวียนใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในบ้านใหญ่ ทำให้เรายิ่งฉุนว่าเห้ยคุณไม่ทำตามที่ตกลงกันเลย(แต่ด้วยยังอยู่ในขอบเขตเวลา 7 วันที่มันขอ) ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะออกไปจากบ้านเราเมื่อครบกำหนดจริง ๆ
สิ่งที่เราต้องการความช่วยเหลือคือ เราอยากได้โนติสหรือสัญญาที่มีเนื้อหาใจความว่าหากครบกำหนดมันต้องออกจากบ้านแล้วให้มันเซ็นต์ มีใครพอมีความรู้ทางด้านกฎหมายไหมคะ
**เพิ่มเติมถึงคอมเม้นท์ที่บอกว่าสงสารพ่อเลี้ยงที่มีอาการโรคจิต เราเคยสงสารค่ะ สงสารมาหลายสิบปี ให้โอกาสให้อภัยมาหลายรอบ เค้าเคยสัญญาค่ะว่าจะปรับตัวจะไม่ทำอีกแต่แล้วก็ทำอีก ซึ่งหลายรอบมากที่เป็ฯแบบนี้ จนปัจจุบันเราด้านชาแล้วค่ะ สงสารไม่ลง
ส่วนแม่ก็บอกกับเรากับน้องตลอดว่าให้อดทนกันไปก่อนเดี๋ยวภาระเบาบางลงกว่านี้ค่อยเด็ดขาด ซึ่งมันเบาบางแล้วค่ะ ปัจจุบันเราก็แบ่งเบาภาระแม่ได้ดี ให้เงินแม่ใช้ ดูแลน้อง สมควรแก่การเวลามาก ๆ แล้วที่จะต้องทำอะไรสักที
ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาแล้วค่ะ มีแต่ความหน้าด้านหน้าทนของคนคนนึงเท่านั้นที่ไล่แล้วไม่ไป ! และเค้าไม่มีคุณสมบัติของการเป็นพ่อที่ดีได้เลยมีแต่สร้างความกดดันให้น้องเราด้วย
การต่อสู้ครั้งนี้มีแค่เรากับน้องคนกลางที่เป็นหัวเรี้ยวหัวแรง (ข้ามแม่ไปค่ะ แม่อ่อนแอจริงๆ ข้อนี้เรายอมรับแล้ว)
ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งนะคะ มีหลายข้อความที่เราอ่านแล้วก็อินมาก ๆ หลายคนก็หนักกว่าเรา เรายังอยากมีชีวิตต่อค่ะ
อยากให้ปัญฆาเหล่านี้มันยุติไปจากสังคมสักที T^T
ตอนนี้ได้ข้อสรุปแล้วนะคะมีการตัดสินใจร่วมกันของคนในครอบครัวแล้ว(แม่เรา น้องคนกลาง น้องคนเล็ก) และมัน ว่าจะต้องเลิกกัน !
โดยได้ทำการพูดคุยกับมันเรียบร้อยแล้วเมื่อวันอาทิตย์ตอนเช้า ใจความสำคัญคือ พูดคุยถึงปัญหาจริง ๆ ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น และทางออกคืออะไร
ไม่อยากให้มีการแจ้งความฟ้องร้องกันเกิดขึ้นแต่ประการใดเพราะมันสร้างแต่ความเจ็บปวดให้กับทุกฝ่าย
สรุปคือ มันต้องออกจากบ้านหลังนี้ (บ้านแม่เรา ที่ดินแม่เรา มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ประการใด)
แรกเลยมันไม่รับข้อเสนออ้างแต่เพียงว่าห่วงลูกอยากอยู่ดูแลลูก ซึ่งแม่ก็มาปรึกษาเราอีกที(การคุยกับมันทั้งหมดผ่านแม่เรา)
เราและน้องไม่ยอม แม่ก็ไปบอกมันอีกทีว่า ต้องออกจากบ้านหลังนี้เท่านั้น ไม่ใช่ว่ากลับมาดูลูกไม่ได้ ให้ไปมาหาสู่กัน แต่ต้องออกไป !
มันยอมรับข้อเสนอ แต่ขอเวลา 7 วันในการขนย้ายข้าวของและขอปรับตัว (ของในบ้านมีหลายชิ้นเป็นของมันและแม่ปนกันส่วนใหญ่เป็นของมัน) ซึ่งเราโอเค ให้ขอบเวลากับมัน
พอเที่ยงวันนั้นอยู่ ๆ มันก็มาบอกอีกว่า ขอย้ายไปอยู่บ้านข้างๆแทนจะได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ( บ้านข้างๆเป็นบ้านเช่าของแม่เรา อยู่ข้างห้องเรา ) เราคุยกับน้องแล้วความเห็นตรงกันว่าปัญหามันก็อยู่ที่เดิม ทีนี้ก็มาถนัดตามันเลยเพราะบ้านมันอยู่ข้างๆห้องนอนของเราสองคน เราสองคนไม่ยอม แม่เราบอกก็ไม่รู้จะทำไงแล้ว ... ซึ่งคือมันทำได้ แม่บอกห่วงน้องคนเล็ก โอเคเดี๋ยวเราคุยกับน้องคนเล็กเอง
เย็นนั้นเรานั่งคุยกับน้องคนเล็ก (ใช้จิตวิทยาตามหลักการที่อ่านตามเน็ต) พูดอธิบายถึงปัญหาที่เกิดกับบ้านเราตอนนี้แต่เลี่ยง**ปัญหาแท้จริง**เพราะไม่อยากให้น้องต้องคิดมากและมีความรู้สึกไม่ดีกับพ่อตัวเอง กลายเป็นว่าคุยไปคุยมาอยู่ ๆ น้องก็ร้องไห้แล้วก็บอกว่าหนูรู้ทุกอย่าง!
ซึ่งเราก็ถามกลับว่าหนูรู้อะไร (เพราะเราช็อคจริงๆว่าที่น้องพูดคือน้องรู้อะไร) น้องก็พูดคำนึงขึ้นมาว่า "ก็ที่พ่อหนูเป็นโรคจิตไง" เราตกใจมากที่น้องพูดคำนี้ออกมา เราก็ถามกลับว่าหนูรู้เหรอ น้องตอบ "รู้มาตลอด รู้มาตั้งแต่เด็ก" ถามกันไปมาได้ความว่า น้องเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าพ่อตัวเองมีพฤติกรรมแปลกๆคือชอบแอบดูพี่ทั้งสองคนแต่เก็บไว้ไม่พูดไม่บอกใคร เหตุการณ์วันที่แตกหักที่มันเปิดประตูเข้าไปในห้องน้องเรา น้องคนเล็กก็บอกว่าได้ยินเสียงพี่คนกลางกรี๊ด ! แล้วก็ได้ยินเสียงทะเลาะกัน แล้วก็เป็นคนเดินไปถามพ่อตัวเองให้ด้วยว่าเปิดเข้าห้องพี่ทำไม ?
ตอนนี้เราไม่รู้แล้วว่าเราหรือน้องที่เจ็บปวดมากกว่ากัน มีสองคนโดนกระทำจากพ่อเลี้ยง แต่มีอีกคนที่เห็นพฤติกรรมโรคจิตของพ่อแท้ๆของตัวเอง ..
น้องพูดทั้งน้ำตา ร้องไห้ ทุกอย่างยิ่งพังไปหมด เราเลยพูดกับน้องว่าแล้วหนูมีทางออกสำหรับเรื่องนี้ไหม มีทางที่หนูสบายใจไหม น้องก็บอกว่าเลิกกันก็ได้ รู้ตั้งแต่แม่บอกแล้วว่าต้องเลิก เข้าใจ แต่สงสารพ่อ ให้พ่ออยู่บ้านข้างๆก่อนได้ไหมให้พ่อปรับตัว รอหนูขึ้นมอสี่ก่อน(ซึ่งจะขึ้นมอสี่ในอีกไม่กี่เดือน) แล้วจากนั้นจะแยกกันก็โอเค
โอเคเรายอมรับข้อเสนอของน้อง ปรึกษากับน้องคนกลางแล้วน้องก็โอเคยอม ! ตอนนี้จะแก้ปัญหาไปชั่วคราวโดยที่น้องคนกลางจะไปอยู่กับเพื่อน ส่วนตัวเราจะอยู่ดูแม่ดูน้องที่บ้านนี้แหละ เราว่าเราไหว
แต่ปัญหามันไม่จบง่ายๆแค่นั้น ตอนนี้มันขนของทุกอย่างไปอยู่บ้านเล็กหมดแล้ว แต่มันยังวนเวียนใช้ชีวิตกินนอนอยู่ในบ้านใหญ่ ทำให้เรายิ่งฉุนว่าเห้ยคุณไม่ทำตามที่ตกลงกันเลย(แต่ด้วยยังอยู่ในขอบเขตเวลา 7 วันที่มันขอ) ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่ามันจะออกไปจากบ้านเราเมื่อครบกำหนดจริง ๆ
สิ่งที่เราต้องการความช่วยเหลือคือ เราอยากได้โนติสหรือสัญญาที่มีเนื้อหาใจความว่าหากครบกำหนดมันต้องออกจากบ้านแล้วให้มันเซ็นต์ มีใครพอมีความรู้ทางด้านกฎหมายไหมคะ
**เพิ่มเติมถึงคอมเม้นท์ที่บอกว่าสงสารพ่อเลี้ยงที่มีอาการโรคจิต เราเคยสงสารค่ะ สงสารมาหลายสิบปี ให้โอกาสให้อภัยมาหลายรอบ เค้าเคยสัญญาค่ะว่าจะปรับตัวจะไม่ทำอีกแต่แล้วก็ทำอีก ซึ่งหลายรอบมากที่เป็ฯแบบนี้ จนปัจจุบันเราด้านชาแล้วค่ะ สงสารไม่ลง
ส่วนแม่ก็บอกกับเรากับน้องตลอดว่าให้อดทนกันไปก่อนเดี๋ยวภาระเบาบางลงกว่านี้ค่อยเด็ดขาด ซึ่งมันเบาบางแล้วค่ะ ปัจจุบันเราก็แบ่งเบาภาระแม่ได้ดี ให้เงินแม่ใช้ ดูแลน้อง สมควรแก่การเวลามาก ๆ แล้วที่จะต้องทำอะไรสักที
ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาแล้วค่ะ มีแต่ความหน้าด้านหน้าทนของคนคนนึงเท่านั้นที่ไล่แล้วไม่ไป ! และเค้าไม่มีคุณสมบัติของการเป็นพ่อที่ดีได้เลยมีแต่สร้างความกดดันให้น้องเราด้วย
การต่อสู้ครั้งนี้มีแค่เรากับน้องคนกลางที่เป็นหัวเรี้ยวหัวแรง (ข้ามแม่ไปค่ะ แม่อ่อนแอจริงๆ ข้อนี้เรายอมรับแล้ว)
ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งนะคะ มีหลายข้อความที่เราอ่านแล้วก็อินมาก ๆ หลายคนก็หนักกว่าเรา เรายังอยากมีชีวิตต่อค่ะ
อยากให้ปัญฆาเหล่านี้มันยุติไปจากสังคมสักที T^T
แสดงความคิดเห็น
ถุกพ่อเลี้ยงคุกคามทางเพศมา15ปีอยากหลุดพ้นจากวงจรนี้แต่ก็ติดปัญหาที่จะทำให้ครอบครัวน้องแตกแยกไปด้วย T^T
จนกระทั่งแม่เราได้แต่งงานใหม่(ไม่ได้จดทะเบียนสมรส)กับผู้ชายคนนึง แรกๆก็ดีค่ะ ครอบครัวสุขสันต์พร้อมหน้าพร้อมตา ตัวเราเองไม่เคยเอ่ยปากเรียกผู้ชายคนนี้ว่าพ่อนะคะเริ่มจากเรียกว่า "ลุง" ให้ความนับถือเป็นญาติผู้ใหญ่ในบ้านคนนึงปกติ เราก็ใช้ชีวิตปกติเรื่อยมาจนเหตุการณ์ไม่ปกติเกิดขึ้น (จะเล่าเท่าที่จำได้นะคะ)
ลุงคนนี้เริ่มมีพฤติกรรมผิดปกติในการคลุกคลีกับเรามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เล่น ๆ กันอยู่ก็เกิดหมั่นเขี้ยว!มั้งคะ มากัดหูเรา จนเราร้องไห้ จำได้ว่าไปบอกแม่ แม่ก็เอะอะโวยวายแต่คงคิดว่าเล่นกันเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก ตัวเราเองก็ยังไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก จนมันเริ่มหลายเหตุการณ์มากขึ้น จะเล่าข้ามในส่วนของการถูกเนื้อต้องตัวนะคะส่วนตัวไม่ได้ถูกเลี้ยงมาให้เห็นว่าพฤติกรรมแสดงความรักเช่นการกอด การหอม อะไรเหล่านี้จนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ถูกเลี้ยงมาแบบบ้านๆค่ะ ครอบครัวธรรมดาปกติ ดังนั้นเราเลยจะไม่ได้คลุกคลีในส่วนนั้นมากนัก
จนเราเริ่มโตประมาณอายุได้ 12 ปี (เริ่มเข้าสู่วัยสาว) เริ่มมีเหตุการณ์ที่แย่มากขึ้นเท่าที่เด็กคนนึงจะรับได้ คือการโดนแอบมองตอนอาบน้ำ !! รู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาเราอาบน้ำมักจะสังเกตว่ามีคนมาแอบมองบ่อยมากแต่ก็ไม่อยากคิดไปเองเลยทำการพิสูจน์ มีครั้งนึงที่เราอาบน้ำพอเข้าห้องน้ำปุ๊ป ธรรมดาก็จะถอดเสื้อแล้วก็ทำการอาบ แต่ครั้งนี้ไม่ ! เราเข้าไปเฉย ๆ ไปยืนเฉย ๆ พักเดียวเท่านั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนย่องมา (ห้องน้ำเราโกโรโกโสมาก เป็นประตูไม้ผุๆพังๆ สภาพยับเยิน รอยแตกรอยหักเต็มไปหมด เอาถุงขนมมาปิด เอาหนังสือพิมพ์มาปิดบ้างอะไรบ้างแก้ปัญหากันไป อยู่หลังบ้าน ทางเดินมาห้องน้ำห่างจากตัวบ้านนิดเดียวแต่มีต้นไม้มีสวนครัวนิดหน่อย พื้นเป็นปูน ดังนั้นคนเดินผ่านไปมาต้องได้ยิน คือเราได้ยินอะ หูดีมาก ใบไมไหวก็ได้ยินละ ) จังหวะที่ได้ยินคนเดินมาเราก็รีบเปิดประตูออกดู ก็เห็นเลยค่ะไอ้พ่อเลี้ยงเฮงซวยยืนจังก้าก้มๆเงยๆตามรูห้องน้ำอยู่ สงสัยยังหารูไม่ได้ที่ ! เราก็ตกใจ ถึงจะทำใจมาแล้วก็เหอะ มันก็แกล้งถามว่า เอ้าอยู่ในห้องน้ำเหรอ คิดว่าไม่มีคนอยู่? ประตูปิด ไฟเปิด ไม่มีคนอยู่ตรงไหน คิดได้เนอะ หึหึ แรกๆเราก็เชื่อค่ะ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ด้วยความไม่รู้ประสีประสาเลยยังไม่ได้บอกใคร แล้วพฤติกรรมแบบนี้ก็หายไปพักนึง วนลุปอยู่แบบนี้แหละค่ะ พอจับได้ก็จะหายไปแล้วก็กลับมาทำใหม่
จนเราโตขึ้นไปอีกปีแล้วก็อีกปี(เล่าแบบยาวๆเลยนะคะ) พฤติกรรมโสโครกก็เริ่มพัฒนาขึ้น จากแอบดูตอนเราอาบน้ำ ก็เริ่มมาเป็นแอบดูเราแต่งตัวตามซอกตามรูบ้านเหมือนเดิม (เป็นบ้านไม้ ไม้ผุไม้พังปิดไม่ค่อยจะมิดชิดอะไร) เรากลายเป็นคนวิกลจริตมากขึ้น ขี้ระแวงทุกอย่าง หูจะต้องแว่วตลอดคอยจับเสียงฝีเท้าเสียงนั่นนี่ จับได้เพราะเห็นลุกกะตามันอยู่ที่รูข้างห้องนอน T^T เศร้ามาก เราเริ่มกลัวมากขึ้นเลยเริ่มคุยกับน้องอีกคน(พ่อเดียวกัน) น้องก็บอกก็เจอเหมือนกันทำไงกันดี เลยตัดสินใจไปบอกแม่แบบจริงจัง เเม่เราดีมาก แม่เชื่อเรา แม่รักเรา แม่ไต่สวนแม่ถามมันแต่มันก็ให้คำตอบเดิม ๆ คือไม่มีอะไร ไปทำธุระแถวนั้นพอดีนั่นนี่ไปเรื่อย แม่เราดีมีทางออกให้เราเสมอแต่ทางออกเหล่านั้นไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตเราหลุดพ้นจากวงจรห่านี่เลย
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เราได้รับทางออกจากแม่ครั้งที่ 1 คือให้ระมัดระวังตัวให้มากขึ้น อาบน้ำให้แต่งตัวในห้องน้ำ อย่านุ่งผ้าขนหนูเดินผ่านเข้าห้องนอนอีก รูตามห้องหาอะไรมาปิด มาทำซะให้เรียบร้อย ! นั่นแหละค่ะทางออกที่มั่นคงที่เราได้รับจากแม่ครั้งที่ 1 โอเค ! เราอาจจะต้องเริ่มจากตัวเราทุกอย่างจะดีขึ้น เราเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ตอนเช้าอาบน้ำไปโรงเรียนแต่งตัวในห้องน้ำ เย็นกลับมารีบอาบน้ำเลยก่อนไอ้นั่นจะกลับมาจากที่ทำงาน กินข้าวแปรงฟังเข้านอนวนลูปไปเรื่อย ๆ
เคยมีครั้งนึงที่ผิดเวลาไปหน่อยเรื่องการอาบน้ำเพราะต้องไปทำรายงานกับเพื่อนกลับมาดึก อาบน้ำก็ต้องปิดไฟห้องน้ำ กลัวผีค่ะแต่กลัวมันนี่มากกว่า ทุกอย่างก็โอเคขึ้นไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายอะไรขึ้นมาอีก จนแม่เราเริ่มเปลี่ยนเวลาทำงานต้องทำงานเช้ามากขึ้นออกจากบ้านก็ตั้งแต่ตีสามตีสี่ จากที่เราต้องอาบน้ำตอนเช้ามากๆแล้วเพื่อจะให้แม่คอยดูคอยมองเวลาเราอาบน้ำเราก็ต้องอาบน้ำเช้ายิ่งขึ้นกว่าเดิมไปอีก ก็อาบตอนตีสี่ตอนช่วงที่แม่จะออกไปนั่นแหละค่ะ แล้วก็ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็มานอนต่อ รอเวลาเช้าแล้วค่อยไปเรียน ชีวิตต้องปรับเปลี่ยนที่ตัวเองนี่คะแค่นี้ไม่ยากอะไรหรอกเด็กอายุ 12 13 ทำได้อยู่แล้ว
เหตุการณ์ก็เหมือนจะอยู่กันแบบกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกันได้ไปอีกปีแล้วก็อีกปี แล้วพฤติกรรมเดิมๆของไอ้นี่ก็กลับมาอีกแต่คราวนี้ไม่ทำกับเราไปทำกับน้องเราแทนเดิมๆ เหมือนที่เกิดกับเรานี่แหละแค่เปลี่ยนเป้าหมาย แต่น้องเราไม่ยอม(น้องเราค่อนข้างหัวแข็ง ปากร้อย ไม่ยอมคน) น้องเราเลยไปบอกแม่อีกรอบ ! ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ ๆๆๆ หนูทนไมไหวแล้วนะ ๆๆๆ แม่เราคราวนี้เหมือนจะเอาจริง ทะเลาะกับไอ้นั่นอยู่พักใหญ่ มีไปบอกแม่ของไอ้นั่นด้วยว่าครอบครัวมีปัญหาแบบนี้ๆทนไม่ไหวแล้วจะเลิกแล้ว (แม่เราก็เจอปัญหาชีวิตมาไม่น้อยเหมือนกัน พ่อแม่หย่ากันตั้งแต่แม่ยังเด็กๆ แม่ก็มีเราตั้งแต่ในช่วงวัยรุ่นเหมือนกัน แล้วยายก็มาตาย ญาติในครอบครัวก็ไม่ได้จะยินดียินร้ายกับปัญหาของเครือญาติกันสักเท่าไรมีแต่เห็นแก่ตัว โลภอยากได้สมบัติของคนอื่น แม่เราเลยไม่ค่อยได้ไปสุงสิงด้วย ญาติผู้ใหญ่ในชีวิตที่จะปรึกษาจริง ๆ ได้ก็ไม่มี มีก็แต่ย่าแม่ของไอ้นั่นแหละ)
ย่าไอ้นั่นก็เลยเล่าให้แม่เราฟังว่าจริงๆเค้าก็มีปัญหาทำนองนี้มาตั้งแต่ชีวิตคู่ครั้งเก่า(ไอ้พ่อเลี้ยงนี่แต่งงานสองรอบ) มีปัญหาทางจิต มีกรณีแบบนี้มาด้วย ช่วยดูแลมันหน่อย มันไมได้เลวร้ายอะไรหรอกใช่ไหมถ้าไม่นับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ? ซึ่งคือผลักภาระมากกกกกกกกก กลายเป็นว่าเรามีคนป่วยในบ้าน 1 คนที่ต้องดูแลจิตใจให้ไม่กระทำพฤติกรรมฉาวๆแบบนั้นอีก หืมมม โอ้โหชีวิต โอ้โห เราฟังเหตุผลแบบนี้ที่แม่ได้มาทั้งน้ำตา แต่ก็เข้าใจแม่ด้วย บ้านเราไมได้รวยอะไร แม่เลี้ยงเราไมไหวหรอก ในด้านของพ่อแท้ๆของเราเองก็มีครอบครัวใหม่ เงินที่ได้มาก็เศษส่วนน้อยตอนปีใหม่บ้าง ตอนวันเกิดบ้างแล้วแต่จะกรุณา ซึ่งเราเข้าใจหมด เข้าใจทุกฝ่าย เข้าใจแม่ เข้าใจพ่อ เราเหมือนโดนผลักภาระอะไรไม่รู้ที่เราไม่ได้ก่อ เราถูกกระทำแต่เราต้องยอมรับและทำใจ เหตุผลโดยนัยของแม่ก็คือ ลูกสามคนถ้าขาดมันครอบครัวจะยับแน่ ๆ อย่างน้อยก็ให้หนูผ่านช่วงมหาลัยนี้ไปก่อน แต่เรารู้สึกดีที่ว่าแม่เราไมได้อยู่กันด้วยความรักหรืออะไรแต่อยู่กันด้วยพื้นฐานของปัจจัยที่มีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตพอสมควร ! โอเคแม่ เรารับไมได้หรอก แต่เราใกล้จะหลุดพ้นละ
เราสอบเข้ามหาลัยรัฐแห่งนึงได้ เราจะไปอยู่หอ ไม่อยู่มันแล้วบ้านเฮงซวยแบบนี้ ชีวิตเราช่วงมหาลัยดีมาก อยู่กับเมท รู้สึกถึงความปลอดภัยของห้องเล็กๆสี่เหลี่ยมๆที่เราไม่เคยได้รับมาเลยตลอดชีวิต เรากลับบ้านน้อยมาก กลับเพราะทนคิดถึงแม่ไม่ไหว ทนคิดถึงน้องไหว กลับเพราะเหนื่อยใจกับสังคมในมหาลัยบ้างก็ว่ากันไป
แล้วชีวิตในรั้วมหาลัยก็จบลง เรากลับมาบ้านอีกครั้ง บ้านเราสร้างใหม่แล้วล่ะ สวยงาม ปลอดภัย มีห้องส่วนตัวเป็นสัดเป็นส่วน เราได้งานที่บ้านทำ จริงๆก็ได้งานที่จังหวัดอื่นด้วย แต่เราไม่อยากไป เราอยากอยู่บ้านไม่อยากดิ้นรน กลับมาบ้านครั้งนี้ทุกอย่างเหมือนจะดี บอกก่อนว่าเราก็ใช้ชีวิตปกตินะ พุดคุยกับไอ้นั่นปกติ อภัยแล้วอภัยเล่าครั้งที่เท่าไรก็จำไมได้ แต่ก็ใช้ชีวิตได้อย่างเกือบปกติอยู่ใครอยู่มันไม่ข้องเกี่ยวกัน
ทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น จนกระทั่งน้องคนกลางของเรากลับมาอยู่บ้าน(ปกติไม่กลับ) และแล้วพฤติกรรมเดิมๆก็กลับมา แอบดูเราข้างบ้านตรงหน้าต่างตอนเราแต่งตัวบ้าง ทำตัวลับๆล่อๆตอนเราอาบน้ำบ้าง จับได้อยู่หนนึงแต่ไม่พูด เบื่อละ พุดไปก็ไม่มีไรเกิดขึ้น รังแต่จะสร้างความทุกข์ใจให้แม่มากขึ้น
แต่แล้วมันก็ก้าวหน้ามากขึ้น สดๆร้อนๆเมื่ออาทิตย์ก่อน มันเปิดประตูเข้าไปในห้องน้องเรา(น้องเราลืมคากุญแจไว้ที่ลูกบิด) ดีที่ตอนนั้นน้องเรานั่งคุยโทรศัพท์กับแฟน น้องเรามันก็ งง แล้วก็ถามว่าเข้ามาทำไม ? มันก็บอกว่านึกว่าไม่มีคนอยู่ก็เลยจะเข้ามาปิดหน้าต่างเห็นหน้าต่างชอบเปิด ! คำตอบเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วกลับมาอีกแล้ว เหนื่อยมากกกกก น้องเราก็เลยไลน์หาแม่ว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้นะ แม่ควรจัดการอะไรสักที ทำนองว่าบอกแม่มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วไม่ไม่เคยแก้ปัญหาอะไรได้เลย แล้วก็พูดคำนึงที่ตรงกับใจเรามากว่า “บ้านอันตรายกว่านอกบ้านอีกแม่” “ หนูไม่อยู่แล้ว จะไม่กลับมาอีก”
แล้วอีกวันนึงแม่ก็ทะเลาะกับไอ้นั่นเถียงกันใหญ่โต มันก็ให้เหตุผลแสนประหลาดแบบเดิมๆกลับมา ถ้าใครคิดภาพตามไม่ทันก็คล้ายๆกับการดูละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งที่รีรันแล้วรีรันอีกนั่นแหละ แต่คราวนี้น้องเราไม่ยอมก็เลยออกมาเถียงกับมันดังมาก ดังไปสามบ้านแปดบ้าน จนมันทนไมไหวแล้วก็ออกจากบ้านไปพร้อมกับพุดว่า บ้านเฮงซวยแบบนี้ก็ไม่อยากอยู่หรอก ! อือ ใครกันวะที่ทำให้มันเฮงซวย นี่คือเหตุการณ์ที่เราไม่รู้เรื่องเลย มารู้อีกทีจากปากแม่กับน้องทีหลังตอนวันที่เราขับรถไปส่งน้องที่คิวรถตู้ เห็นหน้ามันเหนื่อย ๆ เลยถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เล่าให้พี่ฟังนะ ถ้าช่วยคลายทุกข์ได้จะช่วย (ในใจคือคิดว่ามันทะเลาะกับแฟน) น้องก็ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย เราก็เลยถามไปว่าจะกลับบ้านอีกเมื่อไรล่ะคราวนี้ มันบอกไม่กลับแล้วตลอดชีวิต T^T
เราเลยตกใจไปถามแม่ จนได้รู้เหตุการ์ทั้งหมด คุยกับน้องแล้วน้องบอกว่าไม่อยากคุยกับแม่แล้วเหนื่อยมาก แม่ไม่ช่วยแก้ปัญหาเลย ถ้าไม่เลิกกันมันจะไม่กลับบ้านอีกตลอดชีวิต แต่เท่าที่ฟังจากแม่ แม่เครียดมาก ร้องไห้ด้วย อยากเลิกอยากหย่าแต่ยังติดที่มีลูกอีกคน(น้องอีกคน คนละพ่อกับเรา) ไม่รู้จะตอบคำถามน้องอีกคนยังไง แม่บอกตอนนี้เราอยู่กันได้แล้ว เราก็มีงานทำมีเงินเดือน แม่ก็มีงานที่พอมีรายได้ ครอบครัวเราอยู่กันได้แล้ว แต่ติดปัญหาเดียวจริง ๆ คือไม่รู้จะบอกน้องอีกคนยังไง
เราก็พุดกลับแม่ไปตรง ๆ ตามที่เราคิดว่า แม่เก็บคนโรคจิตไว้ 1 คนเมื่อสิบห้าปีที่แล้วแต่แม่รู้ไหมว่าหลังจากนั้นมีคนเป็นอาการทางจิตเพิ่มขึ้นอีก 3 คน คือ แม่ หนูและน้อง T^T หนูทนทุกข์ทรมานกลับความไม่มั่นคงทางจิตใจ ความหวาดระแวง ความเกลียดชังต่อการถูกคุกคามทางเพศมาตลอดช่วงอายุที่หนูก้าวผ่านจากเด็กสู่วัยรุ่น มันเป็นปัญหาที่หนูเห็นทางออกมาตลอดว่าควรจบยังไงแต่แม่ก็เหมือนเดินมาปิดทางออกแล้วบอกให้พวกหนูเดินวนกับปัญหาเดิมๆทุกที
หลังจากวันนั้นเราก็ยังไม่ได้คุยกับแม่เราอีกเลย ไม่ได้โกรธแต่เหนื่อยมาก เหนื่อยจนรู้สึกอยากจะตายให้พ้นๆไป คิดจะฆ่าตัวตายแล้ว เตรียมยาไว้แล้ว พอกำลังจะกรอกลงปากกล่องยาก็ตกไปเฉยๆเลยตกใจ ร้องไห้ ทำอะไรไม่ถูก อยากให้แม่เลิกกับไอ้นั่น แต่ไม่รู้จะเริ่มพุดยังไงดี
จนเมื่อวันนี้เองแม่ก็เดินเข้ามาหาเราในห้องแล้วก็พุดว่าจะเลิก ! แต่ไปคุยกับน้องแล้ว น้องคนเล็กไม่เข้าใจ พูดไม่ฟัง ไม่รู้จะทำยังไง เราก็เงียบ …. คือเราก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วเหมือนกัน เราก็ไม่มีคำตอบให้แม่หรอก ก็เลยได้แต่เงียบ อยู่ๆแม่ก็พูดว่าจริงๆแม่ควรตายไปตั้นานแล้ว ไม่น่ามาสร้างความทุกข์ใจให้ลูกเลย ไม่น่ามีชีวิตอยู่เลย แล้วก็เดินออกไป สภาพจิตใจเราทั้งครอบครัวตอนนี้มันร้าวไปหมด แย่ทุกคน แย่มาก เราควรทำยังไง แม่เราควรทำยังไง เราเป็นพี่แต่เราแก้ปัญหาให้น้องไมได้ เรารับฟังแม่โดยไม่มีน้ำตาหรือหาคำพุดมาปลอบประโลมตลอดจนหาทางออกให้ไมได้เลย เราควรทำยังไงดี ?
อาจจะมีพิมพ์ผิดพิมพ์ถูกบ้างนะคะไม่ได้อ่านทวน เราคิดแล้วก็พิมพ์ยาวๆเลย ไม่อยากอ่านข้อความเหล่านี้ซ้ำอีกรอบแล้วเพราะมันฉายวนกับเรามาทั้งชีวิตแล้ว กรุณาดวยนะคะ ขอแนวทาง ขอประโยค ขอข้อคิดที่เราจะไปบอกแม่เราให้ที หลังจบเหตุการณ์นี้(ซึ่งจะจบไหมก็ไม่รู้)เราคงต้องพบแพทย์แล้วจริง ๆ