ลิเวอร์พูลเสมอเชาท์แธมตัน หนึ่งนัดที่โมเมนท์สำคัญขาดหายไป และบั้นปลายอาจไปไม่ถึงฝัน

.
        กับผลงานออกไปเสมอนอกบ้านให้กับทีมแกร่งอย่างเซาท์แธมตัน ซึ่งหลายๆคนมองว่ามันไม่ถือว่าเสียหาย แม้แต่ตัวผู้จัดการทีมอย่างคล้อปเอง ก็ออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมส์ว่า เขาพึงพอใจกับฟอร์มการเล่นของลูกทีม รับได้กับผลการแข่งขันแบบนี้ และให้เครดิตกับคู่ต่อสู้ว่าเล่นได้ดี และสมควรมีแต้มด้วยประการทั้งปวง

        ผมเองก็นั่งดูเกมส์คู่นี้ตลอด 90 นาที หากว่าถึงฟอร์มการเล่น การครองเกมส์ การสร้างโอกาสจบสกอร์ ก็ไม่เห็นมีจุดที่แตกต่างไปจากทีมลิเวอร์พูลในยุคคล้อปที่ผมรู้จักมาในนัดก่อนหน้านี้ คือก็ยังเป็นที่เน้นการเล่นเกมส์รุกเป็นหลัก มาลองดูสถิติผลงานการเล่นในนัดนี้เปรียบเทียบกับเกมส์ก่อนๆ ก็แทบไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ผมยังรู้สึกค้างคาในใจ จึงตัดสินใจนั่งดูไฮไลท์เกมส์นี้ใหม่อีกรอบ

ซึ่งเมื่อดูอีกรอบ รวมระยะเวลาทั้งหมดที่ดูเกมส์นี้ ร่วมๆ120 นาที(รวมไฮไลท์) ผมรู้แล้ว ว่าอะไรหายไป..?
และอะไรเป็นปัจจัยทำให้ผมรู้สึกว่า หงส์แดงที่เล่นกับเซาท์แธมตันเมื่อคืนนี้ ไม่ใช่ทีมเดิม..?


คำตอบก็คือ ความมุ่งมั่นและความกระหายในชัยชนะของผู้เล่นและผู้จัดการทีมหงส์แดงในนัดนี้หายไป การไม่เห็นผู้เล่นของลิเวอร์พูล เล่นด้วยความฮึกเหิมและกระหายในชัยชนะด้วยตนเอง ผมไม่แปลกใจ เพราะนักเตะสไตล์นั้นที่มีสิ่งนี้ด้วยตัวเองที่ผมรู้จักในทีมลิเวอร์พูลมีแค่ 2 คน คือสตีเฟ่น เจอร์ราด กับหลุย ซัวเรส และตอนนี้ทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่รวมทีมแล้ว แต่ผู้เล่นลิเวอร์พูลในชุดปัจจุบันจะมีสิ่งที่ว่านั้น ก็มาจากการปลุกเร้าจากข้างสนามโดยกุนซือเฮฟวี่เมทัลอย่างคล้อป ที่ชอบตะโกนแหกปากออกงิ้วเร่งเร้าให้ลูกทีมเล่นด้วยความมุ่งมั่น

       แต่ร้อยยี่สิบกว่านาทีที่ดูเกมส์นัดนี้ 2 รอบ เหมือนราวกับว่าผมกำลังดูลูกทีมของคล้อปจากเสิ้นเจิ้น กุนซือตัวปลอมคุมทีมอยู่ข้างสนามแทนตัวจริง อิริยาบถในยามปลุกเร้าลูกทีมด้วยการออกมาตะโกนโวยวาย เล่นงิ้วข้างสนามไม่มีเลยสักช็อต จะว่าทีมงานถ่ายทอดสดไม่ได้จับภาพตอนนั้นมาออกอากาศก็ไม่ใช่ เพราะใครๆก็รู้ว่านั้นคือจุดขายของคล้อป ถ้าโปรดิวเซอร์ไม่ตัดมาออกอากาศ ก็สมควรลาขาดออกจากวงการโทรทัศน์ได้แล้ว

       นับตั้งแต่ผมชมเกมส์ที่คล้อปคุมทีมมา เกมส์นี้เป็นเกมส์แรกที่ผมไม่เห็นคล็อปออกมาปลุกเร้าลูกทีม ยิ่งในบรรยากาศที่อึดอัดและยังทำประตูไม่ได้ ก็มักจะเห็นกุนซือเลือดดอยซ์ออกลวดลาย ฟาดงวงฟาดงาไล่จี้ให้นักเตะของตนเองเร่งทำผลงานให้ดีขึ้น แต่เมื่อคืนกลับไม่เห็นเช่นนั้น เห็นนั่งนิ่งผ่นคลายอารมณ์ประหนึ่งอยู่ในสวนดอกไม้ ที่เห็นคล้อปลุกออกมาจากเก้าอี้ก็มีแค่ ตอนออกมาติวเข้มสเตอริด ก็ที่จะส่งศูนย์หน้ารายนี้ลงมาแทน เอ็มเร่ ชาน แต่ก็เป็นการสั่งการธรรมดา ไม่ได้ออกลีลาแอ๊คชั่นแต่อย่างใด กับอีกครั้งที่ลุกขึ้นมาส่งโอริกี้ลงสนามตอนท้ายเกมส์เท่านั้น

       และเมื่อลีดเดอร์ผู้นำของทีมอย่าง คล้อป ไม่นำมาซึ่งความมุ่งมั่นและกระหายในชัยชนะเหมือนอย่างที่เคยทำแล้ว จึงไม่แปลกเลยที่นักเตะในสนาม จึงดูเล่นกันเนือยๆ เรื่อยๆ ไม่อาทรร้อนใจที่จะต้องเอาชัยชนะให้ได้เหมือนอย่างที่เคย จบเกมส์ด้วยการเสมอกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก

       แน่นอนว่านักเตะทุกคนไม่ใช่ว่าไม่มีความมุ่งมั่นเหมือนกันกับผู้เล่นลิเวอร์พูลส่วนใหญ่ในนัดนี้ทั้งหมดบางคนก็ยังแสดงให้ผมเห็นว่า เขายังมีความมุ่งมั่นที่จะทำผลงานให้ดีอยู่ เพียงแต่ผมเห็นแค่ 2 คน และเห็นว่าการที่เขา 2 คนนี้มุ่งมั่นที่จะทำผลงาน ก็เพื่อเหตุผลส่วนตัวมากกว่าเป็นการทำเพื่อทีม
-    คนแรกที่ผมเห็นว่าเขาทุ่มเทเต็มร้อยในนัดนี้ ทั้งที่สภาพร่างกายก็ยังไม่ฟิตดี ก็คือ คูตินโญ่ แต่อย่างที่บอกไป ผมว่าเขาทำเพื่อเหตุผลส่วนตัว ที่อยากจะทำผลงานให้ดี ให้ยานแม่สนใจ และตัดสินใจมาซื้อตัวเขาไปสักทีมากกว่าที่จะทำเพื่อทีม
-    อีกคนคือ สเตอริด ที่ถูกเปลี่ยนลงมาแค่ 12 นาทีท้ายนั้นแหละ แต่เขาก็มุ่งมั่นด้วยเหตุผลส่วนตัวเช่นเดียวกับคูตี้ เพียงแต่ศูนย์หน้ารายนี้ อาจมุ่งมั่นทำผลงานและต้องการทำประตูให้ได้ เพื่อพิสูจน์ให้คล้อปรู้ว่า การตัดสินใจทิ้งเขาไว้บนม้านั่งสำรองเป็นเรื่องที่ผิด

แน่นอนว่าสิ่งที่ผมคิดอาจไม่ถูกต้อง อาจเป็นการมองโลกในแง่ร้ายเกินไปกับทั้ง2 คนนี้ แต่ในความเป็นจริงเรื่องที่ผมว่ามานี้ ก็ไม่ใช่ไม่มีทางเป็นไปได้

       และด้วยเหตุนี้ ปัจจัยเดียวที่ผมจะโทษว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูลไม่สามารถเก็บชัยชนะในนัดนี้ได้ ก็คือการลงสนามไปเล่นโดยไม่พกความกระหายในชัยชนะและความมุ่งมั่นลงไปด้วย

       ผมจะไม่โทษอาการ”อ่อนล้า”ของนักกีฬาที่ต้องผ่านการไปรับใช้ชาติ ไปลงเล่นให้กับทีมชาติมา เพราะทีมอื่นๆที่ร่วมแข่งขันในรายการพรีเมียร์ลีค ต่างก็มีนักเตะเช่นนั้น รวมทีมอยู่ทุกทีม ทำไมเขาไม่ค่อยโทษว่าเกมส์ทีมชาติเป็นสาเหตุเหมือนที่แฟนบอลของเราพยายามโทษอยู่บ้างล่ะ..?

       และผมจะไม่โทษ “ฝนฟ้า”ซึ่งเป็นเรื่องปกติของฟุตบอลอังกฤษที่เล่นอยู่บนแผ่นดินที่เป็นเกาะอยู่แล้ว เพราะถ้ามันเป็นเรื่องจริง เกมส์ที่ต้องลงเล่นท่มกลางสายฝนที่ผ่านมาทั้งลิเวอร์พูลก็จะไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เลยสักนัดสิ ซึ่งมันไม่ใช่ ทีมในยุคคล้อปก็เล่นท่ามกลางสายฝนแล้วเอาชนะคู่แข่งได้ในหลายนัด ยกตัวอย่างเฉพาะปีนี้ เกมส์กับอาเซน่อล ก็ฝนตก ก็ชนะมาได้ 4-3 หรือเกมส์กับอัลด์ที่ชนะ 5-1 นั้นก็มีฝนตก ดังนั้นสำหรับผมเรื่องฝนตกมันจึงเป็นแค่”ข้ออ้าง”ที่หาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับกองเชียร์บางคนต่างหาก

       แต่ผมโทษคล้อป ว่าเป็นสาเหตุที่เก็บชัยชนะนัดนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนตัวช้า เรื่องจัดตัวที่ไม่ฟิตใดๆทั้งสิ้น แต่ผมโทษเขา เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เริ่มจุดไฟแห่งความมุ่งมั่น ทำให้นักเตะเล่นกันแบบไม่กระหายในชัยชนะ และเป็นที่มาของผลเสมอในนัดนี้

       แน่นอนว่าผลเสมอนัดนี้อาจจะไม่เสียหาย และยังไม่หลุดจากจุดหมายที่ทีมหรือตัวคล้อปเองวางเอาไว้ คือติด 1 ใน 4แต่โมเม้นท์ที่หายไปในลักษณะนี้ หากมันเกิดขึ้นอีกในเกมส์ต่อๆไป คือลงเล่นกันไปโดยไม่กระหายชัยชนะก็ลืมมันไปเสียเถอะนะ กับสิ่งที่ทุกคนรอคอยอย่างตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีค

       ผมไม่รู้ว่าการที่คล้อปนั่งนิ่ง ไม่ออกมาปลุกเร้าลูกทีมเหมือนเช่นที่เคย เพราะต้องการจะลดกระแสกดดัน ต้องการให้อาทิตย์นี้ตำแหน่ง จ่าฝูง เปลี่ยนมือไปรึเปล่า ซึ่งถ้าใช่ มันก็คือ ปัญหาและเป็นปัญหาใหญ่ด้วย

       เพราะก่อนหน้านี้ผมมองว่า ปัญหาของคล้อปไม่ใช่การทำทีมโดยไม่เน้นบาลานซ์ ให้เล่นเกมส์รุกโดยไม่สนใจเกมส์รับ หรือปัญหาคอนโทรลนักเตะไม่ได้ แต่เป็นปัญหาทางสภาพจิตใจ ที่แบกรับไม่ไหวกับความกดดัน เห็นได้จากอาการ “ปากแข็ง ขาสั่น” ที่ปัดป้องพัลวัน เมื่อทีมถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ และดูจะยิ่งชัดเมื่อคล้อปพยายามลดกระแสข่าวต่างๆ ที่เหมือนออกแนวเหมือนจะแถเพราะไม่อยากรับแรงกดดัน จึงออกมาบอกว่าลิเวอร์พูลได้เปรียบเพราะไม่มีเกมส์ถ้วยยุโรปนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่มีอะไรที่ได้เปรียบทีมเต็งอื่นๆเลย และเมื่อถุกถามถึงความหวังในยามที่นั่งบัลลังค์จ่าฝูงเป็นครั้งแรก ก็บอกว่ามันเร็วเกินไปที่จะคิดไกลไปถึงตำแหน่งแชมป์ ซึ่งจริงๆมันก็ใช่ แต่บางส่วนและประสบการณ์ในอดีตอย่างบอลถ้วย 2 รายการในปีก่อน มันก็สะท้อนภาพในจิตใจ ว่าคนเช่นนี้อาจไม่มั่นคงพอที่จะต้องแบกความกดดันแบบนี้ต่อไป เมื่อเส้นทางใกล้ถึงจุดหมาย

ป.ล.ไม่รู้ผมจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า แต่ก็เอาน่าในฐานะแฟนบอลคนหนึ่ง และนี้ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวก็เท่านั้นเองนะครับ แฟนๆหงส์แดงไม่ต้องคิดมาก ถือซะว่าอ่าน ความเห็นของ “แกะดำในฝูงหงส์แดง”ก็แล้วกันครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เวอร์ไปมั้งครับ จะให้ออกมาตะโกนแหกปากโวยวายทุกเกมส์ แบบนั้นผมว่าจะดูไม่ดีมากกว่าครับ

คล็อปป์เป็นคนนะครับ ไม่ใช่หุ่นยนต์ แกอาจจะเป็นไข้ ท้องเสีย หรือเป็นอะไรหรือเปล่าเราก็ไม่ทราบได้ แต่ขนาดผู้จัดการทีมบรมครูอย่างท่านเซอร์ จ่ามู หรือใครก็ได้ที่เจ๋งๆ ผมยังไม่เคยเจอใครจะอินขนาดออกมาเล่นงิ้วมันซะทุกแมตช์เลยครับ

อือ ถ้าแกนั่งเฉย แคะขี้ฟันไปวันๆ นั่งเฉยๆเป็นทองไม่รู้ร้อนไปทุกแมตช์ อันนั้นค่อยว่ากันใหม่ แต่จะมีบางแมตช์ที่แกนิ่งบ้างใจเย็นบ้าง ผมว่าน่าจะเป็นเรื่องปรกตินะเนี่ย

แหม่ ทีมท่านได้คล็อปป์ไป ดันบอกว่าเค้าปากกล้าขาสั่น ถ้าบอกว่าไก่ได้พลอย หัวล้านได้หวี จะแรงไปไหม นี่ถ้าเวนเกอร์วางมือเมื่อไหร่ อยากให้อาร์เซนอลไปตามจีบคล็อปป์มาแทนเลย จริงๆถ้าให้เทียบ ตัวนักเตะหงส์ยังเป็นรองทีมอื่นนะครับ แต่มาถึงขนาดนี้ ฝีมือคล็อปป์จริงๆ กะอีแค่แกเมื่อยหรือขี้เกียจหรือป่วย นานๆทีแกจะนิ่งบ้าง กลายเป็นคนไร้สมรรถภาพ ปากแข็ง ขาสั่นไปซะงั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่