ความเห็นเกี่ยวกับทุนวิทยาศาสตร์ต่างๆ

ขอให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการและทุนต่างๆ เน้นที่เป็นวิทยาศาสตร์นะครับ (เพราะผมมีประสบการณ์บ้างแค่ในส่วนนี้ แถมอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ) สำหรับน้องๆและพ่อแม่ที่กำลังคิดจะให้ลูกเข้าโครงการต่างๆ ส่วนใหญ่ปนกับความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ตรวจสอบกับทุนหรือโครงการนั้นๆอีกที ตัวผมเองตอนเซ็นสัญญาทุนจริงๆก็ไม่ค่อยได้อ่านหรอกครับ โดนประวัตินักวิทยาศาสตร์ที่ชอบเข้าครอบงำ จนโดนสะกดจิตว่าคงอยากเป็นแค่อย่างเดียวละชีวิตนี้ (ตอนเด็กๆ อย่าให้ลูกอ่านแต่ประวัตินักวิทยาศาสตร์นะครับ หรือเฉพาะวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์นะครับ อ่านหลายๆอย่าง ลองทำหลายๆอย่าง) พ่อแม่ช่วยตรวจสอบทุนด้วยนะครับ คุยกับเค้า คุยหลายๆครั้ง อ่านกฎเกณฑ์หลายๆครั้ง แต่อย่าตัดสินใจให้เค้า (พสวท ผมเขียนยาวหน่อยเพราะเจอมากับตัว)

1. พสวท. ไม่ใช่ทุนยากจนครับ ถึงน้องบรรยายว่าขาดแคลนขนาดไหนก็ไม่มีผล เป็นทุน "พัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี" ตามนั้น และต้องอยู่ในโครงการ พสวท ถึงจะมีโอกาสสอบเอาทุน พสวท สำหรับไปเรียนต่อต่างประเทศก็ประมาณ 10 ล้านแหละครับ จะใช้ทุนก็คูณสองเอา การใช้ทุนด้วยการทำงานก็หนึ่งเท่าแต่อย่างมากไม่เกิน 10 ปี นอกจากนั้นก็มีทุน กพ ทุนของหน่วยงานต่างๆ แต่ถ้าไม่อยากผูกมัดและอยากไปเรียนต่อต่างประเทศก็สามารถขอทุนให้เปล่าจากมหาวิทยาลัยหรือรัฐบาลต่างประเทศได้ครับ (google ดูเอาแล้วกันนะครับ) ทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นต้น แต่ก็ยากกว่ามากโดยเฉพาะปริญญาตรี แทบเป็นไปไม่ได้เลยครับที่เค้าจะให้นักเรียนจากประเทศอื่น พอมีครับ แต่ยากเท่านั้นเอง ส่วนปริญญาโทหรือเอกหาทุนง่ายหน่อย ถึงคุณสมัครไม่ได้ทุนตอนอยู่ประเทศไทยกัดฟันหาเงินไปเองได้ซักเทอมหรืออย่างมากปีหนึ่งก็หาทุนได้แล้วครับ(ส่วนใหญ่อ่ะนะ) โดยเฉพาะที่อเมริกา เพราะเค้าไม่ได้มอง graduate student  เป็นนักเรียน แต่เป็นแรงงานที่จะไปช่วยสอนหรือทำวิจัย จบมาก็มีอิสระ ไม่ต้องคิดเรื่องชดใช้ทุน หรือ drama ให้วุ่นวาย ผมก็เดินดุ่มๆไปถาม program director เลยว่ามีงานให้ทำหรือเปล่าอยากได้งาน เทอมถัดมาก็ได้งานตรวจการบ้านเลย งานเบามาก รับเงินด้วยเสียงเพลง จากนั้นสอบภาษาสำหรับการสอน ก็ได้เป็นผู้ช่วยสอน ฝึกการสอนไปในตัว ถ้าคุณได้รับทุนรัฐบาลไทย เค้าก็อนุญาตให้รับทุนผู้ช่วยสอนหรือวิจัยได้เพิ่มนะครับ ประหยัดค่าเรียนให้ประเทศไปอีกเพราะมหาลัยจ่ายให้ อยากเก็บเงินก็คงได้หลักล้าน แต่ผมใช้ทุนนี้หาประสบการณ์(เที่ยว)จนเกลี้ยงเลยครับ 555
สำหรับทุนจากประเทศไทยต้องยอมรับว่า ทุนเล่าเรียนหลวงหรือทุนอานันทมหิดล นั้นสูงสุด และไม่มีข้อผูกมัด แต่เกือบทั้งหมดก็กลับมาทำงานรับใช้ประเทศ ด้วยสัญญาใจ ตามที่อาจารย์ผมผู้ได้รับทุนเล่ามา

2. ถ้าลูกผมมีความสามารถพอและชอบวิทยาศาสตร์จริงจังผมก็คงยินดีมากถ้าลูกผมเข้าไปอยู่ในโครงการ พสวท,โรงเรียนมหิดลวิทย์หรือกำเนิดวิทย์ แต่บอกไว้ก่อนนะครับถึงแม้ผมจะจบวิทยาศาสตร์ ก็ไม่ได้คิดว่าสาขานี้สำคัญที่สุด ทุกอาชีพมีเกียรติ หาเลี้ยงชีพ พัฒนาประเทศได้หมด เพียงแค่คุณรักมันก็ดีมีประโยชน์หมด ผมกลับมองว่าประเทศน่าจะเพิ่มให้ทุนคนเก่งคนดีไปเรียนรัฐศาสตร์แล้วกันที่ในสภาไว้ให้เค้าเลยครับ สมมติว่าลูกผมเรียนเก่งและชอบวิทยาศาสตร์แล้วกันนะครับ แค่เพื่อให้เห็นว่า ผมมองจากมุมมองของผู้ปกครองจริงๆ ไม่ได้คิดว่าลูกจะสอบติดหรอกครับ เพราะทั้งหมดนี้เข้ายากหมด(โอกาสน้อยมาก) และไม่มีความอยากผลักดันหรือความฝันอยากให้ลูกเป็นอะไรทั้งนั้น ไม่เหลือปมอะไรที่จะส่งต่อให้ลูกสานต่อละ คิดเองแล้วกันนะลูก


-โครงการ พสวท (ม.ปลาย) ถ้าลูกรักจริง โตขึ้นอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมก็คงให้เค้าเลือกรับทุนเลย แต่ถ้าลูกชอบและเรียนได้คงให้เข้า พสวท สมทบ ไม่ได้เรียนฟรีครับ แต่ค่าเทอมถูกมากเมื่อเทียบกับการศึกษาที่ได้ ตอนเป็นนักเรียนผมเคยติวลูกของผู้บริหารธนาคารแห่งหนึ่ง ตอนผมจะไปเรียนต่อเค้าอยากให้ลูกเค้าเรียนคณิตศาสตร์กับอาจารย์มหาวิทยาลัยพร้อมกับค่าสอนที่ให้กำหนดเอง ผมก็ไปถามให้ครับ ไม่มีใครรับสอนครับ บางคนผมไม่กล้าแม้แต่จะไปถามเพราะรู้ว่าคำตอบคือไม่แน่ๆ (เดาว่าเหตุผลน่าจะเป็น เวลาให้นักศึกษายังไม่ค่อยจะมีเลย, ทำวิจัย, สอนค่ายโอลิมปิควิชาการอยู่, ต้องออกข้อสอบมหาวิทยาลัยไม่ควรสอน, ฯลฯ) แต่ถ้าคุณเข้าโครงการนี้คุณได้ที่ปรึกษาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งแต่อยู่ ม.4 คุณคิดดูแล้วกันนะครับว่าลูกคุณจะได้รับการศึกษาระดับไหนด้วยค่าเทอมที่ถูกมากแม้ต้องจ่ายเอง ค่าห้องแลบ ค่าเข้าค่าย พสวท ออกให้ แต่มีข้อเสียนะครับไม่ใช่ว่าไม่มี และใหญ่มาก คืออย่าหวังว่าลูกคุณจะทำข้อสอบได้เก่ง หรือสอบแข่งขันวิชาการได้ดี (เช่น สอวน) หรือช่วยให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะ พสวท ที่รับทุน เพราะเวลาที่หมดไปกับการทำโครงงานวิทยาศาสตร์นั้นพอๆกับเรียนในห้อง และผมเครียดกับโครงงานมากกว่าการเรียนในห้องด้วยซ้ำ แต่เป็นส่วนที่เมื่อมองย้อนกลับไปผมได้ความรู้และทักษะจากตรงนี้มากทึ่สุด ทักษะการแก้สถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย การสร้างองค์ความรู้ ความหน้าด้านกับความล้มเหลว พอผมจบ ม.6 ผมรู้เลยว่า ผมเรียนต่อไปจนจบแน่เพราะหน้าด้านกับความล้มเหลวและมีความถึกอย่างมาก  เป็น masochist กับความลำบาก ซึ่งก็จริง เพราะตอนเรียน ป.เอก แทบไม่มีความช็อคกับความล้มเหลวต่างๆเลย ด้านชามาก และมีความสุขกับความล้มเหลวในระดับนึง (“อึม แปลก ทำไมวิธีนี้มันล้มเหลวหว่า ลองเปลี่ยนวิธีซิ ว้าล้มเหลวอีกแล้ว 555 แย่จัง เดี๋ยวมาต่อพรุ่งนี้ละกัน” อารมณ์ประมาณนั้นครับ) เพราะฉะนั้นผมจะให้ลูกเรียนจนถึง ม.5 แล้วถามเค้าว่าจะไปต่อมั๊ย ไม่ต่อก็ออก รีบมาเตรียมตัวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามสาขาที่อยากเปลี่ยน ถ้าเด็กเก่งขนาดสอบทุนได้ ใช้เวลาปีเดียวเตรียมตัวทันครับ แถมไม่ต้องใช้ทุนเยอะ เรียนต่อที่เดิมนั่นแหละ แต่ไม่ต้องทำโครงงานหนัก เพราะ ม.4 ม.5 ว่าหนักแล้ว ม.6 หนักกว่า


-เข้า พสวทตอน ป.ตรี โตแล้วลูก ต้องตัดสินเลือกเองแล้วล่ะ อ่านสัญญาทุนดีๆล่ะ


-โรงเรียนมหิดลวิทย์และโรงเรียนกำเนิดวิทย์ อันนี้น่าจะตอบโจทย์ผู้ปกครองที่ห่วงลูกหลานคิดว่า พสวท อาจจะแนวไปหน่อย ทำโครงงานวิทย์หนักไปหน่อย เข้าโรงเรียนเหล่านี้เด็กเก่งทุกคน การเข้าแพทย์หรือสาขาใดๆของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไม่ไกลเกินเอื้อมครับ แน่นอนครับถ้ามีตังค์จ่ายค่าเทอมโรงเรียนอย่างเช่น เตรียมอุดม รร.สาธิตต่างๆ สวนกุหลาบ โรงเรียนอินเตอร์หลายแห่ง รวมอยู่ในกลุ่มนี้ แต่ถ้าเน้นวิทย์เข้มๆอุปกรณ์พร้อมทำแลป อาจารย์ที่คัดมาเก่งๆจบวิทยาศาสตร์มาโดยตรงก็ต้อง มหิดลวิทย์หรือกำเนิดวิทย์เลยครับ จุฬาภรณ์ก็น่าสนใจ

-โครงการ สอวน อันนี้เรียนอยู่ที่ไหนก็ได้ ค่อนข้างยืดหยุ่น จะมีการเข้าค่าย สอวน ตามสาขาวิชาที่นักเรียนถนัด แต่ผมมองว่าเป็นการติวข้อสอบขั้นเทพมากกว่า และถ่ายทอดโดยอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในสาขานั้นๆ รู้จริง รู้ลึก และฟรี คือถ้านักเรียนทำโจทย์ระดับนั้นได้เช่นวิชาคณิตศาสตร์ก็ไม่ต้องไปติวที่ไหนแล้วครับ ข้อสอบ O-net, A-net, Z-net คงได้เกือบเต็ม เพียงแต่ว่าจะได้ทำ Lab ทดลองจริงจังคงเป็นรอบลึกๆแล้ว ถ้าไปต่อได้ลึกๆ ได้เหรียญระดับประเทศก็ได้โควต้าเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ได้สอบโควต้าแพทย์หรือวิศวะของมหาวิทยาลัยชั้นนำ หลายสาขารับเข้าเรียนเลย ถ้าไปต่อลึกเป็นตัวแทนประเทศไปแข่งโอลิมปิคก็ขั้นเทพจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกก็มีทุน พสวท ให้ บางส่วนก็สอบทุนเล่าเรียนหลวง เรียนต่อไทยมีโควต้าให้พิเศษ แต่ส่วนใหญ่ที่เป็นตัวแทนประเทศก็เป็นเตรียมอุดมกับมหิดลวิทย์ครับ กำเนิดวิทย์คงตามมาในไม่ช้านี้

3. ถ้าคิดขั้นถัดไปอย่างเช่นจบกับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจะเป็นไง ถ้าเงินคือคำตอบของชีวิตอย่ารับทุนรัฐบาลครับ อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้จนนะครับ แน่นอนไม่รวย 555 แต่อาจารย์เค้าคงไม่ได้ออกมาเป่าประกาศว่าได้เงินเท่านั้นเท่านี้ เพราะมันค่อนข้างเป็นแป้งตาบู (taboo) และไม่ใช่สาระของการเป็นครู ผมเลยไม่มีสถิติที่น่าเชื่อถือ เอาจากตัวเองแล้วกันนะครับ (ผมเคยได้น้อยกว่านี้พอสมควร แต่ขอย้ายที่ทำงานเพราะทนพิษกรุงเทพไม่ไหว) ตอนนี้ผมอยู่ในสายงานที่เป็น Research Track ดังนั้นก็จะไม่มีโหลดงานสอน แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยต้องสอนตามกฎหมายอย่างต่ำสองวิชาต่อปี (ผมยังไม่เคยตรวจสอบกฎหมายนี้นะครับ ผู้รู้ช่วยตอบที) ซึ่งสองวิชานี้จ่ายเป็นรายชั่วโมง รวมค่าสอนกับเงินเดือนก็หกหลักได้ครับ คือคิดจากการสอน 8 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ แต่ถึงไม่มีกฎหมายมากำหนดก็สอนอยู่ดี มีอาจารย์ที่ท่านเคยกล่าวตอนเกษียณว่า "รักการสอน เพราะเป็นอาชีพที่เปิดโอกาสให้โม้แล้วมีคนฟังเป็นชั่วโมง" ท่าจะจริงครับ งานวิจัยนั้นค่อนข้างเสี่ยงหน่อยเพราะเวลาอาจจะผ่านไปเป็นปีโดยไม่ได้อะไรเลยหรืออาจจะโดนถอยหลัง แต่งานสอนเราได้ถ่ายทอดให้คนรุ่นหลังไปด้วย ความรู้ที่มีก็ไม่เสียเปล่า (Richard Feynman ได้กล่าวไว้) ดังนั้นถึงไม่มีกฎหมายก็ขอสอนบ้างแต่คงไม่เยอะ สรุปก็คือทำงาน 8 ชั่วโมงต่ออาทิตย์ (ถ้าไม่รวมงานเอกสาร มคอ ที่น่าเบื่อเอาการ 555) ค่าตอบแทนที่กล่าวไปยังไม่รวมค่าวิจัยและเงินตอบแทนค่าวิจัยต่างๆ อีกนะครับ นี่เฉพาะที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไร แถมนี่เป็นสำหรับกลุ่มชาว "อดร" อย่างผมซึ่งต่ำสุดในห่วงโซ่อาหารของอาจารย์มหาลัยปัจจุบัน  (อ.ดร-->ผศ-->รศ-->ศ) แต่คงต้องอัพเกรดเร็วๆนี้แล้วครับ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนไล่ออก เวลาที่เหลือทำอะไร ผมก็เล่นครับ ก็คืองานวิจัยนั่นแหละ แต่ผมเลือกตามใจตัวเองตลอด ถือเป็นเวลาผ่อนคลายชีวิต เพราะเกณฑ์การอยู่ Research Track ของผมไม่หนักหนาสาหัสอะไร เฉลี่ย 1 paper ต่อปีก็พอ และผมเชื่อว่าการทำวิจัยจะทำให้ความรู้แน่น และถ่ายทอดความรู้ให้นักศึกษาได้อย่างทรงพลัง

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่