อ่าน “ข้อความ” ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “ชี้แจง” ความนัยเกี่ยวกับการนำข้าวซึ่งซื้อมาจากชาวนามาขายแล้ว
“เข้าใจ” กับ “เป้าหมาย”
แม้ข้อกล่าวหาในเชิง “โจมตี” อันมาจากกรรมการผู้ช่วย “รองนายกรัฐมนตรี”
จาก “สมาชิก สนช.” และจากอดีต ส.ส. แห่งพรรคประชาธิปัตย์จะรุนแรง
รุนแรงถึงขั้นว่า “ทุบ” ราคา ทำลายกลไก “ตลาด”
รุนแรงถึงขั้นว่า มิได้เป็น “ข้าวสาร” อันมาจาก “ชาวนา” อย่างแท้จริง หากแต่สมคบคิดกับ “โรงสี”
เท่ากับขานรับ “บทสรุป” ตามทฤษฎี “สมคบคิด” อย่างที่เคยลอยลมมาจาก “ทำเนียบรัฐบาล”
อย่างที่ลอยลมมาจาก “สำนักงานเลขาธิการ คสช.” ว่าเป็นการร่วมมือระหว่าง “กลุ่มการเมือง” กับ “กลุ่มโรงสี”
ในการสร้าง “สถานการณ์” เพื่อ “ดิสเครดิต” รัฐบาล และ คสช.
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ “เนื้อความ” อันมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นุ่มนวล เปี่ยมด้วยความสุขุม คัมภีรภาพ
นำ “ความจริง” จาก “ชาวนา” มาแผ่แบ
ความจริงจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นก็คือ ความจริงที่ซื้อจากชาวนาหากเป็นราคาข้าวเปลือกก็ 12 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
หากสีมาเป็นข้าวสารก็ 20 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
ราคานี้เป็นการกำหนดโดย “ชาวนา” ในพื้นที่ และเป็นราคาอันเป็นที่ยอมรับว่าอยู่ในจุดคุ้มทุนของชาวนา และมีกำไรเล็กน้อย
นั่นก็คือ สูงกว่าราคาต่ำสุด 6 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
หมายความว่า ชาวนาได้กำไรจากการขายข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม 14 บาท และเมื่อสีเป็นข้าวสารแล้วก็อยู่ในจุดที่ได้กำไร
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำมา “ขาย” ในราคาที่ “ซื้อ”
นั่นก็คือ ไม่ได้คิดค่าขนส่ง นั่นก็คือ ไม่ได้นำลงภายในกระบวนการ “บรรจุภัณฑ์” ที่สลับซับซ้อน
และไม่ได้ทำตามขนบหรือธรรมนิยมแห่ง “พ่อค้า แม่ขาย”
เท่ากับมิได้แสวงหา “กำไร” จาก “ส่วนต่าง” ของราคา
เพราะหากคิดกำไรเอาไว้ตามแบบพ่อค้าแม่ขายที่ “ซื้อมา ขายไป” ก็จะต้องขายในราคา 25 บาท หรือ 28 บาทจึงจะได้กำไร
แล้วใครกันเล่าที่ขาย 25 บาท แล้วใครกันเล่าที่ขาย 28 บาท !!!
ถามว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้กระบวนการ “ขายข้าว” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นเรื่องแสลงใจอย่างรุนแรง ล้ำลึก
ก็เหมือนอย่างที่ “บอกอ ลายจุด” ได้เคยทำมาแล้วในกรณี “ข้าวถุง”
ก็เหมือนอย่างที่กระบวนการของ “โครงการรับจำนำข้าว” โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15,000 บาทต่อเกวียน
เมื่อ “บอกอ ลายจุด” รับซื้อ 15,000 บาท ก็เป็นเรื่อง
เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซื้อข้าวจากชาวนามา 20 บาท แล้วยังดันขาย 20 บาท อย่างอึกทึกครึกโครมก็เป็นเรื่อง
ต้องซื้อข้าวเปลือกตันละ 6,000 บาท จึงจะถูกต้อง
ต้องขายข้าวสารหอมมะลิบรรจุถุง 25 บาทต่อ 1 กิโลกรัม หรือ 28 บาทต่อ 1 กิโลกรัม จึงจะไม่เป็นการทุบราคา
ปฏิบัติการ “ขายข้าว” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงมีผลทะลุทะลวง ร้อนแรง
หากไม่ร้อนแรง
คงไม่มีเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจาก กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี จากสมาชิก สนช. และจากอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
เริ่มจาก “ร้อนแรง” ที่ “กระบอกตา”
ตามมาด้วยความพยายามในการรุกไล่ ทำลายล้าง และจะบดขยี้ด้วยการยึดทรัพย์ 3.5 หมื่นล้านบาท
ทุกอย่างเป็นไปตาม “แผน” ทุกอย่าง “กำหนด” เอาไว้แล้ว
http://www.matichon.co.th/news/364312
นี่ถือ "วิถี" การเมือง
ที่นักการเมืองต้องช่วงชิง เบียดขบ เพื่อเป้าหมายทางการเมือง
แต่แปลกใจที่ว่า นักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ทำไมไม่เคยคิดนโยบายดี ๆ ทำไมไม่เคยทำอะไรดี ๆ
เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง
มีแต่การทำลายล้าง อิงอาศัยอำนาจนอกระบบ วิธีการสกปรกสามานย์โสมม
ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
และที่น่าแปลกใจกว่านั้น คือมีกลุ่มคนที่เห็นดีเห็นงาม พออกพอใจ สะใจ
ที่ได้เห็นการทำลายล้างแบบกระทืบตัวบทกฎหมายและความยุติธรรม
เมื่อมีคนพออกพอใจ ส่งเสียงเชียร์ เป่าปาก ตบมือ ร้องไชโยโห่ฮิ้วด้วยความสะใจ
พวกที่ไม่เคยคิดอะไรดี ๆ นอกจากการทำลาย ใส่ร้าย บิดเบือน โกหก ถ่วงความเจริญของบ้านเมือง
จึงยืนอยู่ได้ในทางการเมือง
ผู้หญิงอะไร แมนคอด ๆ : มาดเข้มการเมือง ไม่มีคำด่า ไม่มีคำหยาบ มาจาก ‘ยิ่งลักษณ์’
โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “ชี้แจง” ความนัยเกี่ยวกับการนำข้าวซึ่งซื้อมาจากชาวนามาขายแล้ว
“เข้าใจ” กับ “เป้าหมาย”
แม้ข้อกล่าวหาในเชิง “โจมตี” อันมาจากกรรมการผู้ช่วย “รองนายกรัฐมนตรี”
จาก “สมาชิก สนช.” และจากอดีต ส.ส. แห่งพรรคประชาธิปัตย์จะรุนแรง
รุนแรงถึงขั้นว่า “ทุบ” ราคา ทำลายกลไก “ตลาด”
รุนแรงถึงขั้นว่า มิได้เป็น “ข้าวสาร” อันมาจาก “ชาวนา” อย่างแท้จริง หากแต่สมคบคิดกับ “โรงสี”
เท่ากับขานรับ “บทสรุป” ตามทฤษฎี “สมคบคิด” อย่างที่เคยลอยลมมาจาก “ทำเนียบรัฐบาล”
อย่างที่ลอยลมมาจาก “สำนักงานเลขาธิการ คสช.” ว่าเป็นการร่วมมือระหว่าง “กลุ่มการเมือง” กับ “กลุ่มโรงสี”
ในการสร้าง “สถานการณ์” เพื่อ “ดิสเครดิต” รัฐบาล และ คสช.
ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ “เนื้อความ” อันมาจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นุ่มนวล เปี่ยมด้วยความสุขุม คัมภีรภาพ
นำ “ความจริง” จาก “ชาวนา” มาแผ่แบ
ความจริงจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นก็คือ ความจริงที่ซื้อจากชาวนาหากเป็นราคาข้าวเปลือกก็ 12 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
หากสีมาเป็นข้าวสารก็ 20 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
ราคานี้เป็นการกำหนดโดย “ชาวนา” ในพื้นที่ และเป็นราคาอันเป็นที่ยอมรับว่าอยู่ในจุดคุ้มทุนของชาวนา และมีกำไรเล็กน้อย
นั่นก็คือ สูงกว่าราคาต่ำสุด 6 บาทต่อ 1 กิโลกรัม
หมายความว่า ชาวนาได้กำไรจากการขายข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม 14 บาท และเมื่อสีเป็นข้าวสารแล้วก็อยู่ในจุดที่ได้กำไร
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำมา “ขาย” ในราคาที่ “ซื้อ”
นั่นก็คือ ไม่ได้คิดค่าขนส่ง นั่นก็คือ ไม่ได้นำลงภายในกระบวนการ “บรรจุภัณฑ์” ที่สลับซับซ้อน
และไม่ได้ทำตามขนบหรือธรรมนิยมแห่ง “พ่อค้า แม่ขาย”
เท่ากับมิได้แสวงหา “กำไร” จาก “ส่วนต่าง” ของราคา
เพราะหากคิดกำไรเอาไว้ตามแบบพ่อค้าแม่ขายที่ “ซื้อมา ขายไป” ก็จะต้องขายในราคา 25 บาท หรือ 28 บาทจึงจะได้กำไร
แล้วใครกันเล่าที่ขาย 25 บาท แล้วใครกันเล่าที่ขาย 28 บาท !!!
ถามว่าเหตุปัจจัยอะไรทำให้กระบวนการ “ขายข้าว” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นเรื่องแสลงใจอย่างรุนแรง ล้ำลึก
ก็เหมือนอย่างที่ “บอกอ ลายจุด” ได้เคยทำมาแล้วในกรณี “ข้าวถุง”
ก็เหมือนอย่างที่กระบวนการของ “โครงการรับจำนำข้าว” โดยตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15,000 บาทต่อเกวียน
เมื่อ “บอกอ ลายจุด” รับซื้อ 15,000 บาท ก็เป็นเรื่อง
เมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซื้อข้าวจากชาวนามา 20 บาท แล้วยังดันขาย 20 บาท อย่างอึกทึกครึกโครมก็เป็นเรื่อง
ต้องซื้อข้าวเปลือกตันละ 6,000 บาท จึงจะถูกต้อง
ต้องขายข้าวสารหอมมะลิบรรจุถุง 25 บาทต่อ 1 กิโลกรัม หรือ 28 บาทต่อ 1 กิโลกรัม จึงจะไม่เป็นการทุบราคา
ปฏิบัติการ “ขายข้าว” ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงมีผลทะลุทะลวง ร้อนแรง
หากไม่ร้อนแรง
คงไม่มีเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจาก กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี จากสมาชิก สนช. และจากอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
เริ่มจาก “ร้อนแรง” ที่ “กระบอกตา”
ตามมาด้วยความพยายามในการรุกไล่ ทำลายล้าง และจะบดขยี้ด้วยการยึดทรัพย์ 3.5 หมื่นล้านบาท
ทุกอย่างเป็นไปตาม “แผน” ทุกอย่าง “กำหนด” เอาไว้แล้ว
http://www.matichon.co.th/news/364312
นี่ถือ "วิถี" การเมือง
ที่นักการเมืองต้องช่วงชิง เบียดขบ เพื่อเป้าหมายทางการเมือง
แต่แปลกใจที่ว่า นักการเมืองกลุ่มหนึ่ง ทำไมไม่เคยคิดนโยบายดี ๆ ทำไมไม่เคยทำอะไรดี ๆ
เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเมือง
มีแต่การทำลายล้าง อิงอาศัยอำนาจนอกระบบ วิธีการสกปรกสามานย์โสมม
ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
และที่น่าแปลกใจกว่านั้น คือมีกลุ่มคนที่เห็นดีเห็นงาม พออกพอใจ สะใจ
ที่ได้เห็นการทำลายล้างแบบกระทืบตัวบทกฎหมายและความยุติธรรม
เมื่อมีคนพออกพอใจ ส่งเสียงเชียร์ เป่าปาก ตบมือ ร้องไชโยโห่ฮิ้วด้วยความสะใจ
พวกที่ไม่เคยคิดอะไรดี ๆ นอกจากการทำลาย ใส่ร้าย บิดเบือน โกหก ถ่วงความเจริญของบ้านเมือง
จึงยืนอยู่ได้ในทางการเมือง