สวัสดีครับ ผมเขียนเรื่องราวในวันนี้ก็เพื่อจะแชร์เรื่องราวของคุณพ่อของผม ซึ่งท่านเพิ่งเสียไปเมื่อช่วง2เดือนที่แล้วครับ หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเพิ่งมาเขียน อาจจะนานไปหน่อยครับ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมเองกว่าจะทำใจได้ว่าพ่อเสียไปจริงๆก็ต้องใช้เวลาพอสมควรครับ ประกอบกับ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ พ่อหลวงของชาวไทยทุกคนก็เพิ่งสวรรคตไป เลยเท่ากับว่าปีนี้ผมเหมือนเสียพ่อไป2คน ในเวลาใกล้ๆกัน ความสูญเสียครั้งใหญ่เกิดขึ้นถึง2ครั้ง มันยากที่จะทำใจมากๆครับ เวลาจะเขียนทีไรมันพาลน้ำตาจะไหลทุกที พอมาช่วงนี้เริ่มดีขึ้นครับเลยพอเริ่มเขียนได้
สำหรับจุดประสงค์ในการเขียนบทความนี้ผมเพียงอยากจะเล่าเรื่องราวของป๊าผมตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น มีครอบครัว จนถึงป๊าเสีย เป็นข้อคิดให้พี่ๆน้องๆเก็บบางส่วนในเรื่องราวระหว่าง ผม คุณพ่อ ไปปรับ บางส่วนอาจเป็นข้อเตือนใจและเป็นประโยชน์ในการดูแลตนเองและครอบครัวของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆครับ เพื่อจะได้มีวันดีๆ วันแห่งความสุขอยู่กับครอบครัวของทุกท่านนานๆ อีกประเด็นนึงที่เป็นเหตุผลส่วนตัวนิดๆคือ อยากจะให้เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ตลอดไปครับ ด้วยเหตุผลเล็กๆคือ “ผมกลัวลืมป๊า”ครับ อาจจะเป็นเหตุผลที่ดูขำหรือตลกแต่ผมกลัวจริงๆครับหากจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผมเพียงอายากจะระลึกถึงท่านเสมอ เวลาคิดถึงเพื่อจะได้กลับมาอ่าน หากวันนึงที่ผมเริ่มแก่อายุมาก เริ่มหลงลืมเลอะเลือน หรือเกิดป่วยเป็นอัลไซเมอร์ อาจจะให้ลูกให้หลานอ่านให้ฟัง ซึ่งผมคิดว่าหากทำบทความแชร์ไว้บนเน็ทหรือBlogแล้วก็คงไม่มีวันหายไปไหนครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอเริ่มเรื่องเลยนะครับ
ขอเกริ่นก่อนนะครับ สำหรับตัวผมเองเกิดในครอบครัวเชื้อสายจีนครับ จะเรียกคุณพ่อว่า "ป๊า" แต่จะเรียกคุณแม่ว่า "แม่" เลย ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมา ด้วยความที่ผมเป็นลูกชาย ผมจะสนิทกับป๊ามากกว่าแม่ครับ จุดเด่นของป๊าคือ ป๊าเป็นคนขยันมากและลำบากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ จนเติบโตมาเป็นวัยรุ่นโดยเฉพาะเมื่อเป็นวัยรุ่นแล้วป๊ายิ่งลำบากมากกว่าคนทั่วไป2เท่าซึ่งผมจะเล่าสาเหตุอีกครั้งครับว่าทำไม)
เมื่อ60กว่าปีก่อน สมัยเด็กๆป๊าเป็นเป็นเด็กตัวเล็กๆผอมๆและจัดได้ว่าอยู่ในฐานะยากจนครับ เรียนได้เต็มที่ป.7ก็ต้องหยุดเรียน ต้องช่วยอากง และอาม่าเลี้ยงหมู ขายก๋วยจั๊บ รับจ้างทั่วไป ทำทุกอย่างที่ได้เงิน แต่ด้วยอุปนิสัยความเป็นคนขยันและมีฝีมือทางช่างของป๊า เป็นที่ยอมรับของพี่น้องและเพื่อนบ้าน แต่แกจะชอบงานเกี่ยวกับช่างซ่อมเป็นพิเศษ แกชอบซื้อโน่นซื้อนี่มาดัดแปลงทำครับ เช่น ไปบ้านหม้อหาของเหลือเศษวัสดุเก่าๆมาทำเครื่องเสียงและลำโพงไว้ใช้ฟังเอง(ป๊าเคยเล่าติดตลกว่าเครื่องเสียงแกเสียงดีจนกระทั่งคนได้ยินแถวนั้นต้องเดินตามหาที่มาของเสียงพอมาเจอหน้าตาของเครื่องเสียงแกที่เอาโน่นเอานี่มาปุปะหลายคนถึงกับขำและเมินหน้าหนีในรูปร่างหน้าตาครับแต่แกก็พอใจและภูมิใจในฝีมือของแก) ต่อมาเมื่อป๊าเติบโตเป็นวัยรุ่นช่วงอายุสัก17-18ปี ป๊าก็ได้มีโอกาสไปฝึกงานในอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง ฝึกไม่นานก็ได้เป็นช่างประจำอู่ ซึ่งฝีมือแกดีจนได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าทีมย้ายพวงมาลัยรถยนต์นำเข้านับร้อยคันได้ภายในไม่กี่วันและช่วงชีวิตนี้เองที่แกก็เริ่มได้ลองสูบบุหรี่ และติดบุหรี่ตั้งแต่นั้นมาครับ

ภาพรวมชีวิตช่วงนั้นเหมือนจะดีขึ้นครับ จนอยู่มาวันหนึ่งขณะที่ป๊าขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งแฟนเก่าของป๊ากลับบ้านก็โดนคนเมาขับรถเก๋งชนประสานงากับป๊า ป๊าขาหัก3ท่อน และกระดูกโผล่ออกนอกขา ไปหาหมอที่โรงพยาบาลไหน เกือบทุกที่ก็ให้ป๊าตัดขา แต่ในที่สุดบนความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง คือป๊าได้พบกับอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่ โรงพยาบาลศิริราช ยอมผ่าตัดให้ ซึ่งป๊าต้องผ่าตัดหลายครั้ง แล้วก็ดามเหล็กให้ ระหว่างรักษาตัวทุกอย่างเหมือนจะดีครับ แต่ป๊าก็เล่าให้ฟังว่าก็ยังเจอโชคร้ายต่ออีก2ครั้งซึ่งเป็นเหตุให้ต้องผ่าตัดเพิ่มอีก ระหว่างอยู่ที่โรงพยาบาล โดยครั้งแรกขณะที่ป๊าดามขาเข้าเฝือกอยู่นั้นต้องใช้เหล็กถ่วงวันดีคืนดีเหล็กถ่วงนั้นเชือกดันขาด หล่นทับขาป๊ากระดูกเคลื่อน และครั้งที่สองคือ เกิดเหตุไฟไหม้โรงพยาบาลศิริราชขณะที่ป๊ารักษาตัว บรุษพยาบาลรีบเข็นป๊าย้ายมายังที่ปลอดภัย รีบเข็นไปเข็นป๊าตกจากเตียงอีกต้องผ่าตัดครั้งที่สอง ป๊าเล่าไปก็ขำไปแต่ป๊าบอกตอนนั้นขำไม่ออก ป๊ารักษาตัวหลายเดือนครับ แต่อาการบาดเจ็บในตอนนั้นของป๊าก็ทำให้ขาป๊าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คือ ขาป๊าบิดผิดรูปทำให้ปลายเท้าป๊าสั้นกว่าเดิม เวลาเดินต้องใช้ปลายเท้าเดินโขยกเขยก และจะเจ็บมากกว่าปกติทุกครั้งเมื่อเดินในพื้นที่ตะปุ่มตะป่ำ และเกิดตุ่มตาปลาเป็นก้อนแข็งได้ง่าย และการเดินจะเหนื่อยและปวดขาเร็วกว่าคนปกติ2เท่า แต่ด้วยความที่เป็นนักสู้ของป๊า ป๊าก็ไม่เคยคิดย่อท้อครับ ตอนนั้นแกก็เริ่มเปลี่ยนจากทำงานอู่มาเป็นขายของกับญาติพี่น้อง เริ่มขายโอเลี้ยง เครื่องดื่ม แกเก็บเงินเก่งและขายดีครับ ขายโอเลี้ยง เครื่องดื่มโดยขายได้วันนึงเกือบ20กั๊ก จนเก็บเงินซื้อห้องแถวย่านโคลีเซี่ยมได้ และช่วงนั้นเองป๊าก็ได้พบกับแม่ผมและได้แต่งงานกันสักที

พอแต่งงานกับแม่ผมไม่นานก็มีผม แต่เราก็อยู่ห้องแถวที่โคลีเซี่ยมมนั้นได้อีกไม่นานก็ต้องย้ายออกมาจากห้องแถวนั้น ป๊าจำใจต้องยกบ้านให้พี่ชายคนโตของป๊าคืออาแปะ ด้วยเหตุผลคือ อาม่าขอให้ชื่อบ้านเป็นของลูกชายคนโต คืออาแปะผมเองครับ ซึ่งอาแปะมีลูกหลายคน ที่ทางเริ่มคับแคบ ป๊าจึงตัดสินใจหอบหิ้วแม่และผมออกมาหาเซ้งทาวน์เฮ้าส์เล็กๆย่านดินแดงด้วยสนนราคาอยู่ที่80,000บาทถ้วน อยู่ได้แป็บเดียวแม่ก็คลอดน้องชายผมอีกคนและเริ่มอาชีพใหม่คือการขายแคปหมู (ที่ไว้ใช้ทานกับก๋วยเตี๋ยวเรือและน้ำพริกหนุ่มครับ) โดยพ่อผมขับมอเตอร์ไซค์ส่งตามร้านขายของชำย่าน ตรอกจันทร์ สุขุมวิทและอีกหลายแห่งในเมือง


การทำแคปหมูขายนั้นขอบอกว่าเหนื่อยมากๆครับ ขั้นตอนก็เยอะรอบนึงต้องใช้เวลาหลายวัน คร่าวๆเท่าที่ผมจำได้ ก็คือ ป๊าต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่ไปซื้อหนังหมูที่ตลาดใส่เข่งบรรทุกมอเตอร์ไซค์ กลับมาขูดหนังเอาพวกเศษขนออกกับแม่ ขูดเสร็จ ก็ต้องเอาตากไว้กับรถเข็นที่คล้ายๆกับราวตากผ้า แล้วลากไปตากแดด ช่วงหน้าฝนก็ลำบากหน่อยครับ เพราะมันไม่ค่อยแห้ง ฝนตกก็ต้องรีบเข็นรถเก็บหลบฝน ที่ตากก็ไม่ค่อยมีต้องตากหลบๆริมทางในซอยเล็กๆนั้นเอง พอแห้งก็ต้องเอามาคั่วกับกรวดอีก โดยใช้กระทะคั่วใบยักษ์ เมื่อคั่วเสร็จก็ต้องมานั่งสับเป็นสี่เหลี่ยม สับเสร็จจึงทอดได้โดยใช้กระทะชุดเดิม ต้องคอยสลับที่ทางอุปกรณ์ไปมาซึ่งพื้นที่หน้าบ้านของทาวน์เฮ้าส์16ตารางวาก็แคบและจำกัดมากๆ เมื่อทอดเสร็จก็จะใส่ถุงใบใหญ่ไป แพ็คใส่ถุงย่อย และถุงโหลอีกที จากนั้นก็จะจัดเรียงใส่เข่งที่วางบนตะแกรงเหล็กท้ายมอเตอร์ไซค์ ซึ่งรอบนึงก็มีความสูงมากๆ ทำรอบนึงหนักเป็นร้อยโลครับ ป๊ากับแม่ เหนื่อยมากบางวันก็ได้นอนเพียง2-3ชั่วโมง ส่งของต้องรีบส่งให้ทันตามนั้น รีบขนาดครั้งหนึ่งพ่อผมซื้อไก่ย่างเสียบไม้มารีบทานจนโดนเสี้ยนไม้ไผ่ตำเหงือกจนอักเสบเป็นหนอง ป๊าไม่ยอมไปหาหมอฟันครับ เพราะหมอฟันคิดเงินค่ารักษาเหงือกหลายพัน แกเลือกที่จะถอนฟันแทน แต่อาการเหงือกอักเสบลามรุนแรงจนในที่สุดฟันแกก็หลุดหมดปากทั้ง32ซี่(แต่ก็ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะค่อยๆหลุดหมดปาก) ผมก็อยู่ในวัยกำลังโตครับ จำได้ว่าตอนนั้นเริ่มขึ้นชั้นประถมโดยป๊าพาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนไม้ในตำนานย่านสุขุมวิทครับ คือ โรงเรียน “วรรณวิทย์” นั่นเอง แต่ก็เรียนได้แค่2ปีครับ คือ ป.1ถึงป.2 ป๊าก็พาย้ายโรงเรียนไปเรียนที่ “โรงเรียนแม่พระฟาติมา” ซึ่งใกล้และสะดวกในการไปรับ-ส่งกว่าเดิมมาก เพราะป๊ากับแม่พักผ่อนน้อยมากครับ ไปรับและส่งไกลๆไม่ไหว


การขายแคปหมูนั้น แม้จะงานหนักแต่ป๊าขายดีครับ ด้วยความที่ป๊าขยัน อดทน ซื่อสัตย์ เข้าใจพูด และตรงต่อเวลา เจ้าของร้านขายของชำทุกร้านจึงให้การสนับสนุนสั่งซื้อครับ กำไรดี ต้นทุนก็ไม่สูงเพราะป๊าไม่ได้จ้างใครช่วยเราช่วยกันเองในครอบครัว จนป๊าเริ่มเก็บเงินได้พอสมควร ช่วงผมอยู่ป.4 ป๊าก็สามารถเก็บเงินซื้อบ้านเดี่ยวชั้นเดียวขนาด50ตารางวา ย่านถนนสุขาภิบาล1(ถนนนวมินทร์) ในสนนราคา600,000บาทได้เราก็หอบหิ้วย้ายกันไปที่บ้านหลังนั้น พร้อมกับพามาเข้าโรงเรียนใหม่ย่านนั้นก็คือ โรงเรียน “พระมารดานิจจานุเคราะห์” ย้ายมาอยู่ที่ทางก็สบายขึ้นครับ ป๊ารักและดูแลผมเป็นอย่างดีครับ มีครั้งนึงวันแม่ที่โรงเรียนจัดงานวันแม่ ซึ่งแม่ผมไม่ว่าง ป๊าเลยบอกเดี๋ยวป๊าไปเป็นแม่แทนให้ วันนั้นผมเลยเป็นคนเดียวที่มีแม่เป็น “ผู้ชาย” คือป๊าครับ555

ระหว่างที่ย้ายไปบ้านใหม่ด้วยความที่ป๊าแกชอบประดิษฐ์โน่นนี่ งานไม้แกก็สามารถทำเป็น งานดัดแปลงพื้นที่ห้องในบ้านหลังนั้นให้เป็นห้องผลิตแคปหมูจึงทำได้ไม่ยาก ขาดเหลือตู้ โต๊ะ เตียง แกไม่ซื้อครับ หาไม้มาตอกทำเอง แม้กระทั่งศาลเจ้าที่ตายาย แกก็ทำเอง เฟอร์นิเจอร์หลายอย่างจะไม่สวยงามเหมือนมืออาชีพ แต่ก็ใช้งานได้ จึงประหยัดไปได้หลายเงินเลยทีเดียว แกบอก “ไม่สวยแต่ภูมิใจนะ” ^_^ แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขครับ

ทำแคปหมูได้สักพักโชคร้ายก็มาเยือนเราอีก ด้วยความที่ป๊าทำงานหนัก และอายุเริ่มมากขึ้น ต้องวิ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้าเมืองบ่อยๆ ป๊ารถมอเตอร์ไซค์คว่ำเป็นครั้งที่2ครับ ผ่าตัดดามเหล็กเหมือนเดิม รักษาได้แต่ครั้งนี้ป๊างอเข่าได้น้อยลงกว่าเดิมมากครับ ป๊าขับมอเตอร์ไซค์ไม่ถนัดเหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อป๊าขับรถส่งไกลๆด้วยมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ป๊ากับแม่จึงต้องเริ่มมองหาอาชีพใหม่ รักษาป๊าร่วมเดือนจนเงินเราใกล้หมด ซึ่งตอนนั้นเรามีเงินกันไม่มากครับเพราะเพิ่งซื้อบ้านไป (จำได้ว่าช่วงลำบากทั้งบ้านเหลือเงินแค่100บาท จนผมต้องแคะกระปุกมาจ่ายค่าไฟ) ป๊าต้องแข็งใจผ่าเฝือกออกและหัดเดินลงน้ำหนักด้วยไม้เท้าก่อนกำหนด ไปขอยืมเงินอาแปะมาใช้ทำทุน5,000บาท ซึ่งป๊าตัดสินใจทำอาชีพหลักของอากงสมัยก่อน คือ การขาย “ก๋วยจั๊บ” ที่ตลาดครับ
บันทึกถึงคุณพ่อ “ความทรงจำและชีวิตของป๊า” ด้วยรักจากลูกชายครับ
สำหรับจุดประสงค์ในการเขียนบทความนี้ผมเพียงอยากจะเล่าเรื่องราวของป๊าผมตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น มีครอบครัว จนถึงป๊าเสีย เป็นข้อคิดให้พี่ๆน้องๆเก็บบางส่วนในเรื่องราวระหว่าง ผม คุณพ่อ ไปปรับ บางส่วนอาจเป็นข้อเตือนใจและเป็นประโยชน์ในการดูแลตนเองและครอบครัวของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆครับ เพื่อจะได้มีวันดีๆ วันแห่งความสุขอยู่กับครอบครัวของทุกท่านนานๆ อีกประเด็นนึงที่เป็นเหตุผลส่วนตัวนิดๆคือ อยากจะให้เป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ตลอดไปครับ ด้วยเหตุผลเล็กๆคือ “ผมกลัวลืมป๊า”ครับ อาจจะเป็นเหตุผลที่ดูขำหรือตลกแต่ผมกลัวจริงๆครับหากจะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผมเพียงอายากจะระลึกถึงท่านเสมอ เวลาคิดถึงเพื่อจะได้กลับมาอ่าน หากวันนึงที่ผมเริ่มแก่อายุมาก เริ่มหลงลืมเลอะเลือน หรือเกิดป่วยเป็นอัลไซเมอร์ อาจจะให้ลูกให้หลานอ่านให้ฟัง ซึ่งผมคิดว่าหากทำบทความแชร์ไว้บนเน็ทหรือBlogแล้วก็คงไม่มีวันหายไปไหนครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอเริ่มเรื่องเลยนะครับ
ขอเกริ่นก่อนนะครับ สำหรับตัวผมเองเกิดในครอบครัวเชื้อสายจีนครับ จะเรียกคุณพ่อว่า "ป๊า" แต่จะเรียกคุณแม่ว่า "แม่" เลย ตั้งแต่ผมเกิดและเติบโตมา ด้วยความที่ผมเป็นลูกชาย ผมจะสนิทกับป๊ามากกว่าแม่ครับ จุดเด่นของป๊าคือ ป๊าเป็นคนขยันมากและลำบากมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ จนเติบโตมาเป็นวัยรุ่นโดยเฉพาะเมื่อเป็นวัยรุ่นแล้วป๊ายิ่งลำบากมากกว่าคนทั่วไป2เท่าซึ่งผมจะเล่าสาเหตุอีกครั้งครับว่าทำไม)
เมื่อ60กว่าปีก่อน สมัยเด็กๆป๊าเป็นเป็นเด็กตัวเล็กๆผอมๆและจัดได้ว่าอยู่ในฐานะยากจนครับ เรียนได้เต็มที่ป.7ก็ต้องหยุดเรียน ต้องช่วยอากง และอาม่าเลี้ยงหมู ขายก๋วยจั๊บ รับจ้างทั่วไป ทำทุกอย่างที่ได้เงิน แต่ด้วยอุปนิสัยความเป็นคนขยันและมีฝีมือทางช่างของป๊า เป็นที่ยอมรับของพี่น้องและเพื่อนบ้าน แต่แกจะชอบงานเกี่ยวกับช่างซ่อมเป็นพิเศษ แกชอบซื้อโน่นซื้อนี่มาดัดแปลงทำครับ เช่น ไปบ้านหม้อหาของเหลือเศษวัสดุเก่าๆมาทำเครื่องเสียงและลำโพงไว้ใช้ฟังเอง(ป๊าเคยเล่าติดตลกว่าเครื่องเสียงแกเสียงดีจนกระทั่งคนได้ยินแถวนั้นต้องเดินตามหาที่มาของเสียงพอมาเจอหน้าตาของเครื่องเสียงแกที่เอาโน่นเอานี่มาปุปะหลายคนถึงกับขำและเมินหน้าหนีในรูปร่างหน้าตาครับแต่แกก็พอใจและภูมิใจในฝีมือของแก) ต่อมาเมื่อป๊าเติบโตเป็นวัยรุ่นช่วงอายุสัก17-18ปี ป๊าก็ได้มีโอกาสไปฝึกงานในอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง ฝึกไม่นานก็ได้เป็นช่างประจำอู่ ซึ่งฝีมือแกดีจนได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าทีมย้ายพวงมาลัยรถยนต์นำเข้านับร้อยคันได้ภายในไม่กี่วันและช่วงชีวิตนี้เองที่แกก็เริ่มได้ลองสูบบุหรี่ และติดบุหรี่ตั้งแต่นั้นมาครับ
ภาพรวมชีวิตช่วงนั้นเหมือนจะดีขึ้นครับ จนอยู่มาวันหนึ่งขณะที่ป๊าขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งแฟนเก่าของป๊ากลับบ้านก็โดนคนเมาขับรถเก๋งชนประสานงากับป๊า ป๊าขาหัก3ท่อน และกระดูกโผล่ออกนอกขา ไปหาหมอที่โรงพยาบาลไหน เกือบทุกที่ก็ให้ป๊าตัดขา แต่ในที่สุดบนความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่บ้าง คือป๊าได้พบกับอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่ โรงพยาบาลศิริราช ยอมผ่าตัดให้ ซึ่งป๊าต้องผ่าตัดหลายครั้ง แล้วก็ดามเหล็กให้ ระหว่างรักษาตัวทุกอย่างเหมือนจะดีครับ แต่ป๊าก็เล่าให้ฟังว่าก็ยังเจอโชคร้ายต่ออีก2ครั้งซึ่งเป็นเหตุให้ต้องผ่าตัดเพิ่มอีก ระหว่างอยู่ที่โรงพยาบาล โดยครั้งแรกขณะที่ป๊าดามขาเข้าเฝือกอยู่นั้นต้องใช้เหล็กถ่วงวันดีคืนดีเหล็กถ่วงนั้นเชือกดันขาด หล่นทับขาป๊ากระดูกเคลื่อน และครั้งที่สองคือ เกิดเหตุไฟไหม้โรงพยาบาลศิริราชขณะที่ป๊ารักษาตัว บรุษพยาบาลรีบเข็นป๊าย้ายมายังที่ปลอดภัย รีบเข็นไปเข็นป๊าตกจากเตียงอีกต้องผ่าตัดครั้งที่สอง ป๊าเล่าไปก็ขำไปแต่ป๊าบอกตอนนั้นขำไม่ออก ป๊ารักษาตัวหลายเดือนครับ แต่อาการบาดเจ็บในตอนนั้นของป๊าก็ทำให้ขาป๊าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คือ ขาป๊าบิดผิดรูปทำให้ปลายเท้าป๊าสั้นกว่าเดิม เวลาเดินต้องใช้ปลายเท้าเดินโขยกเขยก และจะเจ็บมากกว่าปกติทุกครั้งเมื่อเดินในพื้นที่ตะปุ่มตะป่ำ และเกิดตุ่มตาปลาเป็นก้อนแข็งได้ง่าย และการเดินจะเหนื่อยและปวดขาเร็วกว่าคนปกติ2เท่า แต่ด้วยความที่เป็นนักสู้ของป๊า ป๊าก็ไม่เคยคิดย่อท้อครับ ตอนนั้นแกก็เริ่มเปลี่ยนจากทำงานอู่มาเป็นขายของกับญาติพี่น้อง เริ่มขายโอเลี้ยง เครื่องดื่ม แกเก็บเงินเก่งและขายดีครับ ขายโอเลี้ยง เครื่องดื่มโดยขายได้วันนึงเกือบ20กั๊ก จนเก็บเงินซื้อห้องแถวย่านโคลีเซี่ยมได้ และช่วงนั้นเองป๊าก็ได้พบกับแม่ผมและได้แต่งงานกันสักที
พอแต่งงานกับแม่ผมไม่นานก็มีผม แต่เราก็อยู่ห้องแถวที่โคลีเซี่ยมมนั้นได้อีกไม่นานก็ต้องย้ายออกมาจากห้องแถวนั้น ป๊าจำใจต้องยกบ้านให้พี่ชายคนโตของป๊าคืออาแปะ ด้วยเหตุผลคือ อาม่าขอให้ชื่อบ้านเป็นของลูกชายคนโต คืออาแปะผมเองครับ ซึ่งอาแปะมีลูกหลายคน ที่ทางเริ่มคับแคบ ป๊าจึงตัดสินใจหอบหิ้วแม่และผมออกมาหาเซ้งทาวน์เฮ้าส์เล็กๆย่านดินแดงด้วยสนนราคาอยู่ที่80,000บาทถ้วน อยู่ได้แป็บเดียวแม่ก็คลอดน้องชายผมอีกคนและเริ่มอาชีพใหม่คือการขายแคปหมู (ที่ไว้ใช้ทานกับก๋วยเตี๋ยวเรือและน้ำพริกหนุ่มครับ) โดยพ่อผมขับมอเตอร์ไซค์ส่งตามร้านขายของชำย่าน ตรอกจันทร์ สุขุมวิทและอีกหลายแห่งในเมือง
การทำแคปหมูขายนั้นขอบอกว่าเหนื่อยมากๆครับ ขั้นตอนก็เยอะรอบนึงต้องใช้เวลาหลายวัน คร่าวๆเท่าที่ผมจำได้ ก็คือ ป๊าต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่ไปซื้อหนังหมูที่ตลาดใส่เข่งบรรทุกมอเตอร์ไซค์ กลับมาขูดหนังเอาพวกเศษขนออกกับแม่ ขูดเสร็จ ก็ต้องเอาตากไว้กับรถเข็นที่คล้ายๆกับราวตากผ้า แล้วลากไปตากแดด ช่วงหน้าฝนก็ลำบากหน่อยครับ เพราะมันไม่ค่อยแห้ง ฝนตกก็ต้องรีบเข็นรถเก็บหลบฝน ที่ตากก็ไม่ค่อยมีต้องตากหลบๆริมทางในซอยเล็กๆนั้นเอง พอแห้งก็ต้องเอามาคั่วกับกรวดอีก โดยใช้กระทะคั่วใบยักษ์ เมื่อคั่วเสร็จก็ต้องมานั่งสับเป็นสี่เหลี่ยม สับเสร็จจึงทอดได้โดยใช้กระทะชุดเดิม ต้องคอยสลับที่ทางอุปกรณ์ไปมาซึ่งพื้นที่หน้าบ้านของทาวน์เฮ้าส์16ตารางวาก็แคบและจำกัดมากๆ เมื่อทอดเสร็จก็จะใส่ถุงใบใหญ่ไป แพ็คใส่ถุงย่อย และถุงโหลอีกที จากนั้นก็จะจัดเรียงใส่เข่งที่วางบนตะแกรงเหล็กท้ายมอเตอร์ไซค์ ซึ่งรอบนึงก็มีความสูงมากๆ ทำรอบนึงหนักเป็นร้อยโลครับ ป๊ากับแม่ เหนื่อยมากบางวันก็ได้นอนเพียง2-3ชั่วโมง ส่งของต้องรีบส่งให้ทันตามนั้น รีบขนาดครั้งหนึ่งพ่อผมซื้อไก่ย่างเสียบไม้มารีบทานจนโดนเสี้ยนไม้ไผ่ตำเหงือกจนอักเสบเป็นหนอง ป๊าไม่ยอมไปหาหมอฟันครับ เพราะหมอฟันคิดเงินค่ารักษาเหงือกหลายพัน แกเลือกที่จะถอนฟันแทน แต่อาการเหงือกอักเสบลามรุนแรงจนในที่สุดฟันแกก็หลุดหมดปากทั้ง32ซี่(แต่ก็ใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะค่อยๆหลุดหมดปาก) ผมก็อยู่ในวัยกำลังโตครับ จำได้ว่าตอนนั้นเริ่มขึ้นชั้นประถมโดยป๊าพาไปเข้าเรียนที่โรงเรียนไม้ในตำนานย่านสุขุมวิทครับ คือ โรงเรียน “วรรณวิทย์” นั่นเอง แต่ก็เรียนได้แค่2ปีครับ คือ ป.1ถึงป.2 ป๊าก็พาย้ายโรงเรียนไปเรียนที่ “โรงเรียนแม่พระฟาติมา” ซึ่งใกล้และสะดวกในการไปรับ-ส่งกว่าเดิมมาก เพราะป๊ากับแม่พักผ่อนน้อยมากครับ ไปรับและส่งไกลๆไม่ไหว
การขายแคปหมูนั้น แม้จะงานหนักแต่ป๊าขายดีครับ ด้วยความที่ป๊าขยัน อดทน ซื่อสัตย์ เข้าใจพูด และตรงต่อเวลา เจ้าของร้านขายของชำทุกร้านจึงให้การสนับสนุนสั่งซื้อครับ กำไรดี ต้นทุนก็ไม่สูงเพราะป๊าไม่ได้จ้างใครช่วยเราช่วยกันเองในครอบครัว จนป๊าเริ่มเก็บเงินได้พอสมควร ช่วงผมอยู่ป.4 ป๊าก็สามารถเก็บเงินซื้อบ้านเดี่ยวชั้นเดียวขนาด50ตารางวา ย่านถนนสุขาภิบาล1(ถนนนวมินทร์) ในสนนราคา600,000บาทได้เราก็หอบหิ้วย้ายกันไปที่บ้านหลังนั้น พร้อมกับพามาเข้าโรงเรียนใหม่ย่านนั้นก็คือ โรงเรียน “พระมารดานิจจานุเคราะห์” ย้ายมาอยู่ที่ทางก็สบายขึ้นครับ ป๊ารักและดูแลผมเป็นอย่างดีครับ มีครั้งนึงวันแม่ที่โรงเรียนจัดงานวันแม่ ซึ่งแม่ผมไม่ว่าง ป๊าเลยบอกเดี๋ยวป๊าไปเป็นแม่แทนให้ วันนั้นผมเลยเป็นคนเดียวที่มีแม่เป็น “ผู้ชาย” คือป๊าครับ555
ระหว่างที่ย้ายไปบ้านใหม่ด้วยความที่ป๊าแกชอบประดิษฐ์โน่นนี่ งานไม้แกก็สามารถทำเป็น งานดัดแปลงพื้นที่ห้องในบ้านหลังนั้นให้เป็นห้องผลิตแคปหมูจึงทำได้ไม่ยาก ขาดเหลือตู้ โต๊ะ เตียง แกไม่ซื้อครับ หาไม้มาตอกทำเอง แม้กระทั่งศาลเจ้าที่ตายาย แกก็ทำเอง เฟอร์นิเจอร์หลายอย่างจะไม่สวยงามเหมือนมืออาชีพ แต่ก็ใช้งานได้ จึงประหยัดไปได้หลายเงินเลยทีเดียว แกบอก “ไม่สวยแต่ภูมิใจนะ” ^_^ แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขครับ
ทำแคปหมูได้สักพักโชคร้ายก็มาเยือนเราอีก ด้วยความที่ป๊าทำงานหนัก และอายุเริ่มมากขึ้น ต้องวิ่งรถมอเตอร์ไซค์เข้าเมืองบ่อยๆ ป๊ารถมอเตอร์ไซค์คว่ำเป็นครั้งที่2ครับ ผ่าตัดดามเหล็กเหมือนเดิม รักษาได้แต่ครั้งนี้ป๊างอเข่าได้น้อยลงกว่าเดิมมากครับ ป๊าขับมอเตอร์ไซค์ไม่ถนัดเหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อป๊าขับรถส่งไกลๆด้วยมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ป๊ากับแม่จึงต้องเริ่มมองหาอาชีพใหม่ รักษาป๊าร่วมเดือนจนเงินเราใกล้หมด ซึ่งตอนนั้นเรามีเงินกันไม่มากครับเพราะเพิ่งซื้อบ้านไป (จำได้ว่าช่วงลำบากทั้งบ้านเหลือเงินแค่100บาท จนผมต้องแคะกระปุกมาจ่ายค่าไฟ) ป๊าต้องแข็งใจผ่าเฝือกออกและหัดเดินลงน้ำหนักด้วยไม้เท้าก่อนกำหนด ไปขอยืมเงินอาแปะมาใช้ทำทุน5,000บาท ซึ่งป๊าตัดสินใจทำอาชีพหลักของอากงสมัยก่อน คือ การขาย “ก๋วยจั๊บ” ที่ตลาดครับ