สวัสดีค่ะ วันนี้นึกครึ้มอะไรก็ไม่รู้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่เรียกว่า ผี คงไม่ใช่ แต่มันเป็นความรัก ความห่วง ความหวง และหลาย ๆ อย่างที่แสดงออกมาในรูปแบบของวิญญาณ ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวป่านเอง ป่านรับรู้เองสัมผัสเองได้รู้ว่าหลังความตายของคนที่ตายไปแล้วต้องการอะไรบ้าง ถ้าผิดพลาดประการณ์ใดต้องขอออภัยไว้ด้วยนะคะ พึ่งหัดตั้งกระทู้พันทิปค่ะ ^^
เรื่องแรกของเป็นเรื่องของคุณย่าก่อนดีกว่า เมื่อประมาณช่วงปี 53-54 ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองย่าป่านติดการเมืองหนักมากดูทุกวัน ทั้งวัน สะสมความเครียด จนสุดท้ายมะเร็งเจ้ากรรมก็เข้ามาแทรกในร่างกายของย่าป่าน ปลายปี 54 น้ำท่วมหนักจะไปหาหมอก็ไปไม่ได้ แต่ตอนนั้นอาการยังไม่หนักมาก หลังจากน้ำลดลูกหลานก็พาย่าไปรักษานู้น รักษานี้ใครว่าดีไปหมด ใครว่าหายไปหมด ให้กินอะไรก็กิน ให้ทำอะไรทำ อยู่มาวันนึงแกไปรักษาโรคของแกที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแกก็ไปเป็นประจำ ๆ พ่อเล่าให้ฟังว่า แกก็นั่งรอหมออยู่ซักพักแกชักมือเกร็งตาตั้งจนต้องส่งตัวกลับมากรุงเทพถึงได้รู้ว่ามะเร็งลามไปถึงสมอง หลังจากวันนั้นย่าไม่ได้กลับบ้านอีกเลย .. แกก็แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเข้าไปอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตชั้น 8 โรงพยาบาลชื่อดังแถวลำลูกกา คือเค้าว่ากันว่าใครอยู่ชั่นนี้ไม่รอดซักคน ย่าป่านก็ไปอยู่ที่นั้น ด้วยความที่ย่าเป็นคนร่าเริงเฮฮามากถึงมากที่สุด แต่แล้ววันนึงคนที่เคยพูดชัดเจนเสียงดังฟังชัดกลับกลายเป็นคนที่พูดไม่ชัดลิ้นแข็ง (ย่ามีอาการลิ้นแข็งมาก่อนหน้าจะชัก) คนที่เคยทำอะไรรวดเร็วกลับได้แต่นอนอยู่นิ่ง ๆ แต่ทุกครั้ง.. ที่ย่าป่านไปรักษาตัวที่นู้นนี้นั้น ย่าป่านไม่เคยลืมที่จะหัวเราะ ยังคงความสนุกในตัวเองทั้ง ๆ ที่ตัวเองพูดไม่ชัดแล้ว ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว แต่แกไม่เคยเครียดเลย แกยังพยายามยิ้ม .. หัวเราะ .. ถึงแม้ร่างกายแกจะไม่ไหวแล้วก็ตาม .. แกเคยบอกไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาเครียดเพราะตัวแกเอง
ในห้องผู้ป่วยวิกฤตคือศูนย์รวมของคนที่กำลังหมดลมหายใจ ในห้องนั้นอบอวลไปด้วยความเศร้าโศก เสียใจ การจากลาหลาย ๆ อย่างรวมกันไปหมด ทุกคนที่นอนดูมีสายอิลุงตุงนังเต็มไปหมด ย่าป่านนอนมาได้ประมาณ 3-4 วัน อาการก็ทรง ๆ ไม่ได้แย่มาก แต่ก็ไม่ดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะเตียงข้าง ๆ ยังว่างไม่มีใครมานอน จุดเด่นที่ทุกคนรู้จักย่าป่านคือ ย่าป่านกลัวผีมาก !! มากถึงขนาดนอนคนเดียวไม่ได้ ตอนปู่ตายกว่าแกจะกลับไปนอนห้องที่แกเคยนอนกันก็ตั้งนานกว่าจะกลับไป ไม่มีอัฐิปู่ มีแต่รูปทุกอย่างอยู่วัด คือย่าไม่เอาเรื่องแบบนี้เลยแกกลัวจริง ๆ ไข้ขึ้นเลย จนมาวันที่ 5 มีคุณลุงคนนึงอาการแกก็คือสมองแกเหมือนตายไปแล้วเจาะคอเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่ต่อไป ย่าก็เริ่มกลัว เวลาที่พยายาบาลมาดูดคอลุงเค้าย่าป่านผวาหนักมาก แล้วพยาบาลจะชอบเอาหน้าลุงหันมาหาย่าป่าน แกเลยชี้มือบอกให้ปิดม่านให้หน่อย จนสุดท้ายลุงคนนั้นก็จากไป ย่าป่านคงไม่ได้ยินเสียงตี๊ดดดดดดดด แล้วก็มีพยาบาลมามะรุมมะตุ้มลุงคนนั้น และเข็ญลุงคนนั้นออกไป วันนั้นอาป่านนอนเฝ้า แกก็เล่าว่าย่าดันไปเห็นตอนเข้ากำลังทำศพและก็เข็ญศพออกไป หลังจากวันนั้นมาย่าป่านทรุดหนักมาก ซีกที่เป็นอำมพาต ก็เริ่มบวมเต่ง มือแกอีกข้างที่ยกได้อยู่ก็ชี้ไปที่ปลายเท้าบ้าง หัวนอนบ้าง แต่แกไม่ได้โวยวายอะไร พ่อถามว่ามากันเยอะเลยหรอ (ในที่นี้ก็น่าไม่ใช่คน) แกก็พยักหน้า .. พวกคุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคนกำลังจะตายแล้วมีคนมารอรับมั้ย .. ขอบอกเลยว่ามันมีจริง!! .. เราไม่รู้หรอกค่ะว่าคนที่ป่วยเค้าเห็นอะไรบ้าง แต่เรื่องนี้ทางพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องการกระทำตอนมีชีวิตอยู่ว่าเราทำดีหรือทำเลวมากกว่ากัน เคยไปทำอะไรให้ใครมั้ย สิ่งพวกนี้ที่ทำไปเค้าจะมารอรับคุณในวันที่คุณกำลังจะตาย คนที่เคยฆ่าสัตว์ สัตว์พวกนั้นก็จะตามมาเอาชีวิตคุณไป คนที่ชอบทำบุญก็อาจจะมีเทวดาหรือสิ่งสวยงามมารอรับอยู่ก็ได้ .. เค้าถึงได้บอกว่าควรทำดีตายไปจะได้ไม่ทรมาน .. จนวันที่แกทรุดหนักวันนั้นไม่มีใครนอนเฝ้าแกเพราะพยาบาลบอกว่าไม่ให้เฝ้าแล้ว ทุกคนกลับบ้าน .. คืนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ที่ไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้นประมาณ ตี 2 " สวัสดีค่ะคุณเป็นญาติของคุณ ... ใช่มั้ยคะ ให้มาโรงพยาบาลด่วนเลยนะคะ คนไข้ชีพจรต่ำมาก " 4 คนพ่อแม่ลกสะดุ้งตื่นไม่รอช้า ออกจากบ้านทันที .. แต่ก็ไม่ทันแล้ว " ทำใจดีดีไว้นะคะ คุณ .. เสียชีวิตแล้ว " อา ทุกคน พร้อมครอบครัวป่านไปถึงที่นั้น สภาพของคือรอชุดที่อากำลังเอาไปให้มาเปลี่ยนและรอเข็ญลงไปยังห้องดับจิต
กรรมวิธีการเอาศพลงไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิต ระหว่างทางจะต้องเรียกชื่อคนที่เสียชีวิตและบอกทางเค้าตลอดเส้นทาง .. ตอนที่เข็ญศพลงมา .. มีเสียงคนเดินตามหลังตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ป่านกะน้องเดินสุดท้ายเดินคู่กัน .. ใครวะ!? .. ตอนแรกป่านก็คิดว่าอาจจะเป็นเสียงแบบอาจจะเดินดังกันเอง .. ป่านก็คิดว่าป่านอาจจะเบลอเพราะไม่ได้นอนเลย .. เลยลองหันไปดู .. ป่านเห็นหมอกจาก ๆ แต่เป็นหมอกหนา ๆ อยู่ไม่ห่างจากป่านกับน้องมากเท่าไหร่ลอยอยู่ .. โอเคป่านอาจตายฝาดไปเอง .. หลังจากนั้นป่านก็ไม่หันไปมองข้างหลังอีกเลย .. ทางไปห้องดับจิตไกลเหลือเกิน .. เสียงข้างหลังป่านก็ยังคงเดินตามแบบนั้นตลอด จนถึงห้องดับจิต .. ทุกคนบอกย่าว่ารอนี้นะ เดี๋ยวมารับพรุ่งนี้ .. หลังจากหันหลังกลับบ้าน เสียงฝีเท้านั้นก็ไม่มีอีกเลย ตอนนั่งอยู่ในรถป่านก็เปิดประเด็นก่อนเลยว่า " หนูว่าหนูได้ยินเสียงคนเดินตามหลังหนูกะน้องแล้วก็มีควันขาว ๆ ตามมา แต่หนูว่าหนูอาจจะคิดไปเอง" พ่อบอกว่าพ่อได้ยินเสียงนี้มาตั้งแต่อยู่บนตึกผู้ป่วยแล้ว และเห็นควันนี้ลอยไปหาคนนั้นทีคนนี้ที และก็ไปเดินอยู่ตามหลังพวกเรานั้นแหละ กลายเป็นว่าทุกคนได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนานั้นหมด ทุกคน ! .. ในขณะที่นั่งรถกลับบ้าน .. รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรมาเบียด ๆ หายใจไม่ออก ทั้ง ๆ ที่อยู่ 4 คนปกติ .. พอถึงบ้าน บ้านป่านจะเลี้ยงหมาไว้ตัวนึงตอนนั้น ตอนลงจากรถจาก หมาป่านที่ซึ่งปกติแล้วนางจะร่าเริงหางสั่นดุกดิกวิ่งมาวน ๆ ที่ขา แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน .. หมาป่านกลายเป็นหูลู่ หางตก ไม่เข้าใกล้พวกป่านเลย นางเดินไปนอนหมอบแล้วมองนิ่ง ๆ เราจะเดินไปจับหัวนางยิ่งหูลู่หนักกว่าเดิม .. สงสัยจะตามมาถึงบ้านเลยละมั้ง (คิดในใจ) .. หลังจากที่จัดแจงทุกอย่างในบ้านนั่งคุยกันเสร็จก็เตรียมตัวนอน ตั้งแต่กลับถึงบ้านมีหมาหอนในหมู่บ้านตลอดเวลา จนบางบ้านต้องตะโกนบอกให้หมาหยุดหอน .. บังเอิญน้องของป่านผู้ซึ่งมีเซนต์อะไรแบบอยู่นั้นแล้ว ดันหันไปมองที่หน้าบ้านพอดี ก็ไปเห็นผ้าถุงกับเสื้อผ้าไหมซึ่งน้องป่านจำได้ว่านั้นคือ .. ชุดของย่า .. ที่ใส่เมื่อตอนเปลี่ยนชุดศพ กำลังเดินอยู่หน้าบ้าน .. และย่าก็เดินหายออกไป .. น้องป่านเลยหันมาเล่าให้ทุกคนฟังโดยสภาพที่แบบหน้าซีด .. คืนนั้นทุกคนมานอนรวมกันห้องแม่โดยมิได้นัดหมาย ..
โดยส่วนตัวของย่าเป็นคนอารมณ์ดีขี้แกล้งอยู่แล้ว ฝั่งของทางบ้านย่าก็จะโดนแกแกล้งตลอด ไม่ว่าจะปิดไฟห้องน้ำเอย เปิดน้ำเอง เป่าหู จับไหล่ ต่าง ๆ นานา มากมาย จนทุกคนเริ่มชินและแกก็หายไป .. สงสัยไปอยู่ในที่ของแกแล้วละ วันลอยอังคารก็มีเรื่องแปลกอีกคืออยู่ดีดีก็มีกระดูกหล่นออกมาจากผ้าห่อกระดูก พ่อป่านกับป่านเห็นเข้าก็เลยกะว่าจะเก็บไว้ พ่อป่านเลยวางไว้ที่หน้าคอนโซนรถ ป่านเห็นเป็นพยานได้ หลังจากนั้นก็ล็อครถแล้วก็ไปลอยอังคาร พอกลับมาบนรถ ค้นดูอีกทีกระดูกชิ้นนั้นหายไปแล้ว ค้นทั่วรถเลยไม่เจอ จนบัดนี้ก็ยังหากระดูกชิ้นนั้นไม่เจอ เพราะล็อครถแล้วก็ไม่มีใครขอกุญแจไปเปิดรถ แล้วไปหายไปไหนได้ไง .. ก็ยังคงเป็นปริศนากันต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ ยังมีเรื่องยายต่ออีก ยายป่านหลอนกว่าย่า 10 เท่าครึ่ง ไว้ว่าง ๆ จะมาเล่าให้ฟังใหม่ ถ้าผิดพลาดตรงไหนบอกด้วยนะคะ ขอบคุณมากค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา >/\<
ย่าของฉัน
เรื่องแรกของเป็นเรื่องของคุณย่าก่อนดีกว่า เมื่อประมาณช่วงปี 53-54 ด้วยเหตุการณ์ทางการเมืองย่าป่านติดการเมืองหนักมากดูทุกวัน ทั้งวัน สะสมความเครียด จนสุดท้ายมะเร็งเจ้ากรรมก็เข้ามาแทรกในร่างกายของย่าป่าน ปลายปี 54 น้ำท่วมหนักจะไปหาหมอก็ไปไม่ได้ แต่ตอนนั้นอาการยังไม่หนักมาก หลังจากน้ำลดลูกหลานก็พาย่าไปรักษานู้น รักษานี้ใครว่าดีไปหมด ใครว่าหายไปหมด ให้กินอะไรก็กิน ให้ทำอะไรทำ อยู่มาวันนึงแกไปรักษาโรคของแกที่จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งแกก็ไปเป็นประจำ ๆ พ่อเล่าให้ฟังว่า แกก็นั่งรอหมออยู่ซักพักแกชักมือเกร็งตาตั้งจนต้องส่งตัวกลับมากรุงเทพถึงได้รู้ว่ามะเร็งลามไปถึงสมอง หลังจากวันนั้นย่าไม่ได้กลับบ้านอีกเลย .. แกก็แอดมิดเข้าโรงพยาบาลเข้าไปอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตชั้น 8 โรงพยาบาลชื่อดังแถวลำลูกกา คือเค้าว่ากันว่าใครอยู่ชั่นนี้ไม่รอดซักคน ย่าป่านก็ไปอยู่ที่นั้น ด้วยความที่ย่าเป็นคนร่าเริงเฮฮามากถึงมากที่สุด แต่แล้ววันนึงคนที่เคยพูดชัดเจนเสียงดังฟังชัดกลับกลายเป็นคนที่พูดไม่ชัดลิ้นแข็ง (ย่ามีอาการลิ้นแข็งมาก่อนหน้าจะชัก) คนที่เคยทำอะไรรวดเร็วกลับได้แต่นอนอยู่นิ่ง ๆ แต่ทุกครั้ง.. ที่ย่าป่านไปรักษาตัวที่นู้นนี้นั้น ย่าป่านไม่เคยลืมที่จะหัวเราะ ยังคงความสนุกในตัวเองทั้ง ๆ ที่ตัวเองพูดไม่ชัดแล้ว ทำอะไรไม่ได้มากแล้ว แต่แกไม่เคยเครียดเลย แกยังพยายามยิ้ม .. หัวเราะ .. ถึงแม้ร่างกายแกจะไม่ไหวแล้วก็ตาม .. แกเคยบอกไม่อยากให้ลูกหลานต้องมาเครียดเพราะตัวแกเอง
ในห้องผู้ป่วยวิกฤตคือศูนย์รวมของคนที่กำลังหมดลมหายใจ ในห้องนั้นอบอวลไปด้วยความเศร้าโศก เสียใจ การจากลาหลาย ๆ อย่างรวมกันไปหมด ทุกคนที่นอนดูมีสายอิลุงตุงนังเต็มไปหมด ย่าป่านนอนมาได้ประมาณ 3-4 วัน อาการก็ทรง ๆ ไม่ได้แย่มาก แต่ก็ไม่ดีขึ้น อาจจะเป็นเพราะเตียงข้าง ๆ ยังว่างไม่มีใครมานอน จุดเด่นที่ทุกคนรู้จักย่าป่านคือ ย่าป่านกลัวผีมาก !! มากถึงขนาดนอนคนเดียวไม่ได้ ตอนปู่ตายกว่าแกจะกลับไปนอนห้องที่แกเคยนอนกันก็ตั้งนานกว่าจะกลับไป ไม่มีอัฐิปู่ มีแต่รูปทุกอย่างอยู่วัด คือย่าไม่เอาเรื่องแบบนี้เลยแกกลัวจริง ๆ ไข้ขึ้นเลย จนมาวันที่ 5 มีคุณลุงคนนึงอาการแกก็คือสมองแกเหมือนตายไปแล้วเจาะคอเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่ต่อไป ย่าก็เริ่มกลัว เวลาที่พยายาบาลมาดูดคอลุงเค้าย่าป่านผวาหนักมาก แล้วพยาบาลจะชอบเอาหน้าลุงหันมาหาย่าป่าน แกเลยชี้มือบอกให้ปิดม่านให้หน่อย จนสุดท้ายลุงคนนั้นก็จากไป ย่าป่านคงไม่ได้ยินเสียงตี๊ดดดดดดดด แล้วก็มีพยาบาลมามะรุมมะตุ้มลุงคนนั้น และเข็ญลุงคนนั้นออกไป วันนั้นอาป่านนอนเฝ้า แกก็เล่าว่าย่าดันไปเห็นตอนเข้ากำลังทำศพและก็เข็ญศพออกไป หลังจากวันนั้นมาย่าป่านทรุดหนักมาก ซีกที่เป็นอำมพาต ก็เริ่มบวมเต่ง มือแกอีกข้างที่ยกได้อยู่ก็ชี้ไปที่ปลายเท้าบ้าง หัวนอนบ้าง แต่แกไม่ได้โวยวายอะไร พ่อถามว่ามากันเยอะเลยหรอ (ในที่นี้ก็น่าไม่ใช่คน) แกก็พยักหน้า .. พวกคุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคนกำลังจะตายแล้วมีคนมารอรับมั้ย .. ขอบอกเลยว่ามันมีจริง!! .. เราไม่รู้หรอกค่ะว่าคนที่ป่วยเค้าเห็นอะไรบ้าง แต่เรื่องนี้ทางพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่ามันเกี่ยวกับเรื่องการกระทำตอนมีชีวิตอยู่ว่าเราทำดีหรือทำเลวมากกว่ากัน เคยไปทำอะไรให้ใครมั้ย สิ่งพวกนี้ที่ทำไปเค้าจะมารอรับคุณในวันที่คุณกำลังจะตาย คนที่เคยฆ่าสัตว์ สัตว์พวกนั้นก็จะตามมาเอาชีวิตคุณไป คนที่ชอบทำบุญก็อาจจะมีเทวดาหรือสิ่งสวยงามมารอรับอยู่ก็ได้ .. เค้าถึงได้บอกว่าควรทำดีตายไปจะได้ไม่ทรมาน .. จนวันที่แกทรุดหนักวันนั้นไม่มีใครนอนเฝ้าแกเพราะพยาบาลบอกว่าไม่ให้เฝ้าแล้ว ทุกคนกลับบ้าน .. คืนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ที่ไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้นประมาณ ตี 2 " สวัสดีค่ะคุณเป็นญาติของคุณ ... ใช่มั้ยคะ ให้มาโรงพยาบาลด่วนเลยนะคะ คนไข้ชีพจรต่ำมาก " 4 คนพ่อแม่ลกสะดุ้งตื่นไม่รอช้า ออกจากบ้านทันที .. แต่ก็ไม่ทันแล้ว " ทำใจดีดีไว้นะคะ คุณ .. เสียชีวิตแล้ว " อา ทุกคน พร้อมครอบครัวป่านไปถึงที่นั้น สภาพของคือรอชุดที่อากำลังเอาไปให้มาเปลี่ยนและรอเข็ญลงไปยังห้องดับจิต
กรรมวิธีการเอาศพลงไปเก็บไว้ที่ห้องดับจิต ระหว่างทางจะต้องเรียกชื่อคนที่เสียชีวิตและบอกทางเค้าตลอดเส้นทาง .. ตอนที่เข็ญศพลงมา .. มีเสียงคนเดินตามหลังตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ป่านกะน้องเดินสุดท้ายเดินคู่กัน .. ใครวะ!? .. ตอนแรกป่านก็คิดว่าอาจจะเป็นเสียงแบบอาจจะเดินดังกันเอง .. ป่านก็คิดว่าป่านอาจจะเบลอเพราะไม่ได้นอนเลย .. เลยลองหันไปดู .. ป่านเห็นหมอกจาก ๆ แต่เป็นหมอกหนา ๆ อยู่ไม่ห่างจากป่านกับน้องมากเท่าไหร่ลอยอยู่ .. โอเคป่านอาจตายฝาดไปเอง .. หลังจากนั้นป่านก็ไม่หันไปมองข้างหลังอีกเลย .. ทางไปห้องดับจิตไกลเหลือเกิน .. เสียงข้างหลังป่านก็ยังคงเดินตามแบบนั้นตลอด จนถึงห้องดับจิต .. ทุกคนบอกย่าว่ารอนี้นะ เดี๋ยวมารับพรุ่งนี้ .. หลังจากหันหลังกลับบ้าน เสียงฝีเท้านั้นก็ไม่มีอีกเลย ตอนนั่งอยู่ในรถป่านก็เปิดประเด็นก่อนเลยว่า " หนูว่าหนูได้ยินเสียงคนเดินตามหลังหนูกะน้องแล้วก็มีควันขาว ๆ ตามมา แต่หนูว่าหนูอาจจะคิดไปเอง" พ่อบอกว่าพ่อได้ยินเสียงนี้มาตั้งแต่อยู่บนตึกผู้ป่วยแล้ว และเห็นควันนี้ลอยไปหาคนนั้นทีคนนี้ที และก็ไปเดินอยู่ตามหลังพวกเรานั้นแหละ กลายเป็นว่าทุกคนได้ยินเสียงฝีเท้าปริศนานั้นหมด ทุกคน ! .. ในขณะที่นั่งรถกลับบ้าน .. รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนมีอะไรมาเบียด ๆ หายใจไม่ออก ทั้ง ๆ ที่อยู่ 4 คนปกติ .. พอถึงบ้าน บ้านป่านจะเลี้ยงหมาไว้ตัวนึงตอนนั้น ตอนลงจากรถจาก หมาป่านที่ซึ่งปกติแล้วนางจะร่าเริงหางสั่นดุกดิกวิ่งมาวน ๆ ที่ขา แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน .. หมาป่านกลายเป็นหูลู่ หางตก ไม่เข้าใกล้พวกป่านเลย นางเดินไปนอนหมอบแล้วมองนิ่ง ๆ เราจะเดินไปจับหัวนางยิ่งหูลู่หนักกว่าเดิม .. สงสัยจะตามมาถึงบ้านเลยละมั้ง (คิดในใจ) .. หลังจากที่จัดแจงทุกอย่างในบ้านนั่งคุยกันเสร็จก็เตรียมตัวนอน ตั้งแต่กลับถึงบ้านมีหมาหอนในหมู่บ้านตลอดเวลา จนบางบ้านต้องตะโกนบอกให้หมาหยุดหอน .. บังเอิญน้องของป่านผู้ซึ่งมีเซนต์อะไรแบบอยู่นั้นแล้ว ดันหันไปมองที่หน้าบ้านพอดี ก็ไปเห็นผ้าถุงกับเสื้อผ้าไหมซึ่งน้องป่านจำได้ว่านั้นคือ .. ชุดของย่า .. ที่ใส่เมื่อตอนเปลี่ยนชุดศพ กำลังเดินอยู่หน้าบ้าน .. และย่าก็เดินหายออกไป .. น้องป่านเลยหันมาเล่าให้ทุกคนฟังโดยสภาพที่แบบหน้าซีด .. คืนนั้นทุกคนมานอนรวมกันห้องแม่โดยมิได้นัดหมาย ..
โดยส่วนตัวของย่าเป็นคนอารมณ์ดีขี้แกล้งอยู่แล้ว ฝั่งของทางบ้านย่าก็จะโดนแกแกล้งตลอด ไม่ว่าจะปิดไฟห้องน้ำเอย เปิดน้ำเอง เป่าหู จับไหล่ ต่าง ๆ นานา มากมาย จนทุกคนเริ่มชินและแกก็หายไป .. สงสัยไปอยู่ในที่ของแกแล้วละ วันลอยอังคารก็มีเรื่องแปลกอีกคืออยู่ดีดีก็มีกระดูกหล่นออกมาจากผ้าห่อกระดูก พ่อป่านกับป่านเห็นเข้าก็เลยกะว่าจะเก็บไว้ พ่อป่านเลยวางไว้ที่หน้าคอนโซนรถ ป่านเห็นเป็นพยานได้ หลังจากนั้นก็ล็อครถแล้วก็ไปลอยอังคาร พอกลับมาบนรถ ค้นดูอีกทีกระดูกชิ้นนั้นหายไปแล้ว ค้นทั่วรถเลยไม่เจอ จนบัดนี้ก็ยังหากระดูกชิ้นนั้นไม่เจอ เพราะล็อครถแล้วก็ไม่มีใครขอกุญแจไปเปิดรถ แล้วไปหายไปไหนได้ไง .. ก็ยังคงเป็นปริศนากันต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบนะคะ ยังมีเรื่องยายต่ออีก ยายป่านหลอนกว่าย่า 10 เท่าครึ่ง ไว้ว่าง ๆ จะมาเล่าให้ฟังใหม่ ถ้าผิดพลาดตรงไหนบอกด้วยนะคะ ขอบคุณมากค้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา >/\<