รูปสระน้ำพุ ที่เอาไว้แสดงน้ำพุ บรรเลง และที่แสดงการกระโดดน้ำของรอยัลแคริบเบียน
กลับมาแล้วจ้า กลับมาด้วยว่าเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์บนเรือสำราญกันบ้าง
หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า งานเรือนั้นไม่ค่อยจะเหมาะกับคนที่มีครอบครัวหรือมีแฟนแล้วสักเท่าไหร่นัก
เหมาะกับคนโสดมากกว่า
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนเองเห็นด้วย 70 % ค่ะ เพราะการที่ไปทำงานต่างประเทศ ทำงานอยู่ไกลคนที่เรารักเป็นเวลานานนั้น หากไม่หนักแน่นพอ ไม่คนทางบ้านที่เราจากมา ก็ตัวคนที่ไปทำงานที่เรือนั้น เกิดอาการผันเปลี่ยนได้
อาจจะไปมีชู้ มีกิ๊ก หรือถ้าต่างคนต่างไม่มี แต่มันก็ยากที่จะไว้เนื้อเชื่อใจกัน เกิดการระแวงกันได้ ถึงได้บอกก่อนหน้านี้ว่า ต้องหนักแน่นและเชื่อใจซึ่งกันและกันจริงๆ ค่ะ
" All the relationship, trust is always come first. คือ ทุก ๆ ความรักความสัมพันธ์นั้น ความเชื่อใจกันต้องมาก่อนเสมอค่ะ "
นี่แหนะ !!!เปิดฉากมาก็มีคำคมเลยนะ ตอนที่ 5 ว่าด้วยความรักนี้ อาจจะดราม่าเหมือนนิยายน้ำเน่าไปหน่อยนะคะ เตือนไว้ก่อน แต่ถ้ามันไม่เน่าหรือเน่าไม่พอ ก็ลองไปนั่งอ่านอยู่ในเรือยาวคลองแสนแสบดูนะคะ รับรองเน่าแน่ๆ แฮ่ๆๆ อ่านไปก็อยากถีบคนเขียนไปซะจริงจริ๊ง 😛
โดยส่วนตัวเรา ตอนนั้นโสดสนิทค่า อกหักจากหนุ่มไทยเป็นปีสองปี ก็ลืมไม่ได้สักที เลยเป็นโอกาสดีที่ได้ออกนอกประเทศ ไปไกลๆ จะได้ลืมๆ เค้าไปบ้าง มีแฟนฝรั่งดีกว่า ไม่เอาอีกแล้วเฟร้ย แฟนคนไทย นางถึงกับตั้งมั่นกับตัวเอง
ถึงอยากมีแฟนคนไทยก็เป็นไปได้ยากค่ะ เพราะเราผิวคล้ำๆ ดั้งแหมบๆ ( ไม่มีดั้ง ) ไม่มีกะตังค์ ไปเสริมดั้งหรือกินยาหรือฉีดให้ขาวเหมือนสมัยนี้ด้วย
ลักษณะโดยรวมแล้ว เราไม่สวยในสายตาผู้ชายไทยโดยส่วนใหญ่ค่ะ ชายไทยต้อง ขาวๆ น่ารักๆ แบ๊วๆ นมเป็นนม อะไรทำนองนี้ ( เอออินังนี่เก็บกดป่ะวะ555 หรือว่าไม่จริง? 😛 )
ซึ่งสัดส่วนประชากรของชายไทยก็น้อยซะเหลือเกิน ไม่ค่อยจะสมดุลกับจำนวนประชากรหญิงเอาซะเลย เราจึงไม่อยากไปตีราฆ่าฟันไปแย่งกับใคร เลยวางตำแหน่งหรือ Position ของตัวเองไว้ว่า อย่างเรานี่ต้องมีแฟนฝรั่งเท่านั้น อะฮ่า พูดอย่างกะการตลาดมาเลย 555
พอทำงานเรือไปสักพัก ก็มีเพื่อนฝรั่งที่ทำงานด้วยกันมาจีบค่ะ ตอนทำงานก็หยอกเล่นกันตามประสา แต่ก็แอบแซวๆ กัน ก็เลยชอบกัน
คบกันอยู่สักพักพอตอนที่เราเริ่มหลงรักเค้าแล้วนั้น เค้าก็มีปัญหากับหัวหน้าและงาน ทนอยู่ไม่ได้จริงๆ เค้าตัดสินใจลาออกจากงานค่ะ

อกหักดังเป๊าะ อีกแล้ว คราวนี้อกหักจากฝรั่งด้วย อุ้ยยย ร้องไห้สิคะ รออะไร ทำงานไป น้ำตาไหลไป ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและ Operator ผินและโรมาเนียนั้นด้วย ปลอบใจกันใหญ่ เฮ้อออ
มีเพื่อนชายของหนุ่มที่ทิ้งเราไปนั้นมาชอบเราเหมือนกันค่ะ แหมๆๆ เนื้อหอมนะจ๊ะ บอกแล้วเราว่าง position ของเราถูก 55555
หนุ่มคนนี้คอยซื้อขนมให้ พาออกไปเที่ยว ไปกินข้าว งานวันเกิดก็ซื้อดอกไม้ช่อใหญ่และสั่งเค๊กมาเซอร์ไพรส์ ซื้อเครื่องประดับสวารอฟสกี้ Swarovski ให้ ทำดีด้วยขนาดนั้น เราก็ยังไม่ชอบหรือหลงรักเค้า แต่ดันไปชอบ ไปรักคนที่มันทิ้งเราไป และดึงดูดแต่คนที่เค้าไม่จริงจังกับเรา แล้วก็ตีจากไปในที่สุด
คุ้นๆ กับชีวิตใครบ้างมั้ยคะ ใครเป็นแบบนี้บ้าง ยกมือขึ้น เฮ่ๆ คนดีๆ เนี่ยตรูไม่ชอบหรอก ตรูชอบคนที่ชอบทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ

ในส่วนของเรื่องความสัมพันธ์ของคนในเรือนั้น คนส่วนใหญ่ของคนทำงานเรือถ้าไม่ใช่คู่รัก แฟนกัน หรือสามีภรรยา แบบจริงๆ จังๆ กัน ก็จะมีคนอยู่เป็นโสดหรือแต่งการแต่งงานมาแล้ว แต่ก็อยู่แบบไม่สนใจใคร หนักแน่น ตรูก็อยู่ของตรูอย่างนี้ ชีวิตใครชีวิตมัน แบบนี้ก็ดีไปค่ะ
แต่ก็จะมีอยู่บางประเภท ที่มีแฟนอยู่แล้วที่ทางบ้านแล้วก็มามีกิ๊ก มีชู้กันบนเรืออีก กลับไปก็ไปอยู่กับคนนึง กลับมาทำงานเรือก็อยู่กับอีกคนนึง บางคนอยู่เรือลำเดียวกันแท้ๆ ก็มีชู้ มีกิ๊ก มั่วกันไปหมด เอาแล้วมุมมืดก็มา
แล้วก็มีอีกประเภทที่เรียกว่าจ้องจะเอาอย่างเดียวไม่ได้สนใจใคร เพื่อความสนุก หรือสนองกิเลส หรือเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อะไรทำนองนี้ เป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชายค่ะ
บางคนทำจนมีชื่อเสีย อ่านไม่ผิดค่ะ ไม่ได้ลืม "ง" คือมันฉาว จนใครๆ พอกล่าวชื่อถึง ก็จะรู้ หรือบางครั้งไม่ต้องบอกชื่อ แค่บอกว่าทำงานที่ไหน ประเทศอะไรกูรู้กันค่ะ สาวไทยเราก็ใช่ย่อยเลยเหมือนกัน เหอะๆ อะไรประมาณนี้ ก็ว่าไม่ได้ มันเรื่องส่วนตัวของใครของมันเนอะ คือเล่าสู่กันฟัง
ความสัมพันธ์บนเรือนั้นจึงเป็นอะไรที่ค่อข้างจะยุ่งเหยิง หรือคอมพลิเคท(Complicate) ค่ะ เพราะด้วยการทำงานอยู่ในเรือนั้นตลอดเวลา ไม่ได้วันหยุด ความเครียด
ถ้าทำแผนกด้วยกัน ก็ต้องเจอกันมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความอึดอัดใจหรือเบื่อหน่ายกันได้ ซึ่งมันก็แล้วแต่ละคน แต่ละคู่
ถ้าทำงานคนละแผนกอยู่ไกลหู ไกลตากัน ก็อาจเกิดความหึงหวงกันได้ง่าย ถ้าฝั่งชาย ก็อาจจะมีหญิงอื่นมาจ้อง มาล่อเหยื่ออยู่ก็มี ฝั่งผู้หญิง ผู้ชายในเรือก็ฮุ้ยยยสารพัดสารเพ อยากแหย่ อยากหยอก อยากเอาเล่นๆ ก็ถมเถไป ถึงเราว่าเราจะขึ้เหร่ขนาดไหน และถึงแม้จะมีแฟนแล้ว ก็ยังตกเป็นที่หมายตาอยู่ดี
ฉะนั้นจึงอยู่ที่ใจ วัดใจ และความหนักแน่น ความเข้าใจ ความเชื่อใจของกันล้วนๆ เลยค่ะ ท้ายสุดก็จะเห็นมีอยู่น้อยคู่มาก ที่จะอยู่ครองรักกัน เสมอต้นเสมอปลายและออกไปมีความสุขและใช้ชีวิตนอกเรือหรือชีวิตบนภาคพื้นดินได้อย่างตอนจบบริบูรณ์เหมือนละครไทย
หลายคู่แม้จะเห็นรักมานานหลายปี ทำงานด้วยกันมาหลายคอนแทรค แต่ด้วยงานที่จะอาจจะต้องโยกย้ายไปตามตำแหน่ง ย้ายเรือบ้าง ความเครียด และเรื่องอื่นๆ ก็ทำให้หลายคู่นั้นต้องจบด้วยการแยกทางกันไปในที่สุด เพราะบางที บางบริษัทหรือจังหวะของการจัดการนั้นก็ไม่ได้เอื้อให้คู่รักสามารถย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ง่ายๆ ต้องทำเรื่อง ทำเอกสารการครอบครองอะไรร่วมกัน มีเอกสารสมรส อะไรทำนองนี้ ถึงจะย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ต่ออุปสรรคนั้น และหันไปคว้าเอาคนอื่นที่ง่ายๆ กว่า ณ ที่ตรงนั้นมาแทน ก็หมายความว่า จบค่ะ จบไม่บริบูรณ์ด้วย
ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น และเพื่อนฝรั่งก็จะชอบปลอบเราว่า " Everything Happens For a Reason " คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่า เหตุผลที่ว่ามันคืออะไร ได้แต่เชื่อและปลอบตัวเองว่า " ที่ผ่านมานั้น มันจะทำให้เราได้เจออะไรและเจอใครที่ดีกว่าเดิม และเจอคนที่เค้าเป็นคู่เราจริงๆ "
ว่าแล้วก็ปลอบใจตัวเองอย่างนี้ ใช้ชีวิตแบบโสดๆ ทำงาน ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ออกไปเที่ยวข้างนอก ทนทำไปจนจบคอนแทรคแรก เราก็ยังเป็นคนอกหักและโสดอีกตามเคย แต่เราก็ยังเชื่อเสมอนะว่า รักแท้ คนที่รักเรา(ที่ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่นะ) คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเรานั้น มันต้องมีอยู่จริง
พอมาพูดเรื่องความรัก การอกหักเอาตอนนี้ ตอนที่ตัวเองผ่านจุดนั้นมาแล้ว มันก็รู้สึกเหมือนเรื่องเล็กๆ จิ๊บจ๊อยเองเนอะ
แต่ตอนที่ประสบอยู่นั้น ทำม๊าย ทำไม มันแลดูเป็นเรื่องใหญ่และคอยเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตซะเหลือเกิน
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้น เรายังไม่รู้จักรักตัวเองให้เป็น และรักตัวเองให้มากพอ ใจของเรายังไม่อิ่มในความรักที่มีต่อตัวเอง เราก็มัวแต่ไปวิ่งตามหาความรักจากคนอื่น หวังว่าเค้าจะมาคอยเติมเต็มส่วนที่สึกหรอ หรือขาดหายไปให้เรา หารู้ได้ว่า ความรักนั้น ยิ่งถ้าเราวิ่งหา มันยิ่งวิ่งหนี เพราะใจเรามันขาด มันไม่รู้จักคำว่า "รักตัวเองให้เป็น"
ฉะนั้นจึงอยากจะฝากถึงน้อง ๆ หรือผู้อ่านหรือผู้สนใจที่จะไปทำงานเรือนี้นะคะว่า หากคุณเป็นโสด ก็จงโสดอย่างมีสติ และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้เป็น รักตัวเองให้อิ่มเสียก่อน มันเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวดจากการอกหักได้ดีเลยทีเดียว เพราะโสดแล้วไปทำงานเรือ จะต้องเจออะไรหลายๆ อย่างแน่ๆ ใจแกร่งเข้าไว้
สำหรับผู้ที่มีคนรัก มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ต้องจำใจ จำจากไปทำงาน เพราะหน้าที่ หนี้สิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราต้องรับผิดชอบ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณและคนรักว่า ทั้งสองรักและเชื่อใจ ศรัทธาในความรักที่มีต่อกันมากแค่ไหน พูดคุย ปรึกษากันให้เคลียร์ ให้เข้าใจ จงอย่าใช้อารมณ์และกิเลส ความเหงา เพียงชั่ววูบ อย่าตกเป็นเหยื่อของเสือ สิงห์ กระทิง แรด แล้วทำอะไรที่ผิดไป ผิดที่คนที่เรารักที่รออยู่ทางบ้านนั้นอาจจะไม่รู้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจ หลอกคนที่เรารักไปตลอดชีวิต
แต่ในทางตรงกันข้าม เรายอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก เรายอมจากไปไกล แต่หากกลัวว่าคนที่เรารักจะไปมีคนใหม่ ก็จงเตรียมใจ และคุยกันให้เข้าใจ อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ความเชื่อใจนั้นย่อมมาก่อนเสมอ
หากตอนไหนรู้สึกว่าคนรักเราแปลกหรือเปลี่ยนไป ให้ลองเชื่อเซนส์หรือความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองสักครั้ง แล้วถอยออกในระยะที่เราไม่ต้องไปเจ็บและสูญเสียมาก ไม่งั้นอาจจะเกิดอาการช๊อคหรือเสียสติได้ คนที่บอบช้ำที่สุดอาจจะไม่ใช่แค่เรา พ่อแม่เรา อาจจะต้องมารับผิดชอบด้วย ที่ต้องพูดและต้องเตือนแบบนี้ เพราะมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วทั้งพี่คนไทยและเพื่อนชาวต่างชาติเหมือนกัน เล่นเอาเสียสติ ทำอะไรไม่ได้เลย
ซึ่งตัวเราเองก็เจอมาเหมือนกัน แต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับคนรักที่เจอกันในเรือ แต่มันก็สาหัสพอๆ กัน หากขึ้นชื่อได้ว่า เจอคนที่เรารักและเราเชื่อใจ ไปมีชู้ และจับได้ต่อหน้าต่อตา จึงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
ถ้ามันจะเกิด ก็จงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ทัน และมีสติ รักตัวเองให้เป็น และนึกถึงหน้าพ่อ หน้าแม่ หน้าคนที่เราฟูมฟักเลี้ยงดูเรามาเข้าไว้ค่ะ
ขอจบตอนที่ 5 นี้ไว้ค่อนข้างดราม่านิดนึงค่ะ หว้งว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างนะคะ
** ขออภัยที่ไม่มีรูปแฟนเก่า หรือความสัมพันธ์ใดๆ มาประกอบเลย เพราะลบทิ้งมันหมดแล้ว ช้ำนัก ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม 555***
ทั้งนี้ทั้งนั้นความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเรา พ่อแม่ พี่น้อง ตายาย น้า หลาน และเพื่อนๆ คนที่เค้ารักเราอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะไปไกลแค่ไหน เค้าก็ไม่เคยทรยศ หรือทิ้งเรา เค้ายังอยู่ตรงนี้ ที่เดิม ที่ๆ เรียกว่าบ้าน
พวกเขาเหล่านั้นต่างหาก คู่ควรแก่การที่เวลาอันมีค่าทั้งหมดของเรา ฉะนั้นรูปประกอบในตอนที่ 5 นี้ จึงเป็นรูปที่เรามาพักร้อน หลักจากจากจบคอนแทรคแล้ว มาใช้เวลากับครอบครัวให้คุ้มค่าที่สุด
รูปเป็นรูปหลังจากคอนแทรคที่สาม ตอนย้ายบริษัทแล้ว ผมเราก็จะสั้นกลายเป็นทอมไปแล้วนะคะ และตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่ได้ไว้ยาวอีกเลย ไม่ใช่ทอมแต่มันสบายหัวดี เบาๆ ไม่เสียเวลาในการบำรุงด้วย ทำงานทาเจล แป๊บๆ ทำงานได้ ประหยัดเวลาที่สุด
(พาคุณตาและครอบครัวไปเที่ยวเกาะช้างกันค่ะ แต่คุณตาเสียชีวิตแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ชีวิตเราสั้นนัก ใครอยากทำอะไรก็รีบๆ ทำนะ)
เราเห็นคุณตายิ้มและหัวเราะ เรามีความสุขที่สุดเลยค่ะ
กลับมากินฝีมือทำกับข้าวของคุณแม่ และข้าวต้มมัดที่อร่อยที่สุดในโลก แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจ้า
รูปคุณน้าและลูกพี่ลูกน้องของเรา ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว
ทำไอติมกะทิสด มาแจกให้เด็กๆ และผู้สูงอายุแถวหมู่บ้าน
สำหรับตอนหน้า ตอนที่ 6 เราจะมาสรุปสิว่า ตั้งแต่เล่ามาตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 5 นั้น
ข้อดีและข้อเสียนั้นมีอะไรบ้าง แท้จริงแล้ว งานนี้เหมาะสมกับใคร
ขอขอบคุณสำหรับการติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนที่ 5 ซึ่งจบคอนแทรคแรกแล้ว
รออ่านต่อไปว่า คอนแทรคที่สอง และการโยกย้ายบริษัทจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปกันนะค๊าา ไปนอนละเด้อ ...Ciao!!
มหากาพย์ ประสบการณ์งานเรือสำราญ ตอนที่ 5 มาตามสัญญาจ้า
กลับมาแล้วจ้า กลับมาด้วยว่าเรื่องของความรัก ความสัมพันธ์บนเรือสำราญกันบ้าง
หลายคนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้างว่า งานเรือนั้นไม่ค่อยจะเหมาะกับคนที่มีครอบครัวหรือมีแฟนแล้วสักเท่าไหร่นัก
เหมาะกับคนโสดมากกว่า
ตามความคิดเห็นของผู้เขียนเองเห็นด้วย 70 % ค่ะ เพราะการที่ไปทำงานต่างประเทศ ทำงานอยู่ไกลคนที่เรารักเป็นเวลานานนั้น หากไม่หนักแน่นพอ ไม่คนทางบ้านที่เราจากมา ก็ตัวคนที่ไปทำงานที่เรือนั้น เกิดอาการผันเปลี่ยนได้
อาจจะไปมีชู้ มีกิ๊ก หรือถ้าต่างคนต่างไม่มี แต่มันก็ยากที่จะไว้เนื้อเชื่อใจกัน เกิดการระแวงกันได้ ถึงได้บอกก่อนหน้านี้ว่า ต้องหนักแน่นและเชื่อใจซึ่งกันและกันจริงๆ ค่ะ
" All the relationship, trust is always come first. คือ ทุก ๆ ความรักความสัมพันธ์นั้น ความเชื่อใจกันต้องมาก่อนเสมอค่ะ "
นี่แหนะ !!!เปิดฉากมาก็มีคำคมเลยนะ ตอนที่ 5 ว่าด้วยความรักนี้ อาจจะดราม่าเหมือนนิยายน้ำเน่าไปหน่อยนะคะ เตือนไว้ก่อน แต่ถ้ามันไม่เน่าหรือเน่าไม่พอ ก็ลองไปนั่งอ่านอยู่ในเรือยาวคลองแสนแสบดูนะคะ รับรองเน่าแน่ๆ แฮ่ๆๆ อ่านไปก็อยากถีบคนเขียนไปซะจริงจริ๊ง 😛
โดยส่วนตัวเรา ตอนนั้นโสดสนิทค่า อกหักจากหนุ่มไทยเป็นปีสองปี ก็ลืมไม่ได้สักที เลยเป็นโอกาสดีที่ได้ออกนอกประเทศ ไปไกลๆ จะได้ลืมๆ เค้าไปบ้าง มีแฟนฝรั่งดีกว่า ไม่เอาอีกแล้วเฟร้ย แฟนคนไทย นางถึงกับตั้งมั่นกับตัวเอง
ถึงอยากมีแฟนคนไทยก็เป็นไปได้ยากค่ะ เพราะเราผิวคล้ำๆ ดั้งแหมบๆ ( ไม่มีดั้ง ) ไม่มีกะตังค์ ไปเสริมดั้งหรือกินยาหรือฉีดให้ขาวเหมือนสมัยนี้ด้วย
ลักษณะโดยรวมแล้ว เราไม่สวยในสายตาผู้ชายไทยโดยส่วนใหญ่ค่ะ ชายไทยต้อง ขาวๆ น่ารักๆ แบ๊วๆ นมเป็นนม อะไรทำนองนี้ ( เอออินังนี่เก็บกดป่ะวะ555 หรือว่าไม่จริง? 😛 )
ซึ่งสัดส่วนประชากรของชายไทยก็น้อยซะเหลือเกิน ไม่ค่อยจะสมดุลกับจำนวนประชากรหญิงเอาซะเลย เราจึงไม่อยากไปตีราฆ่าฟันไปแย่งกับใคร เลยวางตำแหน่งหรือ Position ของตัวเองไว้ว่า อย่างเรานี่ต้องมีแฟนฝรั่งเท่านั้น อะฮ่า พูดอย่างกะการตลาดมาเลย 555
พอทำงานเรือไปสักพัก ก็มีเพื่อนฝรั่งที่ทำงานด้วยกันมาจีบค่ะ ตอนทำงานก็หยอกเล่นกันตามประสา แต่ก็แอบแซวๆ กัน ก็เลยชอบกัน
คบกันอยู่สักพักพอตอนที่เราเริ่มหลงรักเค้าแล้วนั้น เค้าก็มีปัญหากับหัวหน้าและงาน ทนอยู่ไม่ได้จริงๆ เค้าตัดสินใจลาออกจากงานค่ะ
มีเพื่อนชายของหนุ่มที่ทิ้งเราไปนั้นมาชอบเราเหมือนกันค่ะ แหมๆๆ เนื้อหอมนะจ๊ะ บอกแล้วเราว่าง position ของเราถูก 55555
หนุ่มคนนี้คอยซื้อขนมให้ พาออกไปเที่ยว ไปกินข้าว งานวันเกิดก็ซื้อดอกไม้ช่อใหญ่และสั่งเค๊กมาเซอร์ไพรส์ ซื้อเครื่องประดับสวารอฟสกี้ Swarovski ให้ ทำดีด้วยขนาดนั้น เราก็ยังไม่ชอบหรือหลงรักเค้า แต่ดันไปชอบ ไปรักคนที่มันทิ้งเราไป และดึงดูดแต่คนที่เค้าไม่จริงจังกับเรา แล้วก็ตีจากไปในที่สุด
คุ้นๆ กับชีวิตใครบ้างมั้ยคะ ใครเป็นแบบนี้บ้าง ยกมือขึ้น เฮ่ๆ คนดีๆ เนี่ยตรูไม่ชอบหรอก ตรูชอบคนที่ชอบทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ
แต่ก็จะมีอยู่บางประเภท ที่มีแฟนอยู่แล้วที่ทางบ้านแล้วก็มามีกิ๊ก มีชู้กันบนเรืออีก กลับไปก็ไปอยู่กับคนนึง กลับมาทำงานเรือก็อยู่กับอีกคนนึง บางคนอยู่เรือลำเดียวกันแท้ๆ ก็มีชู้ มีกิ๊ก มั่วกันไปหมด เอาแล้วมุมมืดก็มา
แล้วก็มีอีกประเภทที่เรียกว่าจ้องจะเอาอย่างเดียวไม่ได้สนใจใคร เพื่อความสนุก หรือสนองกิเลส หรือเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อะไรทำนองนี้ เป็นทั้งผู้หญิงและผู้ชายค่ะ
บางคนทำจนมีชื่อเสีย อ่านไม่ผิดค่ะ ไม่ได้ลืม "ง" คือมันฉาว จนใครๆ พอกล่าวชื่อถึง ก็จะรู้ หรือบางครั้งไม่ต้องบอกชื่อ แค่บอกว่าทำงานที่ไหน ประเทศอะไรกูรู้กันค่ะ สาวไทยเราก็ใช่ย่อยเลยเหมือนกัน เหอะๆ อะไรประมาณนี้ ก็ว่าไม่ได้ มันเรื่องส่วนตัวของใครของมันเนอะ คือเล่าสู่กันฟัง
ความสัมพันธ์บนเรือนั้นจึงเป็นอะไรที่ค่อข้างจะยุ่งเหยิง หรือคอมพลิเคท(Complicate) ค่ะ เพราะด้วยการทำงานอยู่ในเรือนั้นตลอดเวลา ไม่ได้วันหยุด ความเครียด
ถ้าทำแผนกด้วยกัน ก็ต้องเจอกันมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความอึดอัดใจหรือเบื่อหน่ายกันได้ ซึ่งมันก็แล้วแต่ละคน แต่ละคู่
ถ้าทำงานคนละแผนกอยู่ไกลหู ไกลตากัน ก็อาจเกิดความหึงหวงกันได้ง่าย ถ้าฝั่งชาย ก็อาจจะมีหญิงอื่นมาจ้อง มาล่อเหยื่ออยู่ก็มี ฝั่งผู้หญิง ผู้ชายในเรือก็ฮุ้ยยยสารพัดสารเพ อยากแหย่ อยากหยอก อยากเอาเล่นๆ ก็ถมเถไป ถึงเราว่าเราจะขึ้เหร่ขนาดไหน และถึงแม้จะมีแฟนแล้ว ก็ยังตกเป็นที่หมายตาอยู่ดี
ฉะนั้นจึงอยู่ที่ใจ วัดใจ และความหนักแน่น ความเข้าใจ ความเชื่อใจของกันล้วนๆ เลยค่ะ ท้ายสุดก็จะเห็นมีอยู่น้อยคู่มาก ที่จะอยู่ครองรักกัน เสมอต้นเสมอปลายและออกไปมีความสุขและใช้ชีวิตนอกเรือหรือชีวิตบนภาคพื้นดินได้อย่างตอนจบบริบูรณ์เหมือนละครไทย
หลายคู่แม้จะเห็นรักมานานหลายปี ทำงานด้วยกันมาหลายคอนแทรค แต่ด้วยงานที่จะอาจจะต้องโยกย้ายไปตามตำแหน่ง ย้ายเรือบ้าง ความเครียด และเรื่องอื่นๆ ก็ทำให้หลายคู่นั้นต้องจบด้วยการแยกทางกันไปในที่สุด เพราะบางที บางบริษัทหรือจังหวะของการจัดการนั้นก็ไม่ได้เอื้อให้คู่รักสามารถย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ง่ายๆ ต้องทำเรื่อง ทำเอกสารการครอบครองอะไรร่วมกัน มีเอกสารสมรส อะไรทำนองนี้ ถึงจะย้ายไปอยู่ด้วยกันได้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ต่ออุปสรรคนั้น และหันไปคว้าเอาคนอื่นที่ง่ายๆ กว่า ณ ที่ตรงนั้นมาแทน ก็หมายความว่า จบค่ะ จบไม่บริบูรณ์ด้วย
ซึ่งเราก็เป็นหนึ่งในนั้น และเพื่อนฝรั่งก็จะชอบปลอบเราว่า " Everything Happens For a Reason " คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลบางอย่าง
ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกค่ะว่า เหตุผลที่ว่ามันคืออะไร ได้แต่เชื่อและปลอบตัวเองว่า " ที่ผ่านมานั้น มันจะทำให้เราได้เจออะไรและเจอใครที่ดีกว่าเดิม และเจอคนที่เค้าเป็นคู่เราจริงๆ "
ว่าแล้วก็ปลอบใจตัวเองอย่างนี้ ใช้ชีวิตแบบโสดๆ ทำงาน ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ออกไปเที่ยวข้างนอก ทนทำไปจนจบคอนแทรคแรก เราก็ยังเป็นคนอกหักและโสดอีกตามเคย แต่เราก็ยังเชื่อเสมอนะว่า รักแท้ คนที่รักเรา(ที่ไม่ได้หมายถึงพ่อแม่นะ) คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเรานั้น มันต้องมีอยู่จริง
พอมาพูดเรื่องความรัก การอกหักเอาตอนนี้ ตอนที่ตัวเองผ่านจุดนั้นมาแล้ว มันก็รู้สึกเหมือนเรื่องเล็กๆ จิ๊บจ๊อยเองเนอะ
แต่ตอนที่ประสบอยู่นั้น ทำม๊าย ทำไม มันแลดูเป็นเรื่องใหญ่และคอยเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิตซะเหลือเกิน
อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนั้น เรายังไม่รู้จักรักตัวเองให้เป็น และรักตัวเองให้มากพอ ใจของเรายังไม่อิ่มในความรักที่มีต่อตัวเอง เราก็มัวแต่ไปวิ่งตามหาความรักจากคนอื่น หวังว่าเค้าจะมาคอยเติมเต็มส่วนที่สึกหรอ หรือขาดหายไปให้เรา หารู้ได้ว่า ความรักนั้น ยิ่งถ้าเราวิ่งหา มันยิ่งวิ่งหนี เพราะใจเรามันขาด มันไม่รู้จักคำว่า "รักตัวเองให้เป็น"
ฉะนั้นจึงอยากจะฝากถึงน้อง ๆ หรือผู้อ่านหรือผู้สนใจที่จะไปทำงานเรือนี้นะคะว่า หากคุณเป็นโสด ก็จงโสดอย่างมีสติ และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้เป็น รักตัวเองให้อิ่มเสียก่อน มันเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวดจากการอกหักได้ดีเลยทีเดียว เพราะโสดแล้วไปทำงานเรือ จะต้องเจออะไรหลายๆ อย่างแน่ๆ ใจแกร่งเข้าไว้
สำหรับผู้ที่มีคนรัก มีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ต้องจำใจ จำจากไปทำงาน เพราะหน้าที่ หนี้สิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เราต้องรับผิดชอบ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณและคนรักว่า ทั้งสองรักและเชื่อใจ ศรัทธาในความรักที่มีต่อกันมากแค่ไหน พูดคุย ปรึกษากันให้เคลียร์ ให้เข้าใจ จงอย่าใช้อารมณ์และกิเลส ความเหงา เพียงชั่ววูบ อย่าตกเป็นเหยื่อของเสือ สิงห์ กระทิง แรด แล้วทำอะไรที่ผิดไป ผิดที่คนที่เรารักที่รออยู่ทางบ้านนั้นอาจจะไม่รู้ แต่เรารู้อยู่แก่ใจ หลอกคนที่เรารักไปตลอดชีวิต
แต่ในทางตรงกันข้าม เรายอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เรารัก เรายอมจากไปไกล แต่หากกลัวว่าคนที่เรารักจะไปมีคนใหม่ ก็จงเตรียมใจ และคุยกันให้เข้าใจ อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ความเชื่อใจนั้นย่อมมาก่อนเสมอ
หากตอนไหนรู้สึกว่าคนรักเราแปลกหรือเปลี่ยนไป ให้ลองเชื่อเซนส์หรือความรู้สึกลึกๆ ของตัวเองสักครั้ง แล้วถอยออกในระยะที่เราไม่ต้องไปเจ็บและสูญเสียมาก ไม่งั้นอาจจะเกิดอาการช๊อคหรือเสียสติได้ คนที่บอบช้ำที่สุดอาจจะไม่ใช่แค่เรา พ่อแม่เรา อาจจะต้องมารับผิดชอบด้วย ที่ต้องพูดและต้องเตือนแบบนี้ เพราะมันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้วทั้งพี่คนไทยและเพื่อนชาวต่างชาติเหมือนกัน เล่นเอาเสียสติ ทำอะไรไม่ได้เลย
ซึ่งตัวเราเองก็เจอมาเหมือนกัน แต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับคนรักที่เจอกันในเรือ แต่มันก็สาหัสพอๆ กัน หากขึ้นชื่อได้ว่า เจอคนที่เรารักและเราเชื่อใจ ไปมีชู้ และจับได้ต่อหน้าต่อตา จึงไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
ถ้ามันจะเกิด ก็จงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ทัน และมีสติ รักตัวเองให้เป็น และนึกถึงหน้าพ่อ หน้าแม่ หน้าคนที่เราฟูมฟักเลี้ยงดูเรามาเข้าไว้ค่ะ
ขอจบตอนที่ 5 นี้ไว้ค่อนข้างดราม่านิดนึงค่ะ หว้งว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างนะคะ
** ขออภัยที่ไม่มีรูปแฟนเก่า หรือความสัมพันธ์ใดๆ มาประกอบเลย เพราะลบทิ้งมันหมดแล้ว ช้ำนัก ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม 555***
ทั้งนี้ทั้งนั้นความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเรา พ่อแม่ พี่น้อง ตายาย น้า หลาน และเพื่อนๆ คนที่เค้ารักเราอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะไปไกลแค่ไหน เค้าก็ไม่เคยทรยศ หรือทิ้งเรา เค้ายังอยู่ตรงนี้ ที่เดิม ที่ๆ เรียกว่าบ้าน
พวกเขาเหล่านั้นต่างหาก คู่ควรแก่การที่เวลาอันมีค่าทั้งหมดของเรา ฉะนั้นรูปประกอบในตอนที่ 5 นี้ จึงเป็นรูปที่เรามาพักร้อน หลักจากจากจบคอนแทรคแล้ว มาใช้เวลากับครอบครัวให้คุ้มค่าที่สุด
รูปเป็นรูปหลังจากคอนแทรคที่สาม ตอนย้ายบริษัทแล้ว ผมเราก็จะสั้นกลายเป็นทอมไปแล้วนะคะ และตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่ได้ไว้ยาวอีกเลย ไม่ใช่ทอมแต่มันสบายหัวดี เบาๆ ไม่เสียเวลาในการบำรุงด้วย ทำงานทาเจล แป๊บๆ ทำงานได้ ประหยัดเวลาที่สุด
(พาคุณตาและครอบครัวไปเที่ยวเกาะช้างกันค่ะ แต่คุณตาเสียชีวิตแล้วเมื่อปีที่ผ่านมา ชีวิตเราสั้นนัก ใครอยากทำอะไรก็รีบๆ ทำนะ)
เราเห็นคุณตายิ้มและหัวเราะ เรามีความสุขที่สุดเลยค่ะ
กลับมากินฝีมือทำกับข้าวของคุณแม่ และข้าวต้มมัดที่อร่อยที่สุดในโลก แค่นี้ก็มีความสุขแล้วจ้า
รูปคุณน้าและลูกพี่ลูกน้องของเรา ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว
ทำไอติมกะทิสด มาแจกให้เด็กๆ และผู้สูงอายุแถวหมู่บ้าน
สำหรับตอนหน้า ตอนที่ 6 เราจะมาสรุปสิว่า ตั้งแต่เล่ามาตั้งแต่ตอนที่ 1 ถึงตอนที่ 5 นั้น
ข้อดีและข้อเสียนั้นมีอะไรบ้าง แท้จริงแล้ว งานนี้เหมาะสมกับใคร
ขอขอบคุณสำหรับการติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก จนถึงตอนที่ 5 ซึ่งจบคอนแทรคแรกแล้ว
รออ่านต่อไปว่า คอนแทรคที่สอง และการโยกย้ายบริษัทจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไปกันนะค๊าา ไปนอนละเด้อ ...Ciao!!