สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนครับ พอดีผมมีโอกาสได้จับเครื่อง ASUS Zenfone 3 Laser ของพี่ที่ทำงานประมาณ 2 วัน เนื่องจากเขาซื้อมาแล้วใช้ไม่เป็น เลยวานให้ผมอัพเดตซอฟท์แวร์ พร้อมทั้งลงแอปพลิเคชันให้พร้อมใช้งาน ผมก็เลยได้โอกาสนำมาเขียนรีวิวซะเลย แล้วก็เปรียบเทียบกับ Zenfone 3 Max ที่ผมใช้เป็นเครื่องสำรอง เพราะตอนที่ผมตัดสินใจซื้อ Zenfone 3 Max ก็ลังเลกับ Zenfone 3 Laser อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของกระเป๋าสตางค์ ก็เลยสอยเจ้า Zenfone 3 Max มาแทน 555
ต้องขอแจ้งก่อนนะครับ ว่าผมได้มาแค่ตัวเครื่อง ASUS Zenfone 3 Laser จริง ๆ ส่วนกล่อง และอุปกรณ์อยู่ที่เจ้าของเครื่องหมดเลย เท่าที่สอบถามมาก็จะมีอุปกรณ์ให้ครบ ๆ สายชาร์จ, อะแดปเตอร์ แล้วก็หูฟัง
ตัวเครื่อง ASUS Zenfone 3 Laser หน้าตาจะคล้าย ๆ กับ ASUS Zenfone 3 Max เหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างด้านรายละเอียดเล็กน้อย เช่น Navigation Key ของ ASUS Zenfone 3 Laser จะเป็นปุ่มกดด้านล่างหน้าจอ แต่ของ ASUS Zenfone 3 Max จะเป็นปุ่มแบบ Soft Key ที่ลอยอยู่ในหน้าจอ ซึ่งก็มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป อย่างของ ASUS Zenfone 3 Laser ก็คือยังไงมันก็กดได้แน่ ๆ เพราะเป็นปุ่มฮาร์ดแวร์ แต่ก็แลกกับการที่ไม่มีไฟใต้ปุ่ม ใช้กลางคืนคงต้องอาศัยความเคยชินซักหน่อย
ขนาดตัวเครื่องของ ASUS Zenfone 3 Laser จะบาง และเบากว่า ASUS Zenfone 3 Max 5.2 ที่ผมใช้พอสมควร ก็ตามขนาดแบตเตอรี่นั่นแหละครับ ส่วนการจับถือ ผมว่า ASUS Zenfone 3 Laser ทำได้ดีกว่า เพราะตัวเครื่องไม่ได้แตกต่างกับ ASUS Zenfone 3 Max มากเท่าไหร่ แต่น้ำหนักเบากว่า บางกว่า เลยทำให้ถือใช้งานได้สะดวกกว่านั่นเอง
สิ่งที่ผมมองว่า ASUS Zenfone 3 Laser ออกแบบมาได้ดีกว่าก็คงเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง ตอนที่ใช้ ASUS Zenfone 3 Max นี่ผมหงุดหงิดพอสมควร เพราะลำโพงด้านหลังตัวเครื่อง พอวางลงกับพื้นแล้วแทบไม่ได้ยินเสียงเลย แต่ลำโพงของ ASUS Zenfone 3 Laser จะอยู่ทางด้านล่าง วางกับพื้นเสียงก็ยังคงดังเหมือนเดิม ส่วนพอร์ทเชื่อมต่อก็เป็น Micro USB เหมือนเคยครับ ยังไม่ได้ใช้ USB Type-C เนอะ
กล้องของ ASUS Zenfone 3 Laser ถือว่าให้เทคโนโลยีมาแน่นไม่แพ้พวกมือถือราคาแพง ๆ เท่าที่ดูจากสเปคกล้อง เซนเซอร์ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล แต่ใส่เซนเซอร์มายุบยับเต็มไปหมด ทั้งเลเซอร์โฟกัส (ตามชื่อรุ่น) แฟลช Dual LED และที่เหนือแฟลชก็จะมีเซนเซอร์วัดสี ที่ช่วยให้ถ่ายรูปได้สีที่แม่นยำมากขึ้น
เท่าที่ลองใช้กล้อง ASUS Zenfone 3 Laser ต้องออกตัวก่อนว่าผมมีเวลาเล่นนิดเดียว เลยถ่ายมาได้แค่ไม่กี่ภาพเท่านั้น แต่สัมผัสได้เลยว่ามันถ่ายรูปได้ง่าย แล้วก็ได้คุณภาพที่ดีกว่า ASUS Zenfone 3 Max ที่ผมใช้อยู่พอสมควร ก็ตามช่องว่างระหว่างราคาล่ะครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายก็ตามนี้เลย
ชิปเซ็ต Snapdragon 430 ที่อยู่ใน Zenfone 3 Laser ตอนแรกผมก็คิดว่าน่าจะกลาง ๆ ตามซีรี่ส์ 400 ของ Snapdragon แต่เท่าที่ลอง ๆ เล่นเกม เช่น Cookie Run, N.O.V.A. 3 (เล่นได้เฉยเลย) หรือเล่นโซเชียล, เปิดเว็บ สลับใช้งานแอปไปมาก็โอเคเลย ลื่น ๆ อาจจะมาจากการที่ให้แรม 4 GB มาด้วยล่ะครับ แล้วก็แบตเตอรี่ใช้งานได้นานพอสมควร การใช้งาน 4G ก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา ไม่ต้องโรมมิงทรูแบบ Zenfone 3 Max ด้วย
รวม ๆ ของ Zenfone 3 Laser เสียดายที่ผมได้เล่นแค่แปบเดียว แต่ก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้มือถือราคาไม่แพงมาก ไม่ถึงหมื่น ถ่ายรูปได้ดีสมราคา วัสดุโลหะ มีปุ่มสแกนนิ้ว เรียกว่าสเปคครบ ๆ ในราคาคุ้ม ๆ ล่ะครับ
[CR] [CR] รีวิว ASUS Zenfone 3 Laser มือถือสเปคครบ ๆ ในราคาคุ้ม ๆ 8,990 บาท
สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนครับ พอดีผมมีโอกาสได้จับเครื่อง ASUS Zenfone 3 Laser ของพี่ที่ทำงานประมาณ 2 วัน เนื่องจากเขาซื้อมาแล้วใช้ไม่เป็น เลยวานให้ผมอัพเดตซอฟท์แวร์ พร้อมทั้งลงแอปพลิเคชันให้พร้อมใช้งาน ผมก็เลยได้โอกาสนำมาเขียนรีวิวซะเลย แล้วก็เปรียบเทียบกับ Zenfone 3 Max ที่ผมใช้เป็นเครื่องสำรอง เพราะตอนที่ผมตัดสินใจซื้อ Zenfone 3 Max ก็ลังเลกับ Zenfone 3 Laser อยู่เหมือนกัน แต่ด้วยข้อจำกัดของกระเป๋าสตางค์ ก็เลยสอยเจ้า Zenfone 3 Max มาแทน 555
ต้องขอแจ้งก่อนนะครับ ว่าผมได้มาแค่ตัวเครื่อง ASUS Zenfone 3 Laser จริง ๆ ส่วนกล่อง และอุปกรณ์อยู่ที่เจ้าของเครื่องหมดเลย เท่าที่สอบถามมาก็จะมีอุปกรณ์ให้ครบ ๆ สายชาร์จ, อะแดปเตอร์ แล้วก็หูฟัง
ตัวเครื่อง ASUS Zenfone 3 Laser หน้าตาจะคล้าย ๆ กับ ASUS Zenfone 3 Max เหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างด้านรายละเอียดเล็กน้อย เช่น Navigation Key ของ ASUS Zenfone 3 Laser จะเป็นปุ่มกดด้านล่างหน้าจอ แต่ของ ASUS Zenfone 3 Max จะเป็นปุ่มแบบ Soft Key ที่ลอยอยู่ในหน้าจอ ซึ่งก็มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไป อย่างของ ASUS Zenfone 3 Laser ก็คือยังไงมันก็กดได้แน่ ๆ เพราะเป็นปุ่มฮาร์ดแวร์ แต่ก็แลกกับการที่ไม่มีไฟใต้ปุ่ม ใช้กลางคืนคงต้องอาศัยความเคยชินซักหน่อย
ขนาดตัวเครื่องของ ASUS Zenfone 3 Laser จะบาง และเบากว่า ASUS Zenfone 3 Max 5.2 ที่ผมใช้พอสมควร ก็ตามขนาดแบตเตอรี่นั่นแหละครับ ส่วนการจับถือ ผมว่า ASUS Zenfone 3 Laser ทำได้ดีกว่า เพราะตัวเครื่องไม่ได้แตกต่างกับ ASUS Zenfone 3 Max มากเท่าไหร่ แต่น้ำหนักเบากว่า บางกว่า เลยทำให้ถือใช้งานได้สะดวกกว่านั่นเอง
สิ่งที่ผมมองว่า ASUS Zenfone 3 Laser ออกแบบมาได้ดีกว่าก็คงเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง ตอนที่ใช้ ASUS Zenfone 3 Max นี่ผมหงุดหงิดพอสมควร เพราะลำโพงด้านหลังตัวเครื่อง พอวางลงกับพื้นแล้วแทบไม่ได้ยินเสียงเลย แต่ลำโพงของ ASUS Zenfone 3 Laser จะอยู่ทางด้านล่าง วางกับพื้นเสียงก็ยังคงดังเหมือนเดิม ส่วนพอร์ทเชื่อมต่อก็เป็น Micro USB เหมือนเคยครับ ยังไม่ได้ใช้ USB Type-C เนอะ
กล้องของ ASUS Zenfone 3 Laser ถือว่าให้เทคโนโลยีมาแน่นไม่แพ้พวกมือถือราคาแพง ๆ เท่าที่ดูจากสเปคกล้อง เซนเซอร์ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล แต่ใส่เซนเซอร์มายุบยับเต็มไปหมด ทั้งเลเซอร์โฟกัส (ตามชื่อรุ่น) แฟลช Dual LED และที่เหนือแฟลชก็จะมีเซนเซอร์วัดสี ที่ช่วยให้ถ่ายรูปได้สีที่แม่นยำมากขึ้น
เท่าที่ลองใช้กล้อง ASUS Zenfone 3 Laser ต้องออกตัวก่อนว่าผมมีเวลาเล่นนิดเดียว เลยถ่ายมาได้แค่ไม่กี่ภาพเท่านั้น แต่สัมผัสได้เลยว่ามันถ่ายรูปได้ง่าย แล้วก็ได้คุณภาพที่ดีกว่า ASUS Zenfone 3 Max ที่ผมใช้อยู่พอสมควร ก็ตามช่องว่างระหว่างราคาล่ะครับ
ตัวอย่างภาพถ่ายก็ตามนี้เลย
ชิปเซ็ต Snapdragon 430 ที่อยู่ใน Zenfone 3 Laser ตอนแรกผมก็คิดว่าน่าจะกลาง ๆ ตามซีรี่ส์ 400 ของ Snapdragon แต่เท่าที่ลอง ๆ เล่นเกม เช่น Cookie Run, N.O.V.A. 3 (เล่นได้เฉยเลย) หรือเล่นโซเชียล, เปิดเว็บ สลับใช้งานแอปไปมาก็โอเคเลย ลื่น ๆ อาจจะมาจากการที่ให้แรม 4 GB มาด้วยล่ะครับ แล้วก็แบตเตอรี่ใช้งานได้นานพอสมควร การใช้งาน 4G ก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา ไม่ต้องโรมมิงทรูแบบ Zenfone 3 Max ด้วย
รวม ๆ ของ Zenfone 3 Laser เสียดายที่ผมได้เล่นแค่แปบเดียว แต่ก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับคนที่อยากได้มือถือราคาไม่แพงมาก ไม่ถึงหมื่น ถ่ายรูปได้ดีสมราคา วัสดุโลหะ มีปุ่มสแกนนิ้ว เรียกว่าสเปคครบ ๆ ในราคาคุ้ม ๆ ล่ะครับ