คืนสุดท้ายในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙
เช้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐
********************
คืนสุดท้ายในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๓ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๙.๐๐ น.วันที่ชาวไทยทั้งปวง ไม่ต้องการแม้แต่จะนึกคิด และไม่ปรารถนาแม้แต่จะได้ยิน ก็มาถึง เมื่อสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เมื่อเวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที ของวันที่ ๑๓ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ ถือว่าเป็นการสูญเสีย และความวิปโยคยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ ๙ เป็นช่วงเวลาที่มีการพัฒนาประเทศในทุกด้าน พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รัก เทิดทูน ทรงเป็นศูนย์รวมใจ ของคนไทยทั้งชาติ พระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมากมาย ล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ นับเป็น ๗๐ ปี ที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม โดยแท้
เช้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐
และเมื่อเข็มนาฬิกาเดินเข้าสู่ ๒๔.๐๐ น. ของวันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น เชื่อได้ว่า ประชาชนคนไทยทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ คงเป็นเรื่องยากที่จะข่มตานอนได้ เพราะมันคือเวลาที่บอกว่า คืนสุดท้ายในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ ได้หมดลงแล้วเริ่มเข้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่๑๐ ทุกคนคงมีความคิดเดียวกันว่า อยากให้เป็นเพียงฝันร้าย เราตื่นตอนในตอนเช้าวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เราลืมตาตื่นขึ้นมาหยิบมือถือ มองที่สื่อออนไลน์อีกครั้ง นึกถึงเรื่องราวที่รับรู้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ผ่านไปสักพักเราลุกขึ้นทำภารกิจของตัวเอง เวลา ๑๖.๐๐น.ของวันศุกร์ที่ ๑๔ เดือน ตุลาคม เรานั่งดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ซึ่งเป็นเวลาที่ทางสำนักพระราชวังจะได้เคลื่อนพระบรมศพของพ่อหลวงกลับสู่พระราชวัง มีประชาชนนับแสนคนมารอส่งเสด็จพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทย บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บ้างคนร้องไห้จนเป็นลม และในขณะรอเวลาเคลื่อนพระบรมศพนั้นมีทหารนายหนึ่งจะเป็นลม ซึ่งในตอนนั้นมีทหารคนอื่นจะมาเปลี่ยนแต่ทหารคนที่จะเป็นลมไม่ยอม เขาบอกว่าจะทำขอทำหน้าที่ส่งพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ในความรู้สึกของเราในตอนนั้น เราอยากกลับไปส่งเสด็จพระองค์ท่านที่เมืองไทย แต่ด้วยภาระและหน้าที่ที่นี้ เราจึงไม่สามารถเดินทางกลับไปส่งพ่อได้ แต่เราขอเป็นประชาชนตัวเล็กๆที่ขอส่งเสด็จพระองค์ในใจอยู่ที่นอกแผ่นดินมาตุภูมิ วันนี้พ่อไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีคำสอน หลักแนวคิด พระราชดำรัส ยังคงอยู่กับเราทุกคน เพราะท่านไม่อยู่กับเราเพียงกาย แต่ท่านจะประทับอยู่ในใจของคนไทยตลอดไป
บัดนี้สิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มหากษัตริย์ไทยลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว ขอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ มหากษัตริย์ไทยลำดับที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี จงทรงพระเจริญ
“พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ธ สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้”
คืนสุดท้ายในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ เช้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐
เช้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐
********************
คืนสุดท้ายในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙
วันพฤหัสบดี ที่ ๑๓ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เวลา ๑๙.๐๐ น.วันที่ชาวไทยทั้งปวง ไม่ต้องการแม้แต่จะนึกคิด และไม่ปรารถนาแม้แต่จะได้ยิน ก็มาถึง เมื่อสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เมื่อเวลา ๑๕ นาฬิกา ๕๒ นาที ของวันที่ ๑๓ เดือน ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยพระอาการสงบ ถือว่าเป็นการสูญเสีย และความวิปโยคยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ ๙ เป็นช่วงเวลาที่มีการพัฒนาประเทศในทุกด้าน พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รัก เทิดทูน ทรงเป็นศูนย์รวมใจ ของคนไทยทั้งชาติ พระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยมากมาย ล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปีที่ทรงครองราชย์ นับเป็น ๗๐ ปี ที่ทรงครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม โดยแท้
เช้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่ ๑๐
และเมื่อเข็มนาฬิกาเดินเข้าสู่ ๒๔.๐๐ น. ของวันศุกร์ที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ นั้น เชื่อได้ว่า ประชาชนคนไทยทั้ง ๗๗ จังหวัดทั่วประเทศ คงเป็นเรื่องยากที่จะข่มตานอนได้ เพราะมันคือเวลาที่บอกว่า คืนสุดท้ายในแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ ได้หมดลงแล้วเริ่มเข้าวันใหม่ในแผ่นดินรัชกาลที่๑๐ ทุกคนคงมีความคิดเดียวกันว่า อยากให้เป็นเพียงฝันร้าย เราตื่นตอนในตอนเช้าวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ เราลืมตาตื่นขึ้นมาหยิบมือถือ มองที่สื่อออนไลน์อีกครั้ง นึกถึงเรื่องราวที่รับรู้ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา น้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ผ่านไปสักพักเราลุกขึ้นทำภารกิจของตัวเอง เวลา ๑๖.๐๐น.ของวันศุกร์ที่ ๑๔ เดือน ตุลาคม เรานั่งดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ ซึ่งเป็นเวลาที่ทางสำนักพระราชวังจะได้เคลื่อนพระบรมศพของพ่อหลวงกลับสู่พระราชวัง มีประชาชนนับแสนคนมารอส่งเสด็จพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของคนไทย บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บ้างคนร้องไห้จนเป็นลม และในขณะรอเวลาเคลื่อนพระบรมศพนั้นมีทหารนายหนึ่งจะเป็นลม ซึ่งในตอนนั้นมีทหารคนอื่นจะมาเปลี่ยนแต่ทหารคนที่จะเป็นลมไม่ยอม เขาบอกว่าจะทำขอทำหน้าที่ส่งพ่อหลวงเป็นครั้งสุดท้าย ในความรู้สึกของเราในตอนนั้น เราอยากกลับไปส่งเสด็จพระองค์ท่านที่เมืองไทย แต่ด้วยภาระและหน้าที่ที่นี้ เราจึงไม่สามารถเดินทางกลับไปส่งพ่อได้ แต่เราขอเป็นประชาชนตัวเล็กๆที่ขอส่งเสด็จพระองค์ในใจอยู่ที่นอกแผ่นดินมาตุภูมิ วันนี้พ่อไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีคำสอน หลักแนวคิด พระราชดำรัส ยังคงอยู่กับเราทุกคน เพราะท่านไม่อยู่กับเราเพียงกาย แต่ท่านจะประทับอยู่ในใจของคนไทยตลอดไป
บัดนี้สิ้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร มหากษัตริย์ไทยลำดับที่ ๙ แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว ขอสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิราลงกรณ มหากษัตริย์ไทยลำดับที่ ๑๐ แห่งราชวงศ์จักรี จงทรงพระเจริญ
“พระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย ธ สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้”