ทางตันของชาวนา

กระทู้คำถาม
Tue, 2016-11-08 19:28

พฤกษ์ เถาถวิล




จากปัญหาราคาข้าวตกต่ำที่ผ่านมา กระทั่งเกิดเหตุสลดใจ มีชายผูกคอตาย ใต้ต้นฉำฉากลางทุ่งนา จ. พิจิตร ขณะที่ภรรยาของผู้ตายให้การว่า สามีเครียดจากเรื่องราคาข้าวตกต่ำ แต่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาปฏิเสธว่า ผู้ตายเป็นช่างแอร์ ไม่ได้เป็นชาวนา จึงไม่เกี่ยวกับเรื่องราคาข้าวแต่อย่างใด

มองในแง่ดี ท่านโฆษกฯ ไม่ได้ตั้งใจปฏิเสธความรับผิดชอบของรัฐบาล แต่ท่านเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ หากเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้ยิ่งน่าเศร้า ที่รัฐบาลเข้าใจชาวนาน้อยเหลือเกิน

ผู้เขียนขอใช้โอกาสนี้ สื่อให้เข้าใจว่า การมีหลายอาชีพของชาวนาเป็นลักษณะทั่วไปที่เกิดขึ้นมานานแล้ว บทความนี้มาจากส่วนหนึ่งของการวิจัยของผู้เขียนในหมู่บ้านภาคอีสาน บทความตั้งใจสะท้อนลักษณะการดำรงชีวิตของชาวนาจำนวนหนึ่งในประเทศไทย และวิกฤตที่เพิ่มสูงขึ้น ที่ผู้เขียนเรียกว่า “ทางตันของชาวนา” ที่เกิดขึ้นในช่วง 2- 3 ปีที่ผ่านมานี้ ดังต่อไปนี้

ยามที่เกิดภัยธรรมชาติ ปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ หรือปัญหาอื่นๆ เราจะพบว่าชาวนาดิ้นรนเอาตัวรอดแบบต่างๆ ดังเช่นที่เราเห็นชาวนากำลังสร้างเครือข่ายนำข้าวออกมาขายเองเพื่อตัดวงจรการเอาเปรียบของพ่อค้าคนกลาง นั่นเป็นตัวอย่างหนึ่ง    

การแก้ไขปัญหาโดยการดิ้นรนแบบต่างๆนี้ ชาวนาทำมานานแล้ว นักวิชาการเรียกว่า “ยุทธศาสตร์การดำรงชีพ” ขณะที่บางท่านเรียกว่า “ชาวนาผู้ยืดหยุ่น” ลักษณะเช่นนี้แสดงให้เห็นจุดแข็งของสังคมชาวนา ในภาวะที่หนทางดูเหมือนตีบตัน  ถูกกระหน่ำจากภัยธรรมชาติ หรือถูกปิดล้อมจากอำนาจที่เหนือกว่า พวกเขาไม่จำนนต่อปัญหา แต่กลับยิ่งแสดงให้เห็นศักยภาพ ซึ่งหมายความว่าหากได้รับโอกาสที่ดีชาวนาก็พัฒนาได้ไม่แพ้คนกลุ่มใดในสังคม

ยุทธศาสตร์การดำรงชีพของชาวนา เป็นการกระทำที่มีทั้งลักษณะเฉพาะหน้า และระยะยาว เป็นการหาโอกาส จัดการความเสี่ยง และผสมผสานการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ เราอาจจำแนกลักษณะรูปธรรมได้ดังนี้ 1. การปลูกข้าวไว้กินก่อน ที่เหลือขาย และปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆไปด้วย 2. การรับจ้างในและนอกภาคเกษตร รวมทั้งพึ่งเงินส่งกลับจากลูกหลานที่ไปทำงานในเมือง 3. การบริหารจัดการที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากจำเป็นก็ต้องขาย 4. การเก็บหาปัจจัยสี่จากธรรมชาติ 5. การเข้าถึงทรัพยากรหรือโอกาสหารายได้จากความสัมพันธ์ทางสังคมในระดับเครือญาติ ท้องถิ่น หรือระดับชาติ  

ยุทธศาสตร์การดำรงชีพนี้ เคยเป็นไปได้เพราะเงื่อนไขเอื้ออำนวย แต่ปัจจุบันเหตุการณ์เปลี่ยนไป เราจะทำความเข้าใจเป็นลำดับดังนี้

แรงงานในครัวเรือน ยิ่งต้องทำการผลิตหลายอย่าง การมีแรงงานยิ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญ แต่ข้อเท็จจริงคือ ปัจจุบันครัวเรือนในชนบทมีขนาดเล็กลง คือเฉลี่ย  3.9 คน/ครัวเรือน ซึ่งเกิดจากการมีลูกน้อยลง และอีกเหตุหนึ่งคือลูกๆไปเรียนหนังสือหรือไปทำงานต่างจังหวัด ขณะที่อายุขัยเฉลี่ยของเกษตรกรเพิ่มขึ้น คนที่ยังทำเกษตรส่วนใหญ่คือคนอายุ 40-60 ปี ในหมู่บ้านที่ผู้เขียนศึกษาอายุเฉลี่ยของหัวหน้าครอบครัวคือ 45 ปี ภาพของครัวเรือนชนบท คือบ้านของเกษตรกรวัยกลางคนหรือสูงวัย เป็นผัวเมียที่ตื่นแต่เช้าตรู่ไปทำงานสารพัดจนมืดค่ำ ไม่ต่างจากกรรมกรในไร่นาของตัวเอง ครอบครัวที่มีลูกวัยทำงานช่วยเหลืองานในครอบครัวนั้นถือเป็นกรณีพิเศษ มักมีเสี่ยงบ่นจากเจ้าหน้าที่ว่า เวลาไปส่งเสริมให้ทำอะไรชาวบ้านมักไม่เอาใจใส่ทำจริงจัง แต่สำหรับชาวบ้านเหตุที่ไม่มีเวลา เพราะต้องแบ่งเวลาไปทำงานอื่น ซึ่งเป็นการจัดการความเสี่ยงท่ามกลางความไม่แน่นอน  

ราคาพืชผลการเกษตร  เป็นเงื่อนไขสำคัญของรายได้ครัวเรือน ในภาคอีสาน 2-3 ปีมานี้สถานการณ์พืชสำคัญคือยางพารา ข้าว มันสำปะหลัง ต่างย่ำแย่ ทุกวันนี้ชาวสวนยางพาราที่มีสวนยาง 10-20 ไร่ อยู่ได้ด้วยการลดการดูแลรักษา ใส่ปุ๋ยน้อยลง ใช้แรงงานในครัวเรือนเป็นหลัก กรีดยางแล้วขายยางเป็นยางก้อน เพื่อลดการใช้แรงงาน มีรายได้เดือนละ 2-3,000 จากที่เคยมีรายได้เดือนละ 1-20,000 บาท กรณีจ้างแรงงานกรีดยาง ทุกวันนี้คิดค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งผลผลิตอัตรา 50 : 50 ซึ่งเจ้าของสวนยางต้องจำใจยอม ส่วนแรงงานก็บ่นว่าได้ผลตอบแทนไม่ค่อยคุ้มค่า

กรณีข้าว ชาวนาอีสานหลายพื้นที่ลดการทำนาลง โดยทำให้พอมีข้าวกินคุ้มปี (ในที่นา 5-10 ไร่) และทำเผื่อเหลือขายเพียงไม่มาก เพราะรู้ว่ายิ่งทำมากยิ่งขาดทุน ด้วยเหตุที่ต้องรีบไปทำงานอื่น การทำนาต้องจ้างแรงงานและเครื่องทุ่นแรง ต้นทุนตกอยู่ที่ไร่ละ 1,500-2,000 บาท ในปีนี้หากข้าวเปลือกอยู่ที่เกวียนละ 6,000 บาท สมมุติมีนา  20 ไร่ ได้ผลผลิตข้าวเปลือกไร่ละ 300 กิโลกรัม ครัวเรือนนั้นจะมีข้าวกินคุ้มปี กับมีข้าวเหลือขายประมาณ 4.5 ตัน เมื่อนำไปขายและหักต้นทุนแล้ว จะเหลือเงิน 7,000 บาท คิดเฉลี่ยเป็นรายได้ต่อเดือนของครอบครัวเท่ากับ 583 บาท คิดเป็นค่าตอบแทนรายวันเท่ากับ 19 บาท !

ส่วนมันสำปะหลัง ปีที่แล้วราคาเริ่มตกต่ำ และมีสัญญาณว่าราคาปีนี้ (จะขายผลผลิตปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า) จะตกต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ในหมู่บ้านที่ผู้เขียนเก็บข้อมูล  การทำไร่มันให้ได้ผลผลิตคุ้มกับการลงทุนลงแรง ต้องใช้ต้นทุนสูง ในบางพื้นที่ต้องเช่าที่ดินไร่ละ 1,500 – 2,000 บาท (ราคาพอๆกับค่าเช่าที่นาในภาคกลาง) ต้องพ่นยากำจัดวัชพืช และใส่ปุ๋ยให้มากพอ  ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยของหมู่บ้านนี้คือประมาณ 5,000 บาท/ไร่ และเมื่อขายให้ผลตอบแทนเป็นกำไรประมาณ 4,000 บาท/ไร่ ซึ่งครอบครัวใดต้องการมีรายได้เข้าบ้านเฉลี่ยเดือนละ 10,000 บาท จะต้องทำการผลิตไม่ต่ำกว่า 30 ไร่ การผลิตในเนื้อที่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และยังต้องขึ้นกับความไม่แน่นอนอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะราคาผลผลิตที่กำลังต่ำลง

มีข้อสังเกตด้วยว่า สาเหตุที่มันราคาตกต่ำ อาจมาจากการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน (เหมือนการนำเข้าข้าวสาลีที่กระทบต่อผู้ปลูกข้าวโพดในขณะนี้) ซึ่งการนำเข้ามีต้นทุนถูกลงเพราะการลดหย่อนภาษีของอาเซียน ดังสถิติการนำเข้ามันสำปะหลังผ่านด่านพรมแดนอีสานมีมูลค่าสูงขึ้น และมีมูลค่านำเข้าเป็นอันดับหนึ่งเมื่อปีที่ผ่านมา  (ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.chongmekcustoms.com/default.asp?content=contentdetail&id=29515)    

การจ้างงานในภาคเกษตร เมื่อการขายผลผลิตมีปัญหา การผลิตและลงทุนในการผลิตก็ลดลง การจ้างงานในภาคเกษตรจึงลดลง การรับจ้างภาคเกษตรเป็นรายได้ของกลุ่มคนไร้ที่ดิน แม้กระทั่งคนมีที่ดินน้อยที่ขัดสนเงินในครอบครัวก็พึ่งพาการรับจ้าง แต่ที่ผ่านมาการจ้างกรีดยางลดลง การจ้างเกี่ยวข้าวลดลง ในหมู่บ้านที่ปลูกมันสำปะหลังเป็นหลัก การจ้างงานในขั้นตอนต่างๆลดลง แม้กระทั่งผู้รับจ้างให้บริการรถไถใหญ่ รถไถนาเดินตาม รถเกี่ยวข้าว รถบรรทุกมันไปส่งโรงงาน ก็ตกอยู่ในวงจรรายได้หดหายตามๆกัน ดังนั้นไม่ใช่เฉพาะชาวนาจนที่ลำบาก แต่ชาวนารวยหรือผู้ประกอบการอื่นๆในหมู่บ้านก็ย่ำแย่ไปด้วย

การจ้างงานนอกภาคเกษตร เคยเป็นรายได้สำคัญที่เข้ามาในหมู่บ้าน ภาพที่เคยคุ้นชินคือรถปิกอัพบรรทุกชาวบ้านเช้าเย็นไปกลับทำงานในเมือง แต่ช่วงที่ผ่านมางานลดลง ส่วนเงินส่งกลับจากลูกหลานในเมืองก็ลดลง ในสองปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง การส่งออกติดลบ โรงงานทยอยปิดตัว แรงงานจำนวนหนึ่งตกงานต้องกลับบ้าน แรงงานที่ทำงานอยู่พบกับความไม่แน่นอนจากการเลิกจ้าง ต้องประหยัด เก็บเงิน ส่งเงินกลับบ้านน้อยลง ในรายที่ส่งเงินกลับบ้าน พ่อแม่กล้ำกลืนรับเงินด้วยความเป็นห่วงอนาคตของลูกที่กำลังย่ำแย่พอกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่