คือเราแต่ก่อนเป็นคนก่อนข้างแอนตี้ประกันมาก เกลียดเลยก็ว่าได้
จนวันนึงเรามีลูก เราถึงเริ่มเห็นความสำคัญ เพราะเราเองก็ไม่ใช่คนมีเงินมากมายอะไร
แล้วก็จากที่เคยอ่านๆมา ค่าใช้จ่ายเด็กถ้าป่วยราคาค่อยข้างสูง
ถ้าจะให้ต้องไปต่อคิวโรงพยาบาลรัฐก็คงไม่ไหว เพราะก็รู้ๆกันอยู่
อีกอย่างเราต้องทั้งทำงานทั้งเลี้ยงลูกคงไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น
เราเลยตัดสินใจทำ และก็ลังเลอยู่หลายที่มาก ปรึกษาคนไม่ต่ำกว่า10คน
ทั้งถามคนอื่น ฟังมาบ้าง อ่านจากในเว็บบ้าง แล้วเราก็ทำแบบเหมาจ่ายไป
แต่เราก็ไม่ได้เลือกตัวแพงที่สุด แต่เราเลือกตัวที่ดีสำหรับลูกและเราก็มีกำลังที่จะจ่ายไหว
ตกปีละ30,000+ มันก็ค่อยข้างหนัก แต่เราก็ตกลงทำ ตอนนั้นลูกเรา 9 เดือน
แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดคือลูกชายเราติด RSV ตอนนั้นเค้าอายุ 1.2 ปี
เป็นหนักถึงขั้นเสมหะเต็มปอด ต้องใส่เครื่องให้เค้าหายใจได้สะดวกมากขึ้น
เราไม่เป็นอันทำอะไรเลย รวมๆคือลูกเรานอนรพ.อยู่เกือบ10วัน
ค่าใช้จ่ายออกมาร่วม100,000+ มันทำให้เราคิดย้อนกลับไป
ถ้าวันนั้นเรามัวแต่ลังเลใจ วันนี้คงเป็นวันนี้แย่สำหรับเรามากๆ
เราก็เลยอยากจะแค่มาแชร์นะคะ เราไม่รู้หรอกว่าอะไรมันจะเกิดตอนไหน
อะไรที่มันป้องกันได้ทำเถอะค่ะ อย่ามัวแต่เสียดายเงิน เพราะถ้าวันนั้นมาถึง
เงินที่ต้องจ่ายให้รพ.มันจะมากกว่าที่จ่ายประกันหลายเท่าเลย
อีกอย่างในความโชคดีของเราคือ คนอื่นอาจจะเกลียดประกันเพราะตัวแทน
แต่เราเจอตัวแทนที่ดีมาก คือลูกเราเข้ารพ.เป็นอาทิต คุณเคยเห็นตัวแทนที่ไหนมาแทบทุกวันไม๊
นี่แหละคือความประทับใจที่เราเจอ มันเหมือนใจแลกใจ เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไร
เราก็แค่เจออะไรดีๆมา แล้วอยากบอกต่อกัน ไม่ต่างจากการแบ่งปันน้ำใจนะคะ
ถ้าอยากรู้ว่าเราทำแบบไหน ทำที่ไหน หลังไมค์มาได้
อย่างน้อยก็ได้เก็บไว้เป็นหนึ่งตัวเลือกค่ะ
และอีกอย่างถ้าใครอยากเจอน้องตัวแทนดีๆคนที่เราพูดถึง
เราจะแนำนะให้ได้ ก็ถือว่าได้ช่วยกันไป เค้าได้ทำงานของเค้า
เราได้การคุ้มครองที่ดี แลกกันไปค่ะ
จริงๆเรื่องนี้ผ่านมาจะสองเดือนได้แล้ว สุดท้ายเราก็ตัดสินใจมาแชร์
เพราะเราคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่เจอกับตัวไม่รู้จริงๆค่ะ อาจจะเตือนสติใครหลายๆคนได้นะคะ
จากคนเป็นแม่อยากแชร์ประสบการณ์ จากคนเกลียดประกัน ที่มาเห็นคุณค่าว่ามันจำเป็น
จนวันนึงเรามีลูก เราถึงเริ่มเห็นความสำคัญ เพราะเราเองก็ไม่ใช่คนมีเงินมากมายอะไร
แล้วก็จากที่เคยอ่านๆมา ค่าใช้จ่ายเด็กถ้าป่วยราคาค่อยข้างสูง
ถ้าจะให้ต้องไปต่อคิวโรงพยาบาลรัฐก็คงไม่ไหว เพราะก็รู้ๆกันอยู่
อีกอย่างเราต้องทั้งทำงานทั้งเลี้ยงลูกคงไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น
เราเลยตัดสินใจทำ และก็ลังเลอยู่หลายที่มาก ปรึกษาคนไม่ต่ำกว่า10คน
ทั้งถามคนอื่น ฟังมาบ้าง อ่านจากในเว็บบ้าง แล้วเราก็ทำแบบเหมาจ่ายไป
แต่เราก็ไม่ได้เลือกตัวแพงที่สุด แต่เราเลือกตัวที่ดีสำหรับลูกและเราก็มีกำลังที่จะจ่ายไหว
ตกปีละ30,000+ มันก็ค่อยข้างหนัก แต่เราก็ตกลงทำ ตอนนั้นลูกเรา 9 เดือน
แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดคือลูกชายเราติด RSV ตอนนั้นเค้าอายุ 1.2 ปี
เป็นหนักถึงขั้นเสมหะเต็มปอด ต้องใส่เครื่องให้เค้าหายใจได้สะดวกมากขึ้น
เราไม่เป็นอันทำอะไรเลย รวมๆคือลูกเรานอนรพ.อยู่เกือบ10วัน
ค่าใช้จ่ายออกมาร่วม100,000+ มันทำให้เราคิดย้อนกลับไป
ถ้าวันนั้นเรามัวแต่ลังเลใจ วันนี้คงเป็นวันนี้แย่สำหรับเรามากๆ
เราก็เลยอยากจะแค่มาแชร์นะคะ เราไม่รู้หรอกว่าอะไรมันจะเกิดตอนไหน
อะไรที่มันป้องกันได้ทำเถอะค่ะ อย่ามัวแต่เสียดายเงิน เพราะถ้าวันนั้นมาถึง
เงินที่ต้องจ่ายให้รพ.มันจะมากกว่าที่จ่ายประกันหลายเท่าเลย
อีกอย่างในความโชคดีของเราคือ คนอื่นอาจจะเกลียดประกันเพราะตัวแทน
แต่เราเจอตัวแทนที่ดีมาก คือลูกเราเข้ารพ.เป็นอาทิต คุณเคยเห็นตัวแทนที่ไหนมาแทบทุกวันไม๊
นี่แหละคือความประทับใจที่เราเจอ มันเหมือนใจแลกใจ เราไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไร
เราก็แค่เจออะไรดีๆมา แล้วอยากบอกต่อกัน ไม่ต่างจากการแบ่งปันน้ำใจนะคะ
ถ้าอยากรู้ว่าเราทำแบบไหน ทำที่ไหน หลังไมค์มาได้
อย่างน้อยก็ได้เก็บไว้เป็นหนึ่งตัวเลือกค่ะ
และอีกอย่างถ้าใครอยากเจอน้องตัวแทนดีๆคนที่เราพูดถึง
เราจะแนำนะให้ได้ ก็ถือว่าได้ช่วยกันไป เค้าได้ทำงานของเค้า
เราได้การคุ้มครองที่ดี แลกกันไปค่ะ
จริงๆเรื่องนี้ผ่านมาจะสองเดือนได้แล้ว สุดท้ายเราก็ตัดสินใจมาแชร์
เพราะเราคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่เจอกับตัวไม่รู้จริงๆค่ะ อาจจะเตือนสติใครหลายๆคนได้นะคะ