เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้ก็เหมือนกับครั้งอื่นๆครับ
เอาความอยากไปเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการรวมกลุ่มของพวกเราเลยไม่ยากเท่าไหร่
แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ จำนวนวันที่ค่อนข้างสั้น เพราะโดยทั่วไป Bromo - Ijen จะเป็น 5 วัน 4 คืน กันซะมากกว่า
ทำให้การวางแผนในแต่ละวันต้องค่อนข้างแม่นยำจริงๆ
รวบรวมสมัครพรรคพวกกันได้ 7 คน ครับ ติดต่อ ทัวร์ไป 3 เจ้า คือ Tommy , Arif, Pink
Arif ตอบมาเร็วที่สุด ครับ รองลงมา เป็น Tommy และ Pink ตามลำดับ
ส่วนเรื่องราคานั้น Arif ให้ราคาดีที่สุดสำหรับ 7 คนครับ
Day 1 DMK-KUL-SUB
ด้วยความงกของพวกเรา ทำให้เลือกไฟลท์ที่ถูกที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงโปรก็ตาม ทำให้ต้องออกเดินทางจาก DMK ด้วยไฟลท์เช้าสุด
และไป เปลี่ยนเครื่องที่ KUL ในไฟลท์เย็นสุด เพื่อไปถึง SUB
ขาไปแอบขำเล็กน้อย เพราะเดินทางไป KUL พร้อมกับคณะน้องๆนักเรียน ป.5-6 จากโรงเรียนแห่งหนึ่ง จำนวนกว่า 30 คน
อะไรจะเกิดขึ้นล่ะครับ น้องๆคุยกันตลอดเวลา ตั้งแต่ DMK จนถึง KUL ผมนั้นรอดตัว เพราะนั่งอยู่ด้านหน้าเครื่อง เพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม
นั่งด้านหลังกับน้องๆ นอนไม่ได้เลยครับ ก็ได้แต่ทำใจกันไปทำอะไรไม่ได้
เดินทางถึง KUL ในช่วงสายๆ มีเวลาเกือบ 5 ชั่วโมงก่อนจะจับเที่ยวบินต่อไปเพื่อไป SUB ทำให้เราวางแผนกันออกไปเที่ยวตัวเมือง KL ครับ
หาที่ฝากกระเป๋าและกำลังจะเดินทางออกจากสนามบิน เรื่องราวสุดระทึกก็เริ่มขึ้น เมื่อผมได้รับข้อความจาก Arif ว่า Bromo ปิดห้ามขึ้นเนื่องจากภูเขาไฟ
เริ่มปะทุ และสัญญาณตรวจจับซักอย่างหายไป...... ทั้งกลุ่มเริ่มระส่ำระสายครับ แต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะมาถึงนี่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็อด
คิดไม่ได้ว่า ทำไม Arif ไม่แจ้งเราล่วงหน้าก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องพวกนี้ ไม่น่ารู้กะทันหันขนาดนี้.....
เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงนั้นไม่มากเลย เพราะ นั่งรถไปกลับระหว่างสนามบินกับตัวเมือง ก็ชั่วโมงกว่าๆแล้ว เป้าหมายเราคือไปดูตึก Petronas ซึ่งต้องนั่งรถไฟฟ้าต่อออกไปอีก จึงทำให้ นอกจากกินข้าวเที่ยงในตัวเมือง KUL แล้ว เราไปได้แค่ดูตึกแฝด Petronas ตอนบ่ายกว่าๆ ซึ่งร้อนมากครับ
ร้อนเกินจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้
เสร็จจากการทรมานตัวเองกลางแดดที่ตึก Petronas ก็เดินทางกลับมาที่สนามบินครับ เช็คอินทุกอย่างเรียบร้อย เข้าไปนั่งรอในเกทเพื่อเตรียมเดินทางไปยัง SUB ครับ
เรื่องตลกเรื่องที่สองคือ รอบนี้ เจอกับกลุ่มนักเรียนไทยประมาณเกือบ 20 คน ครับ จะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ SUB ครับ..... แน่นอนว่า ตลอดทางก็คุยกันจ้อกแจ้กเหมือนเดิม......
สีุ่ท่มกว่าๆตามเวลา อินโดนีเซียซึ่งตรงกับบ้านเรา ก็มาถึงสนามบิน SUB ครับ Arif ส่งข้อความมาบอกว่า ตัวเค้าป่วยมาดูแลพวกเราไม่ได้ ส่งไกด์อีกคนนึงมาชื่อ Willy ครับ..... พวกเราคิดกันว่า Arif เอง คงไม่กล้ามาเจอแน่นอน เพราะหลายครั้งที่โทรไปหลังจากมีปัญหา เป็นผู้หญิงรับสาย และเป็นคนคุยกับพวกเราตลอด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ เดินออกมา นึกว่าตัวเองเป็นซุปตาร์ มีคนออหน้าสนามบินเยอะมาก มองไปมองมา เห็นคนถือป้ายชื่อคณะเรา เข้าไปคุยได้ความว่าเป็นไกด์ของเรานี่ล่ะ เค้าพาไปขึ้นรถตู้ ขนาดเท่ารถตู้บ้านเรา เลยทำให้นั่งกันได้ค่อนข้างสบาย
ก่อนออกเดินทางเราบอกกับ Willy ว่าหิวข้าวมาก พาแวะกินข้าวก่อน Willy แวะกินข้าวข้างทางให้ ความสะอาดไม่ต้องพูดถึงให้ลืมมันไปก่อน ตัวเราเคยมาอินโดแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไร พี่ในทริปคนนึง ถึงกับกินอะไรไม่ลง...... lol ....
Day 2 Bromo - Madakaripura Waterfall - Kawah Ijen
หลังจากที่กินข้าวระหว่างทางเสร็จ พวกเราก็เดินทางมาโบรโม่ครับ ...... ไม่ผิดครับ พวกเราเลือกมาโบรโม่ก่อน เพราะถ้าไป Ijen คืนนี้เลย เราจะไปดูอะไรไม่ทัน ทำให้เสียเวลาฟรีๆไป 1 วัน ด้วยวันที่จำกัด ทำให้เราเลือก ที่จะนอนกันบนรถ รถขับมาเรื่อยๆจากสนามบิน มาถึงหมู่บ้านตรงโบรโม่ตอน ตี2กว่าๆ เกือบ ตี3 มีเวลานอนอีกนิดหน่อย
ตี 3 รถจี๊ปมารับเราขึ้นไปยังจุดชมวิว Pananjakan2 รถจี๊ปวิ่งไปได้สัก 40 นาที โดยประมาณ ก็มาถึงจุดที่ต้องเดิน ทางเดินเป็นเนินเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ยากเย็นอะไรครับ ใครจะเดินก็เดิน ใครจะขี่ม้าก็ขี่ แต่ขี่ไปได้นิดเดียวก็ต้องเดินอยู่ดี ดังนั้นไม่ต้องไปขี่หรอก ม้าตัวเล็กน่าสงสารมาก ชาวบ้านจะพาม้าเดินมาตื้อๆเราตลอด ก็อย่าไปสนใจ
เดินมาสักพักถึงจุดชมวิว คนยังไม่เยอะมากครับ จับจองพื้นที่กันตามสบาย บริเวณศาลา แต่ถ้าใครอยากได้วิวดีกว่านั้น เดินขึ้นไปข้างบนอีกประมาณ10นาที จะมีลานกว้างๆ ชมวิวจากมุมสูงได้เหมือนกัน แต่ถ้ายังไม่พอใจ ขึ้นไปจุดที่เรียกว่า kingkong hilll ก็ได้ครับ ส่วนตัวผมไม่ได้ขึ้นไป
ช่วงที่ไป เต็มไปด้วยความโชคไม่ดี นอกจากโบรโม่จะปะทุแล้ว สภาพอากาศก็ไม่เป็นใจ มีเมฆเป็นก้อนๆ และไม่มีหมอกเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นภาพในฝันที่เคยเห็นมา จึงหายไปกับสายลมและแสงแดด ได้แต่ภาพตามด้านล่างมาแทน
และด้วยความที่ เราไม่สามารถลงไปด้านล่างและปีนขึ้นปล่องโบรโม่ได้ ทำให้เราอ้อยอิ่งที่จุดชมวิวได้ค่อนข้างนาน
เราลงมากันตอน7โมงกว่าๆแล้ว กลับมายังจุดจอดรถ แวะทานอาหารเช้า และเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวที่อัดอั้นมานาน
เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังน้ำตก Madakaripura
2 ชั่วโมงต่อมา เราก็มาถึง Madakaripura น้ำตกที่ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์แก๊งค์แฟนฉันเข้าไปอีกเกือบ 15 นาที ลงจากรถตู้ปุ๊บ
จะมีชาวบ้านมาขายเสื้อกันฝน บางคนเตรียมมาแล้ว ผมไม่ได้เตรียมมา เลยซื้อตรงนั้น ไม่แพงเท่าไหร่พอรับได้
ประวัติน้ำตกลองหาอ่านในกูเกิ้ลดู ได้ความว่า เจ้าอะไรซักอย่างเข้ามาพบ แล้วไปปฎิบัติธรรมแล้วหายไปเลย จนบัดนี้ยังไม่พบ
ก่อนเข้าน้ำตก เค้าให้ใส่เสื้อกันฝน เพราะเราจะต้องเดินผ่านตัวน้ำตกเพื่อเข้าไปข้างใน น้ำตกใหญ่และสวยมาก จนทำให้ผมถอดเสื้อกันฝน
ออกและเล่นน้ำตก จึงเป็นคนเดียวที่เปียกโชกไปทั้งตัว
หลังจากเล่นน้ำตก(อยู่คนเดียว)เสร็จ รีบกลับมาทีรถ และรีบเดินทางต่อไปยัง Ijen ซึ่งใช้เวลาอีกกว่า 5 ชั่วโมง นั่งรถหลับแล้วหลับอีก ตื่นแล้วตื่นอีก
ก็ไม่ถึงซักที หันไปดูท้องฟ้า ก็มืดลงอย่างรวดเร็ว สี่โมงกว่า ท้องฟ้ามือดมากแล้ว และพวกเราก็มาถึงที่พัก Arabica Home Stay
พอมาถึงฟ้ามืดมาก เหมือน 3 ทุ่มเลย ทั้งๆที่เพิ่งจะ 6 โมงกว่า ทำให้แผนที่วางเอาไว้ว่า จะมาถ่ายแสงเย็นที่นี่เป็นอันพับไป
อาบน้ำเสร็จ ออกมากินข้าวที่เป็นบุฟเฟต์(แต่เติมไม่ได้....งง) เข้าห้องนอนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง ห้องที่ผมพักค่อนข้างโอเค แต่เพื่อนอีกกลุ่มนึงได้ห้องสภาพแย่มาก
Day 3 - Kawah Ijen - Balawan Waterfall - Bromo
ตี 1 ทุกคนก็ตื่นนอน ออกมากินอาหารว่างเป็นน้ำชาโง่ๆ เพื่อให้ร่างกายพร้อมกับการเดินทางในคืนนี้ ตี2 กว่าๆ รถตู้ก็พามาถึงทางขึ้น Kawah Ijen เราเริ่มเดินกันตอนเกือบจะตี 3 แล้ว ด้วยความที่พวกเราทั้งกลุ่มเป็นนักเดินกันอยู่แล้ว ทำให้ไม่มีใครมีปัญหากับเส้นทางเท่าใดนัก ตอนแรกทุกคนใส่เสื้อกันหนาวอย่างดี สักพักเริ่มร้อนมาก ถอดเสื้อกันหนาวเดินกันทุกคน ทางเดินไม่ชันมาก(สำหรับพวกผม) จัดว่าเดินง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เดินไปสักพักในความมืด ก็จะเป็นทางที่ต้องไต่ลงด้วยความระมัดระวังเพราะเป็นก้อนหิน และมีป้ายเตือนให้ใส่หน้ากากกันแก๊ส เดินต่อลงมาอีกสัก 10 นาที ก็ถึงจุดชม Blue Flame จุดแรก จะเห็น อยู่ไกลๆ
ไม่พอใจ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ
และใกล้ๆเข้าไปอีก
ดู Blue Flame จนตี5กว่าๆ พระอาทิตย์เริ่มขึ้นทำให้เรามองไม่เห็นBlue Flame อีกต่อไป แต่เบื้องหน้าคือ ทะเลสาบกำมะถันสีฟ้าอมเขียว
ทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่มีความเป็นกรดมากที่สุดในโลก ชาวบ้านเชื่อว่า น้ำในทะเลสาบสามารถรักษาโรคผิวหนังได้
พอชมทะเลสาบจนหนำอกหนำใจ ก็เดินกลับ ระหว่างทางเริ่มเห็นวิวทิวทัศน์แปลกหูแปลกตา จนตั้งคำถามกับตัวเองว่า
นี่เราอยู่บนโลกจริงๆหรอ
ตอนขากลับเราจะได้พบกับชาวเหมืองซึ่งทำงานกับเหมือนกำมะถันแห่งนี้จริงๆ โดยการสะกัดเอาก้อนกำมะถันจากด้านล่างง และหาบขึ้นมาด้านบน
ซึ่งบางคนก็เลือกที่จะเอาก้อนกำมะถันมาทำเป็นของที่ระลึกขายกันตรงนั้น
ระหว่างทางเดินลงเขา วิวสองข้างทางทำให้ลืมหายใจกันเลยทีเดียวเชียว
ตอนเดินลงพอฟ้าสว่างก็เห็นอะไรๆมากมาย มีคนที่เดินทางเพื่อมาดูทะเลสาบอย่างเดียวก็จะมาช่วงสายๆ และถ้า
ใครเดินไม่ไหว ก็มีบริการเข็นแบบนี้ให้ด้วย
พอเสร็จจาก Kawah Ijen สถานที่ต่อไปไม่ไกลกันนักก็คือน้ำตก Balawan คาดว่าเป็นน้ำตกที่เป็นน้ำร้อน
เพราะใกล้ๆกันนั้นมีธารน้ำร้อนอยู่ด้วย
เสร็จจากน้ำตก จึงกลับไปยังที่พัก เพื่อไปอาบน้ำเก็บของและกินอาหารเช้า(สาย) กันต่อไป
โปรแกรมทัวร์ควรจะจบแค่ตรงนี้ แต่เรามีเวลาเหลืออีก 1 วันซึ่งปกติ จะเข้าไปนอนกันในตัวเมือง
SUB แต่เราต่อรองกับ Arif ว่าจะขอกลับไปนอนที่ Bromo ได้ไหม เพราะอยากได้บรรยากาศยามเย็น
และค่ำที่ Bromo ..... Arif เองไม่ว่าอะไร ทำให้เราได้กลับไปนอนกันที่ Bromo อีกหนึ่งคืน
เราจึงต้องใช้เวลาอีกทั้งวันอยู่บนรถตู้
ทำใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก และได้แสงเย็นที่ Bromo เพราะฟ้ามืดเร็วเหลือเกิน ที่ร้ายไปกว่านั้น
วันที่เรากลับไป Bromo ฝนตกลงมาอีก ถึงแม้จะไม่หนัก แต่ก็ทำให้ฟ้าปิดสนิท
Willy พาเราแวะกินไก่สะเต๊ะ เจ้าอร่อยก่อนถึง ที่พักบริเวณ Bromo
อย่างที่คาดเอาไว้ ไปถึงแล้ว ฟ้าปิดสนิทมองไม่เห็นอะไร แต่ Willy ได้นัดกับพวกเราว่า ถ้าคืนนี้ฟ้าเปิด จะไปดูทางช้างเผือกกัน
Day 4 Bromo - SUB -KUL - DMK
ทำให้พวกผมตืนกันทุกชั่วโมง แต่ฟ้าก็ปิดสนิท เมฆหนามาก และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย ทำให้คืนนั้นก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกันมา
6 โมงครึ่งเราต้องออกเดินทางจาก Bromo เพื่อให้ไปถึงสนามบินตอน 10 โมง สำหรับ ไฟลท์เที่ยงที่จะกลับไป KUL
6 โมง ผมเลยออกมาเก็บภาพสุดท้ายของ Bromo สำหรับทริปนี้
พวกเรามาถึงสนามบินตอน 9 โมงกว่าๆ เกือบสิบโมง ทำให้ไม่ต้องรีบร้อนอะไร พอเที่ยงกว่าๆ ก็ขึ้นเครื่องเดินทางกลับไปยัง KUL
ต่อ คห.1
[CR] อินโดนีเซียที่รัก ตอน Bromo - Ijen 4 วัน 3 คืน
เอาความอยากไปเป็นที่ตั้ง ดังนั้นการรวมกลุ่มของพวกเราเลยไม่ยากเท่าไหร่
แต่สิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ จำนวนวันที่ค่อนข้างสั้น เพราะโดยทั่วไป Bromo - Ijen จะเป็น 5 วัน 4 คืน กันซะมากกว่า
ทำให้การวางแผนในแต่ละวันต้องค่อนข้างแม่นยำจริงๆ
รวบรวมสมัครพรรคพวกกันได้ 7 คน ครับ ติดต่อ ทัวร์ไป 3 เจ้า คือ Tommy , Arif, Pink
Arif ตอบมาเร็วที่สุด ครับ รองลงมา เป็น Tommy และ Pink ตามลำดับ
ส่วนเรื่องราคานั้น Arif ให้ราคาดีที่สุดสำหรับ 7 คนครับ
Day 1 DMK-KUL-SUB
ด้วยความงกของพวกเรา ทำให้เลือกไฟลท์ที่ถูกที่สุด ถึงแม้จะเป็นช่วงโปรก็ตาม ทำให้ต้องออกเดินทางจาก DMK ด้วยไฟลท์เช้าสุด
และไป เปลี่ยนเครื่องที่ KUL ในไฟลท์เย็นสุด เพื่อไปถึง SUB
ขาไปแอบขำเล็กน้อย เพราะเดินทางไป KUL พร้อมกับคณะน้องๆนักเรียน ป.5-6 จากโรงเรียนแห่งหนึ่ง จำนวนกว่า 30 คน
อะไรจะเกิดขึ้นล่ะครับ น้องๆคุยกันตลอดเวลา ตั้งแต่ DMK จนถึง KUL ผมนั้นรอดตัว เพราะนั่งอยู่ด้านหน้าเครื่อง เพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม
นั่งด้านหลังกับน้องๆ นอนไม่ได้เลยครับ ก็ได้แต่ทำใจกันไปทำอะไรไม่ได้
เดินทางถึง KUL ในช่วงสายๆ มีเวลาเกือบ 5 ชั่วโมงก่อนจะจับเที่ยวบินต่อไปเพื่อไป SUB ทำให้เราวางแผนกันออกไปเที่ยวตัวเมือง KL ครับ
หาที่ฝากกระเป๋าและกำลังจะเดินทางออกจากสนามบิน เรื่องราวสุดระทึกก็เริ่มขึ้น เมื่อผมได้รับข้อความจาก Arif ว่า Bromo ปิดห้ามขึ้นเนื่องจากภูเขาไฟ
เริ่มปะทุ และสัญญาณตรวจจับซักอย่างหายไป...... ทั้งกลุ่มเริ่มระส่ำระสายครับ แต่ก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะมาถึงนี่แล้ว ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็อด
คิดไม่ได้ว่า ทำไม Arif ไม่แจ้งเราล่วงหน้าก่อนหน้านี้ เพราะเรื่องพวกนี้ ไม่น่ารู้กะทันหันขนาดนี้.....
เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงนั้นไม่มากเลย เพราะ นั่งรถไปกลับระหว่างสนามบินกับตัวเมือง ก็ชั่วโมงกว่าๆแล้ว เป้าหมายเราคือไปดูตึก Petronas ซึ่งต้องนั่งรถไฟฟ้าต่อออกไปอีก จึงทำให้ นอกจากกินข้าวเที่ยงในตัวเมือง KUL แล้ว เราไปได้แค่ดูตึกแฝด Petronas ตอนบ่ายกว่าๆ ซึ่งร้อนมากครับ
ร้อนเกินจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้
เสร็จจากการทรมานตัวเองกลางแดดที่ตึก Petronas ก็เดินทางกลับมาที่สนามบินครับ เช็คอินทุกอย่างเรียบร้อย เข้าไปนั่งรอในเกทเพื่อเตรียมเดินทางไปยัง SUB ครับ
เรื่องตลกเรื่องที่สองคือ รอบนี้ เจอกับกลุ่มนักเรียนไทยประมาณเกือบ 20 คน ครับ จะไปเรียนภาษาอังกฤษที่ SUB ครับ..... แน่นอนว่า ตลอดทางก็คุยกันจ้อกแจ้กเหมือนเดิม......
สีุ่ท่มกว่าๆตามเวลา อินโดนีเซียซึ่งตรงกับบ้านเรา ก็มาถึงสนามบิน SUB ครับ Arif ส่งข้อความมาบอกว่า ตัวเค้าป่วยมาดูแลพวกเราไม่ได้ ส่งไกด์อีกคนนึงมาชื่อ Willy ครับ..... พวกเราคิดกันว่า Arif เอง คงไม่กล้ามาเจอแน่นอน เพราะหลายครั้งที่โทรไปหลังจากมีปัญหา เป็นผู้หญิงรับสาย และเป็นคนคุยกับพวกเราตลอด แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ เดินออกมา นึกว่าตัวเองเป็นซุปตาร์ มีคนออหน้าสนามบินเยอะมาก มองไปมองมา เห็นคนถือป้ายชื่อคณะเรา เข้าไปคุยได้ความว่าเป็นไกด์ของเรานี่ล่ะ เค้าพาไปขึ้นรถตู้ ขนาดเท่ารถตู้บ้านเรา เลยทำให้นั่งกันได้ค่อนข้างสบาย
ก่อนออกเดินทางเราบอกกับ Willy ว่าหิวข้าวมาก พาแวะกินข้าวก่อน Willy แวะกินข้าวข้างทางให้ ความสะอาดไม่ต้องพูดถึงให้ลืมมันไปก่อน ตัวเราเคยมาอินโดแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไร พี่ในทริปคนนึง ถึงกับกินอะไรไม่ลง...... lol ....
Day 2 Bromo - Madakaripura Waterfall - Kawah Ijen
หลังจากที่กินข้าวระหว่างทางเสร็จ พวกเราก็เดินทางมาโบรโม่ครับ ...... ไม่ผิดครับ พวกเราเลือกมาโบรโม่ก่อน เพราะถ้าไป Ijen คืนนี้เลย เราจะไปดูอะไรไม่ทัน ทำให้เสียเวลาฟรีๆไป 1 วัน ด้วยวันที่จำกัด ทำให้เราเลือก ที่จะนอนกันบนรถ รถขับมาเรื่อยๆจากสนามบิน มาถึงหมู่บ้านตรงโบรโม่ตอน ตี2กว่าๆ เกือบ ตี3 มีเวลานอนอีกนิดหน่อย
ตี 3 รถจี๊ปมารับเราขึ้นไปยังจุดชมวิว Pananjakan2 รถจี๊ปวิ่งไปได้สัก 40 นาที โดยประมาณ ก็มาถึงจุดที่ต้องเดิน ทางเดินเป็นเนินเขาขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ยากเย็นอะไรครับ ใครจะเดินก็เดิน ใครจะขี่ม้าก็ขี่ แต่ขี่ไปได้นิดเดียวก็ต้องเดินอยู่ดี ดังนั้นไม่ต้องไปขี่หรอก ม้าตัวเล็กน่าสงสารมาก ชาวบ้านจะพาม้าเดินมาตื้อๆเราตลอด ก็อย่าไปสนใจ
เดินมาสักพักถึงจุดชมวิว คนยังไม่เยอะมากครับ จับจองพื้นที่กันตามสบาย บริเวณศาลา แต่ถ้าใครอยากได้วิวดีกว่านั้น เดินขึ้นไปข้างบนอีกประมาณ10นาที จะมีลานกว้างๆ ชมวิวจากมุมสูงได้เหมือนกัน แต่ถ้ายังไม่พอใจ ขึ้นไปจุดที่เรียกว่า kingkong hilll ก็ได้ครับ ส่วนตัวผมไม่ได้ขึ้นไป
ช่วงที่ไป เต็มไปด้วยความโชคไม่ดี นอกจากโบรโม่จะปะทุแล้ว สภาพอากาศก็ไม่เป็นใจ มีเมฆเป็นก้อนๆ และไม่มีหมอกเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นภาพในฝันที่เคยเห็นมา จึงหายไปกับสายลมและแสงแดด ได้แต่ภาพตามด้านล่างมาแทน
และด้วยความที่ เราไม่สามารถลงไปด้านล่างและปีนขึ้นปล่องโบรโม่ได้ ทำให้เราอ้อยอิ่งที่จุดชมวิวได้ค่อนข้างนาน
เราลงมากันตอน7โมงกว่าๆแล้ว กลับมายังจุดจอดรถ แวะทานอาหารเช้า และเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวที่อัดอั้นมานาน
เพื่อเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังน้ำตก Madakaripura
2 ชั่วโมงต่อมา เราก็มาถึง Madakaripura น้ำตกที่ต้องนั่งรถมอเตอร์ไซด์แก๊งค์แฟนฉันเข้าไปอีกเกือบ 15 นาที ลงจากรถตู้ปุ๊บ
จะมีชาวบ้านมาขายเสื้อกันฝน บางคนเตรียมมาแล้ว ผมไม่ได้เตรียมมา เลยซื้อตรงนั้น ไม่แพงเท่าไหร่พอรับได้
ประวัติน้ำตกลองหาอ่านในกูเกิ้ลดู ได้ความว่า เจ้าอะไรซักอย่างเข้ามาพบ แล้วไปปฎิบัติธรรมแล้วหายไปเลย จนบัดนี้ยังไม่พบ
ก่อนเข้าน้ำตก เค้าให้ใส่เสื้อกันฝน เพราะเราจะต้องเดินผ่านตัวน้ำตกเพื่อเข้าไปข้างใน น้ำตกใหญ่และสวยมาก จนทำให้ผมถอดเสื้อกันฝน
ออกและเล่นน้ำตก จึงเป็นคนเดียวที่เปียกโชกไปทั้งตัว
หลังจากเล่นน้ำตก(อยู่คนเดียว)เสร็จ รีบกลับมาทีรถ และรีบเดินทางต่อไปยัง Ijen ซึ่งใช้เวลาอีกกว่า 5 ชั่วโมง นั่งรถหลับแล้วหลับอีก ตื่นแล้วตื่นอีก
ก็ไม่ถึงซักที หันไปดูท้องฟ้า ก็มืดลงอย่างรวดเร็ว สี่โมงกว่า ท้องฟ้ามือดมากแล้ว และพวกเราก็มาถึงที่พัก Arabica Home Stay
พอมาถึงฟ้ามืดมาก เหมือน 3 ทุ่มเลย ทั้งๆที่เพิ่งจะ 6 โมงกว่า ทำให้แผนที่วางเอาไว้ว่า จะมาถ่ายแสงเย็นที่นี่เป็นอันพับไป
อาบน้ำเสร็จ ออกมากินข้าวที่เป็นบุฟเฟต์(แต่เติมไม่ได้....งง) เข้าห้องนอนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทาง ห้องที่ผมพักค่อนข้างโอเค แต่เพื่อนอีกกลุ่มนึงได้ห้องสภาพแย่มาก
Day 3 - Kawah Ijen - Balawan Waterfall - Bromo
ตี 1 ทุกคนก็ตื่นนอน ออกมากินอาหารว่างเป็นน้ำชาโง่ๆ เพื่อให้ร่างกายพร้อมกับการเดินทางในคืนนี้ ตี2 กว่าๆ รถตู้ก็พามาถึงทางขึ้น Kawah Ijen เราเริ่มเดินกันตอนเกือบจะตี 3 แล้ว ด้วยความที่พวกเราทั้งกลุ่มเป็นนักเดินกันอยู่แล้ว ทำให้ไม่มีใครมีปัญหากับเส้นทางเท่าใดนัก ตอนแรกทุกคนใส่เสื้อกันหนาวอย่างดี สักพักเริ่มร้อนมาก ถอดเสื้อกันหนาวเดินกันทุกคน ทางเดินไม่ชันมาก(สำหรับพวกผม) จัดว่าเดินง่ายมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก เดินไปสักพักในความมืด ก็จะเป็นทางที่ต้องไต่ลงด้วยความระมัดระวังเพราะเป็นก้อนหิน และมีป้ายเตือนให้ใส่หน้ากากกันแก๊ส เดินต่อลงมาอีกสัก 10 นาที ก็ถึงจุดชม Blue Flame จุดแรก จะเห็น อยู่ไกลๆ
ไม่พอใจ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ
และใกล้ๆเข้าไปอีก
ดู Blue Flame จนตี5กว่าๆ พระอาทิตย์เริ่มขึ้นทำให้เรามองไม่เห็นBlue Flame อีกต่อไป แต่เบื้องหน้าคือ ทะเลสาบกำมะถันสีฟ้าอมเขียว
ทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่มีความเป็นกรดมากที่สุดในโลก ชาวบ้านเชื่อว่า น้ำในทะเลสาบสามารถรักษาโรคผิวหนังได้
พอชมทะเลสาบจนหนำอกหนำใจ ก็เดินกลับ ระหว่างทางเริ่มเห็นวิวทิวทัศน์แปลกหูแปลกตา จนตั้งคำถามกับตัวเองว่า
นี่เราอยู่บนโลกจริงๆหรอ
ตอนขากลับเราจะได้พบกับชาวเหมืองซึ่งทำงานกับเหมือนกำมะถันแห่งนี้จริงๆ โดยการสะกัดเอาก้อนกำมะถันจากด้านล่างง และหาบขึ้นมาด้านบน
ซึ่งบางคนก็เลือกที่จะเอาก้อนกำมะถันมาทำเป็นของที่ระลึกขายกันตรงนั้น
ระหว่างทางเดินลงเขา วิวสองข้างทางทำให้ลืมหายใจกันเลยทีเดียวเชียว
ตอนเดินลงพอฟ้าสว่างก็เห็นอะไรๆมากมาย มีคนที่เดินทางเพื่อมาดูทะเลสาบอย่างเดียวก็จะมาช่วงสายๆ และถ้า
ใครเดินไม่ไหว ก็มีบริการเข็นแบบนี้ให้ด้วย
พอเสร็จจาก Kawah Ijen สถานที่ต่อไปไม่ไกลกันนักก็คือน้ำตก Balawan คาดว่าเป็นน้ำตกที่เป็นน้ำร้อน
เพราะใกล้ๆกันนั้นมีธารน้ำร้อนอยู่ด้วย
เสร็จจากน้ำตก จึงกลับไปยังที่พัก เพื่อไปอาบน้ำเก็บของและกินอาหารเช้า(สาย) กันต่อไป
โปรแกรมทัวร์ควรจะจบแค่ตรงนี้ แต่เรามีเวลาเหลืออีก 1 วันซึ่งปกติ จะเข้าไปนอนกันในตัวเมือง
SUB แต่เราต่อรองกับ Arif ว่าจะขอกลับไปนอนที่ Bromo ได้ไหม เพราะอยากได้บรรยากาศยามเย็น
และค่ำที่ Bromo ..... Arif เองไม่ว่าอะไร ทำให้เราได้กลับไปนอนกันที่ Bromo อีกหนึ่งคืน
เราจึงต้องใช้เวลาอีกทั้งวันอยู่บนรถตู้
ทำใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก และได้แสงเย็นที่ Bromo เพราะฟ้ามืดเร็วเหลือเกิน ที่ร้ายไปกว่านั้น
วันที่เรากลับไป Bromo ฝนตกลงมาอีก ถึงแม้จะไม่หนัก แต่ก็ทำให้ฟ้าปิดสนิท
Willy พาเราแวะกินไก่สะเต๊ะ เจ้าอร่อยก่อนถึง ที่พักบริเวณ Bromo
อย่างที่คาดเอาไว้ ไปถึงแล้ว ฟ้าปิดสนิทมองไม่เห็นอะไร แต่ Willy ได้นัดกับพวกเราว่า ถ้าคืนนี้ฟ้าเปิด จะไปดูทางช้างเผือกกัน
Day 4 Bromo - SUB -KUL - DMK
ทำให้พวกผมตืนกันทุกชั่วโมง แต่ฟ้าก็ปิดสนิท เมฆหนามาก และไม่มีวี่แววว่าจะดีขึ้นเลย ทำให้คืนนั้นก็ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกันมา
6 โมงครึ่งเราต้องออกเดินทางจาก Bromo เพื่อให้ไปถึงสนามบินตอน 10 โมง สำหรับ ไฟลท์เที่ยงที่จะกลับไป KUL
6 โมง ผมเลยออกมาเก็บภาพสุดท้ายของ Bromo สำหรับทริปนี้
พวกเรามาถึงสนามบินตอน 9 โมงกว่าๆ เกือบสิบโมง ทำให้ไม่ต้องรีบร้อนอะไร พอเที่ยงกว่าๆ ก็ขึ้นเครื่องเดินทางกลับไปยัง KUL
ต่อ คห.1