บทสรุปฟุตบอลลีกไทยทุกรายการก็ออกมาอย่างที่ทุกท่านทราบกันดี ว่าฤดูกาลนี้จบลงแล้ว ยึดอันดับแชมป์และทีมตกชั้นตามคะแนนที่ปรากฏอยู่ ส่วนโควตาต่างๆ ที่ตัดสินไม่ได้ก็ใช้วิธีจับสลาก
โตโยต้า ไทยลีก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ แบงค็อก ยูไนเต็ดรองแชมป์ ทั้งคู่ได้โควตาไปเล่น เอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ ลีก
ช้าง เอฟเอ คัพ 4 ทีม ชลบุรี,ราชบุรี มิตรผล, สุโขทัย และ ชัยนาท ครองแชมป์ร่วม สิทธิ์ 1 ทีมในการไปเล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก จับสลาก 3 ทีมชลบุรี ถอนตัว
4 ทีมดิวิชั่น 2 หนองบัวพิชญ,เกษตรศาสตร์, สุราษฎร์ธานี และ ตราด จับสลากเอา 3 ทีมขึ้นชั้นดิวิชั่น 1แต่เรื่องราวก่อนจะได้ข้อสรุปและหลังได้ข้อสรุปกลับเป็นมหากาพย์ที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการยุติการแข่งขันนอกจากจะเป็นทีมที่เสียประโยชน์จากการถูกตัดสิทธิ์ตกชั้นทันทีทั้งที่ยังแข่งขันไม่จบ ยังมองถึงปัญหา "นักเตะว่างงาน" ซึ่งจากนี้ไปนักเตะจะไม่มีโปรแกรมการแข่งขันไปจนถึงฤดูกาลใหม่ฟุตบอลเหลืออีก 3 นัด แต่สำหรับฟุตซอลได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเพิ่งเล่นเลกสองมาแค่ 2 นัด ยังเหลืออีกถึง 11 นัด หรือร่วมๆ 3 เดือนจึงจะจบฤดูกาล จากนี้ไปนักเตะก็จะไม่ได้รับเงินเดือน
มีการประเมินกันถึงผลกระทบที่จะเกิดกับรายได้ของ "นักฟุตบอลอาชีพ" และผู้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลอาชีพไม่น่าจะน้อยกว่า 1พันคนนั่นเป็นมุมของผู้ที่อยากให้มีการแข่งขันต่อไป
ในมุมของผู้ที่ต้องการยุติการแข่งขันนายกฯ สมาคมฯ ชัดเจนว่าเพื่อเป็นการแสดงความไว้อาลัย ไม่ควรจะมีกิจกรรมใดๆ ในระหว่างนี้
ขณะที่สโมสรที่เห็นด้วยกับการยุติการแข่งขัน นอกจากจะเศร้าโศกเสียใจแล้ว ต้องยอมรับว่าล้วนแล้วแต่เป็นสโมสรที่ได้ประโยชน์จากการยุติการแข่งขัน นั่นคือสถานการณ์อยู่รอดปลอดภัยแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมมองว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิด ใครถูกเป็นเรื่องของมุมมองที่แตกต่าง
ท่านนายกฯ มองในมุมของตำรวจที่เป็นข้าราชบริพารมาตลอดชีวิต แม้รัฐบาลจะประกาศมาให้ฟุตบอลแข่งขันได้ตามปกติ แต่นายกฯ บอกว่าเป็นสิ่งที่ควรสำนึกได้ด้วยตัวเอง
ขณะที่สโมสรมองในมุมว่าเศร้าโศกเสียใจก็จริง แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปอย่างที่ในหลวงเคยตรัสไว้ "เสียใจได้ แต่อย่าละเลยหน้าที่" หรือการที่ฟ้าหญิงอุบลรัตนฯ ทรงตรัสว่า "คนเราต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินถอยหลัง"
จริงๆแล้ว เรื่องราวลักษณะอย่างนี้เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ" ของผู้นำองค์กร อย่างที่บอกว่าไม่มีถูก ไม่มีผิดไปทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำจะวินิจฉัยไปลักษณะไหน
ท่านสมยศ เองก็ควรจะเข้าใจว่าการตัดสินใจใดๆ ก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบในหลายๆ ด้าน ไม่น่าจะไปด่ากราดในไลน์กรุ๊ปของเหล่าสภากรรมการทำนองว่า "ผมซึ้งใจจริงๆ ที่คนวงการฟุตบอลมีแต่เห็นแก่ตัว ผมโชคร้ายที่เข้ามาสู่วงการนี้" หรือจะบอกว่าสโมสรหน้าด้านที่วิ่งขอเป็น 20 ทีม เพราะการหาทางออกเหล่านั้นก็มีพื้นฐานมาจากการตัดสินให้ยุติการแข่งขัน แต่ละสโมสรก็ย่อมจะต้องพูดคุยกันถึงการเยียวยาให้เสียหายน้อยที่สุด
สโมสรเองก็จะไปโทษท่านนายกสมาคม แบบเต็มๆ ไม่ได้เสียทีเดียวครับ ท่านก็ตัดสินใจตามมุมมองของท่าน
ทุกสโมสรก็ต้องยอมรับว่าได้ผู้นำองค์กร ได้นายกมาจากการเลือกของตัวเอง ทุกสโมสรได้มอบอำนาจในการตัดสินใจให้นายกให้สภาฯ ตามระบบแล้ว ทุกการตัดสินของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ชุดนี้ก็คือการตัดสินใจจากสโมสรสมาชิก เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ด้วยเช่นกัน
ปูเป้
http://www.siamsport.co.th/Column/161020_114.html
เลือกมากับมือ
โตโยต้า ไทยลีก เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ แบงค็อก ยูไนเต็ดรองแชมป์ ทั้งคู่ได้โควตาไปเล่น เอเอฟซีแชมเปี้ยนส์ ลีก
ช้าง เอฟเอ คัพ 4 ทีม ชลบุรี,ราชบุรี มิตรผล, สุโขทัย และ ชัยนาท ครองแชมป์ร่วม สิทธิ์ 1 ทีมในการไปเล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก จับสลาก 3 ทีมชลบุรี ถอนตัว
4 ทีมดิวิชั่น 2 หนองบัวพิชญ,เกษตรศาสตร์, สุราษฎร์ธานี และ ตราด จับสลากเอา 3 ทีมขึ้นชั้นดิวิชั่น 1แต่เรื่องราวก่อนจะได้ข้อสรุปและหลังได้ข้อสรุปกลับเป็นมหากาพย์ที่มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการยุติการแข่งขันนอกจากจะเป็นทีมที่เสียประโยชน์จากการถูกตัดสิทธิ์ตกชั้นทันทีทั้งที่ยังแข่งขันไม่จบ ยังมองถึงปัญหา "นักเตะว่างงาน" ซึ่งจากนี้ไปนักเตะจะไม่มีโปรแกรมการแข่งขันไปจนถึงฤดูกาลใหม่ฟุตบอลเหลืออีก 3 นัด แต่สำหรับฟุตซอลได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเพิ่งเล่นเลกสองมาแค่ 2 นัด ยังเหลืออีกถึง 11 นัด หรือร่วมๆ 3 เดือนจึงจะจบฤดูกาล จากนี้ไปนักเตะก็จะไม่ได้รับเงินเดือน
มีการประเมินกันถึงผลกระทบที่จะเกิดกับรายได้ของ "นักฟุตบอลอาชีพ" และผู้เกี่ยวข้องกับฟุตบอลอาชีพไม่น่าจะน้อยกว่า 1พันคนนั่นเป็นมุมของผู้ที่อยากให้มีการแข่งขันต่อไป
ในมุมของผู้ที่ต้องการยุติการแข่งขันนายกฯ สมาคมฯ ชัดเจนว่าเพื่อเป็นการแสดงความไว้อาลัย ไม่ควรจะมีกิจกรรมใดๆ ในระหว่างนี้
ขณะที่สโมสรที่เห็นด้วยกับการยุติการแข่งขัน นอกจากจะเศร้าโศกเสียใจแล้ว ต้องยอมรับว่าล้วนแล้วแต่เป็นสโมสรที่ได้ประโยชน์จากการยุติการแข่งขัน นั่นคือสถานการณ์อยู่รอดปลอดภัยแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมมองว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิด ใครถูกเป็นเรื่องของมุมมองที่แตกต่าง
ท่านนายกฯ มองในมุมของตำรวจที่เป็นข้าราชบริพารมาตลอดชีวิต แม้รัฐบาลจะประกาศมาให้ฟุตบอลแข่งขันได้ตามปกติ แต่นายกฯ บอกว่าเป็นสิ่งที่ควรสำนึกได้ด้วยตัวเอง
ขณะที่สโมสรมองในมุมว่าเศร้าโศกเสียใจก็จริง แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปอย่างที่ในหลวงเคยตรัสไว้ "เสียใจได้ แต่อย่าละเลยหน้าที่" หรือการที่ฟ้าหญิงอุบลรัตนฯ ทรงตรัสว่า "คนเราต้องเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินถอยหลัง"
จริงๆแล้ว เรื่องราวลักษณะอย่างนี้เป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ "ดุลยพินิจ" ของผู้นำองค์กร อย่างที่บอกว่าไม่มีถูก ไม่มีผิดไปทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำจะวินิจฉัยไปลักษณะไหน
ท่านสมยศ เองก็ควรจะเข้าใจว่าการตัดสินใจใดๆ ก็ตาม ย่อมส่งผลกระทบในหลายๆ ด้าน ไม่น่าจะไปด่ากราดในไลน์กรุ๊ปของเหล่าสภากรรมการทำนองว่า "ผมซึ้งใจจริงๆ ที่คนวงการฟุตบอลมีแต่เห็นแก่ตัว ผมโชคร้ายที่เข้ามาสู่วงการนี้" หรือจะบอกว่าสโมสรหน้าด้านที่วิ่งขอเป็น 20 ทีม เพราะการหาทางออกเหล่านั้นก็มีพื้นฐานมาจากการตัดสินให้ยุติการแข่งขัน แต่ละสโมสรก็ย่อมจะต้องพูดคุยกันถึงการเยียวยาให้เสียหายน้อยที่สุด
สโมสรเองก็จะไปโทษท่านนายกสมาคม แบบเต็มๆ ไม่ได้เสียทีเดียวครับ ท่านก็ตัดสินใจตามมุมมองของท่าน
ทุกสโมสรก็ต้องยอมรับว่าได้ผู้นำองค์กร ได้นายกมาจากการเลือกของตัวเอง ทุกสโมสรได้มอบอำนาจในการตัดสินใจให้นายกให้สภาฯ ตามระบบแล้ว ทุกการตัดสินของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ชุดนี้ก็คือการตัดสินใจจากสโมสรสมาชิก เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2559 ด้วยเช่นกัน
ปูเป้
http://www.siamsport.co.th/Column/161020_114.html