ขอขอบคุณรูปภาพจาก Travelmarvel ครับ
เรามาทำความรู้จักกับ Tasmania กันซักนิด ก่อนจะไปดูเราเที่ยว คืองี้ เกาะแห่งนี้เป็นรัฐหนึ่งของประเทศ Australia อยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่น่าจะราวๆ 250 กิโลเมตร มีประชากรราว 400,000กว่าคน เมืองหลวงชื่อ Hobart และเมืองที่มีประชากรเยอะอีกเมืองคือ Launceston Tasmania ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ คือถ้าอยากหาสถานที่ซักที่ทีมีครบหมด ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา น้ำตก ทะเล ทะเลสาป ป่าไม้ แม่น้ำ ลำธาร บ้านเมือง เกาะ Tasmania มีให้คุณพบเจอทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ แถมยังสวยทุกอย่างอีกต่างหาก แม้แต่สัตว์แปลกๆก็ยังมีเยอะแยะ โดยเฉพาะสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์เลยนั่นคือ Tasmanian Devil ซึ่งเจอได้แค่ที่นี่เท่านั้น
แรงจูงใจในการเขียนรีวิวนี้ก็เพราะว่า นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมได้เที่ยว Road trip กับแฟน ปกติผมจะเห็นธรรมชาติแบบนี้ได้แค่ในภาพยนต์หรือตามสารคดีของ NG ซึ่งการเที่ยวครั้งเนี้ย มันโครตเปิดโลกทัศน์ของผมเลย แล้วมันประทับใจยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก และบางครั้งการจะมานั่งเล่าให้ฟังมันคงพูดให้เข้าใจได้ไม่หมด ที่รู้ว่าไม่หมดก็เพราะว่าไปนั่งโม้ให้เพื่อนฟังหลายรอบแล้ว (แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจฟังเท่าไหร่ ฮาา) มาครั้งนี้เลยลองเขียนเล่าเรื่องจากภาพให้ดูกันไปเลยดีกว่า
ทริปนี้ผมใช้กล้องลูกรัก Nikon D750 24-120 , Sigma 17-35 , Leica Q (ของลูกพี่) , iPhone 7 เนื่องจากทริปนี้ผมนั่งอยู่บนรถเป็นส่วนใหญ่ภาพอาจจะสื่อได้ไม่ดีพอ ยังไงก็ขออภัยด้วยจ้า
มาดูในส่วนของรายละเอียดค่าใช้จ่ายกันเลยครับ (ถ้าอยากทราบเป็นสกุลไทยลองเปิด Superrich เทียบอัตราดูนะครับ ผมไม่สามารถให้ราคาไทยที่แน่นอนได้ เพราะค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงแทบจะทุกวัน)
ตั๋วเครื่องบิน : เราเดินทางโดยสายการบิน JetStar จาก Sydney ค่าเดินทางราคา ไป-กลับ 189 AUD (จองล่วงหน้า 3 อาทิตย์นะ)
ค่าเช่ารถ : ผมเช่ารถ Hyundai I20 จากบริษัท Europcar จองผ่านเว็บไซต์ Vroomvroomvroom.com.au ได้มา 4 วัน สนน 91 AUD (อีตรงเช่ารถนี่มีจุดพีค เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง)
ค่าที่พัก : คืนแรกผมจองผ่านแอพ Airbnb คืนแรก ผมนอนแถว Barrington เพราะใกล้จุดท่องเที่ยว สนนราคา 67 AUD ต่อคืน
คืนสองผมก็ใช้แอพ Airbnb จองที่พักแถว Howrah ใกล้กับตัวเมือง Hobart สนนราคา 48 AUD ต่อคืน
คืนที่สามผมจองที่พักเป็น Service Apartment ใน Salamanca Market ผ่าน Booking.com ชื่อที่พักชื่อ The Quarry Boutique สนนราคา 209 AUD ต่อคืน (มาเที่ยวทั้งทีขอเต็มที่ซักคืน ประหยัดมาทุกวันแย้วว TT)
ค่าน้ำมัน : 4 วัน เติมไป 170 AUD
ค่าผ่านทางเข้าอุทยานแห่งชาติ มี 2 ที่ ที่ละ 24 AUD ต่อรถ 1 คัน รวมเป็น 48 AUD
นี่ก็คือค่าใช้จ่ายหลักๆ ที่ไม่รวมอาหารการกิน ซึ่งอาหารการกินด้วยสถานะคนรวยอย่างผม แน่นอนว่าต้องสั่งของที่ถูกที่สุดในร้านครับ
ตั๋วเครื่องบิน ไม่รู้จะบอกทำไม เพราะดูยังไงก็คือตั๋วเครื่องบิน
เมื่อมาถึงก็จะเห็นเป็นบริษัทเช่ารถเลยครับ นำ Booking number ไปให้เค้าดูได้เลย
แล้วเนี่ยคือจุดพีค อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นใช่มะ ว่าผมจอง Hyundai I20 รถเล็กๆน่ารักๆ เหมาะกับคู่รักวัยรุ่น แต่ปรากฎว่ารถมันเต็ม! เป็นความผิดพลาดของเค้า เค้าเลยรับผิดชอบ ด้วยการให้เจ้า Renolt คันนี้มาใช้แทน เป็นรถ Sport เปิดประทุนด้วย จ๊าบสุดๆ และที่สำคัญนะ นอกจากเท่ห์แล้วเค้ายังประหยัดน้ำมันโครตๆอีกด้วย
เมื่อรับรถเสร็จ เราก็ไปเที่ยวที่แรกตามแพลนเลย ที่แรกที่เราจะไปคือ Mt.Field National Park ใช้เวลาเดินทางจาก Airport ประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็มาถึง ป่าดิบชื้น แห่งนี้กัน
เราไปดูรูปรวมๆของอุทยานแห่งนี้กันก่อน



Mt.Field เป็นอุทยานแห่งชาติ ที่ผมหาข้อมูลเจอในเว๊ปไซต์ท้องถิ่นแนะนำการท่องเที่ยวของ Tasmania ด้วยความที่อุทยานแห่งนี้เป็นทางผ่านไปที่พักของเราในคืนแรก ผมจึงจัดการวางแผนไปเที่ยวสถานที่แห่งนี้เป็นที่แรกซะเลย
ลักษณะป่าจะเป็น ป่าดิบชื้น ทางเดินเต็มไปด้วยมอสขึ้นตามโคนต้นไม้และทางเดิน มีน้ำตกตามระหว่างทาง และเสียงนกร้อง แกว้กๆ ตลอดทางเดิน
"หนาวมั้ย" เป็นคำถามที่ลูกพี่ถามผมเพราะเห็นผมใส่เสื้อหนาวแบบดูถูกสภาพอากาศของ Tasmania ผมจึงตอบไปว่า "ไม่หนาว อากาศชิว" แต่ที่ไหนได้ โครตหนาวเลยครับ ตอบเอาเท่ห์ไปแบบนั้นแหละ เพราะนางเอาเสื้อ Ultra Lightdownของผมไปใส่ เลยกันลม กันหนาวได้ดีกว่าผมแน่นอน เกรงว่าถ้าตอบว่าหนาว ลูกพี่จะเอาเสื้อมาคืน แล้วลูกพี่จะหนาวแทน (เป็นแง่ะ ได้ใจไปแบบหล่อๆเลย)
บอกเลยนะ ใครจะมาเที่ยวที่นี่โปรดเช็คสภาพอากาศดีๆ ขนาดผมไปตอนพ้นหน้าหนาวมาแล้วนะ ยังหนาวตลอดเวลา
เสื้อโค้ทยาวสไตล์ Liam Gallagher บอกเลยว่าใส่ก็เหมือนไม่ใส่ง่ะ
รูปลูกพี่นั่งเอาไออุ่นจากแดดอ่อน ผมเลยแอบกดไป 1 รูป
เดินมาสักพักจะมีป้ายบอกทางตลอดว่าเราอยากจะไปชมจุดไหน สำหรับพวกเรา เลือกที่จะไปน้ำตก
Russel Falls
ผมไม่ได้พกขาตั้งกล้องไปด้วยครับ ยอมรับเลยเพราะหนัก 555 ก็เลยต้องประยุกต์เอาเองซะเลย เจอขอบระเบียงก็วางซะเลยยย
ผมว่ามอสในป่าแห่งนี้เยอะมาก แทบจะมีทุกที่ ทั้งๆที่อากาศก็ค่อนข้างจะเย็นและแห้ง
รูปนี้เป็นจุดส่องกล้องชมยอดไม้ ชมนกครับ
เดินได้ซักพักเราก็รู้สึกได้ว่า มีน้ำตกลงมาจากบนฟ้า ครับ ฝนตกครับ พวกเราจึงต้องรีบลี้ออกจากอุทยานไปขึ้นรถ เพื่อมุ่งหน้าไปยังที่พัก ที่ไกลออกไปอีก 4 ชั่วโมง เดินออกมาขึ้นรถให้ไว สตาร์ทเครื่องซิ่งออกทันที
ในรูปนี่เป็นระหว่างทางที่ไปที่พักครับ ให้ดูหมอก เพราะหมอกหนามาก บางจุดขับต่อไม่ได้เลยทีเดียว
ขอต่อ part 2 นะฮ้าบบบ
[CR] เมื่อเด็กล้างจานเมืองนอกเกิดอยากท่องโลกกว้าง เมื่อ จุดมุ่งหมายคือ Tasmania
สวัสดีคร้าบบบบบบบ ทุกท่านนนนน
นี่เป็นกระทู้แรกของผมกับพันทิพ เป็นการเล่าเรื่องถึงประสบการณ์ของผม ซึ่งได้โอกาสไปทำงานและเรียนที่ Sydney ประเทศ Australia บางท่านอาจสงสัยว่าผมเดินทางไปทำงานอะไร ขอบอกว่า งานของผมเป็นงานที่ใกล้ชิดกับน้ำและมีดค่อนข้างมาก น่าจะพอรู้กันบ้างแล้วใช้มั้ยครับ ใช่ครับ ผมเป็น Kitchen hand ในร้านอาหาร ซึ่งหน้าที่หลักๆของผม ก็ไม่มีอะไรมาก นั่นคือ การล้างจาน และ การหั่นผัก แต่อย่าคิดว่างานจะสบายนะ ลองคิดดูวันๆหนึ่ง ร้านมีลูกค้าเป็นร้อย จานทุกใบต้องผ่านมือผมหมด แล้วลูกค้าออซซี่เปลี่ยนจานทุกใบ เมื่อมีการเปลี่ยนชนิดอาหารนะครับ เช่น ลูกค้าทานออเดิร์ฟเสร็จ เค้าจะต้องเปลี่ยนจานยกเซ็ต เพื่อรออาหารจานต่อไปมา จึงทำให้มีจานค่อนข้างมากถึงมากที่สุด ใน 1 วันผมต้องล้างจานเป็นพันใบ และจะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง รวมไปถึงการหั่นผัก ที่ต้องมีวิธีหั่นเฉพาะของแต่ละชนิด ฟังดูอาจจะไม่ยาก แต่! ทุกอย่างต้องใช้ความว่องไวและรอบคอบเป็นอย่างมากครับ ทุกๆอย่างมันจึงเป็นการฝึกฝนผมไปในตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า ความอดทน
ไม่อยากให้คิดว่าการมาอยู่ต่างประเทศแล้วจะมีชีวิตที่ดี ถ้าหากคิดแบบนั้น ก็อาจจะมีข้อถูกอยู่บ้าง บ้านเมืองเค้าอาจจะพัฒนาแล้ว สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยและปลอดภัย อากาศเย็นสบาย ไม่มีเหงื่อตก แต่ถ้าได้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองคนเดียวในต่างแดน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นออสเตรเลียก็ได้ เชื่อเถอะครับว่า ลำบากและเหนื่อยเหมือนกันหมดทุกคน ที่สำคัญที่สุดคือ ความคิดถึงบ้าน
จุดเริ่มเรื่องมันมาจากผมได้ดูรายการโทรทัศน์ของทางช่องเคเบิลของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเค้ากำลังมีการโปรโมตสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ผมเห็นแวบแรก เป็นรูปท่าเรือที่จอดควบคู่ไปกับเมืองเล็กๆที่แลดูจะสงบ ผมไม่ได้สนใจอะไร มองผ่านๆ แล้วหันไปทำกิจกรรมต่อไป
แวบสอง เป็นรูปทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่มพร้อมด้วยท้องฟ้าสีฟ้าสดใสกว้างใหญ่ไพศาล ใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา ผมไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน ซึ่งมันสามารถทำให้ผมอึ้งได้ในระดับนึง ด้วยความที่ไม่เคยเจอทุ่งหญ้าที่มีแต่ทุ่งหญ้า ไม่มีอะไรมากีดกันทัศนียภาพ ทุกอย่างคือสีเขียวและสีฟ้า
"ไปก็ไปวะ" คำพูดแวบเข้ามาในหัว ถึงจะเสียดายเงินที่หามา แต่ด้วยความอยากไปมันเอาชนะความเสียดายจนหมดสิ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมก็ถามลูกพี่ผมว่า "ไปกันมั้ยฮะ?" คำตอบคือ "เมิงจองตั๋วเลย" ตามนั้นจ้า
สถานที่นี้มีภูมิศาสตร์เป็นเกาะ ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียใต้สุด เกาะแห่งนี้หลายคนคงเคยได้ยินชื่อ แต่บางคนอาจไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามันตั้งอยู่ที่ไหน มารู้จักมันกันเลยดีกว่าาาาาาา
คืนสองผมก็ใช้แอพ Airbnb จองที่พักแถว Howrah ใกล้กับตัวเมือง Hobart สนนราคา 48 AUD ต่อคืน
คืนที่สามผมจองที่พักเป็น Service Apartment ใน Salamanca Market ผ่าน Booking.com ชื่อที่พักชื่อ The Quarry Boutique สนนราคา 209 AUD ต่อคืน (มาเที่ยวทั้งทีขอเต็มที่ซักคืน ประหยัดมาทุกวันแย้วว TT)
ลักษณะป่าจะเป็น ป่าดิบชื้น ทางเดินเต็มไปด้วยมอสขึ้นตามโคนต้นไม้และทางเดิน มีน้ำตกตามระหว่างทาง และเสียงนกร้อง แกว้กๆ ตลอดทางเดิน
บอกเลยนะ ใครจะมาเที่ยวที่นี่โปรดเช็คสภาพอากาศดีๆ ขนาดผมไปตอนพ้นหน้าหนาวมาแล้วนะ ยังหนาวตลอดเวลา
ขอต่อ part 2 นะฮ้าบบบ