ตามหัวข้อเลยค่ะ ถ้าเราละเลยคนคนหนึ่งที่เป็นเหมือนแฟน แต่วันนี้เรารู้ว่าเขาคุยกับผู้ชายคนนึงที่เป็นเพื่อนเก่าจะทำไงดี???
>>>Part 1
คือเราเป็นผู้หญิง คบกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าคนนึง คบกันแบบไม่มีสถานะ เป็นเวลากว่า 10 ปีละ
มันเริ่มจากที่ เรารู้จักเขาตั้งแต่เราอยู่ ม.ปลาย เขาทำงานแล้ว เราได้เจอกันบ่อย แทบทุกวัน เพราะเขาทำงานในโรงเรียน เราเข้าไปทำความรู้จักหรือเรียกว่าจีบนั่นล่ะ ด้วยความที่สถานภาพมันไม่เอื้ออำนวยด้วยอายุ ด้วยเพศ ด้วยความเหมาะสม ก็เลยได้แต่ทำดีด้วย ทุกๆอย่างที่ทำได้อ่ะ และระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคหลายอย่าง คือเขาสนิทกับคนอื่นมากกว่า เขามีเพื่อน มีสังคมมากมาย และที่สำคัญคือ เราแอบสืบได้ว่า มีเพื่อนสมัยมัธยม "น่าจะ" พยายามจีบเขาอยู่...!!! เราพยายามจีบเขาอยู่เป็นปีๆ แล้วก็เริ่มสนิทกันขึ้นมาบ้างทีละนิด เมื่อเรามีโอกาสได้จับโทรศัพท์ของเขาอย่างจริงจัง (สมัยนั้นเป็นโนเกียขาวดำอยู่เลย) จึงแอบดูข้อความ ดูประวัติการโทร และพบว่า ผู้ชาย คนนั้นจะส่งข้อความมาทุกเทศกาล ไม้เว้นแม้กระทั่งตรุษจีน!!! ละมักจะลงท้ายแนวๆว่า....ไม่อาจเอื้อม...ไรงี้ และมักจะโทรเข้าตอนค่ำๆ แต่ไม่ได้มีการรับสาย หรือนานๆจะรับสักที แผนชั่วร้ายจึงเกิดขึ้น!!! เราจัดการโอนสายกรณี "ปิดเครื่อง/ไม่มีผู้รับ" มาที่เบอร์เรา เราจึงรู้ว่าเขาโทรมาค่อนข้างบ่อย แต่นานๆจะรับสักครั้ง (เพราะเราไปแอบเช็คย้อนหลังว่ารับโทรศัพท์ใครบ้าง) เราระแวง ผู้ชายคนนี้มาตลอด เพราะกลัวว่าเราจะไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก
---ปีแรก เราอดทนทุกอย่าง ต้องใช้คำว่าอดทนนะ เพราะเขาไม่ได้ชอบเรา และอาจไม่มีวันชอบด้วย คือต้องอธิบายว่า...เขาเป็นผู้หญิงจริง ๆ ชอบผู้ชายอบอุ่น (อันนี้เขาเคยบอก) เขาเคยอกหักจริงจังมาก แล้วก็ไม่ได้คบกับใครอีกเลย (อันนี้สืบมาเอง) เขาไม่ชอบคุยโทรศัพท์ แต่เราไม่กล้าคุยต่อหน้า ด้วยความที่เราซื่อหรือโง่ไม่แน่ใจ เราไม่รู้หรอกว่าเขารำคาญ...เราพยายามโทรหาเขา อาทิตย์ละไม่เกิน 3 วัน แต่เขาก็รับบ้างไม่รับบ้าง มารู้ตอนหลังเพราะเขาเล่าให้ฟังว่า วันไหนเขาไม่อยากรับก็เอาโทรศัพท์ไปทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้า ช่วงนั้นเราดราม่าบ่อยมาก เพราะบางทีเขาก็ดีด้วย บางทีเขาก็หายไป
สรุป ปีแรกแค่คุยโทรศัพท์ ไปไหนมาไหนเล็กน้อย เพราะสมัยนั้นเรามีมอไซค์ เรารักเขามาก เขาคือศูนย์กลางจักรวาลของเรา...คำนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
---ปีที่สอง เราโทรหาเขาบ่อยขึ้น ได้ช่วยงาน ได้อยู่ใกล้ๆ ได้ไปไหน (ใกล้ๆ) ด้วยกันมากขึ้น เรารู้สึกว่าเขาเองก็รู้สึกดีกับเรา เราเคยถามว่าเขารักเราไหม เขาตอบว่า "รัก" แต่เราไม่เคยรู้ความหมายของเขาเลยว่ารักแบบไหน รักยังไง หรือเป็นแฟนกันรึเปล่า แต่แฟนนี่คงยาก เพราะอย่างที่บอก...สถานภาพไม่เอื้ออำนวย!!! ช่วงนี้เรารู้สึกได้ว่า...เราอยากชัดเจน อยากได้สถานะ แต่...ถามทีไรเป็นอันจบข่าวลงเอยด้วยการเลิกคุยโทรศัพท์ในวันนั้น
ช่วงที่คุยกันเยอะขึ้น อาทิตย์ละ 4-5 วัน เราซื้อซิมคู่ "ซิมของเรา" มาใช้ เป็นเบอร์โทรหากันฟรีตลอด 24 ช.ม. เขาก็ยอมใช้ ช่วงแรกๆ เราโทรเข้าเบอร์หลัก แล้วเขาจะเปลี่ยนเป็นซิมคู่ ตอนหลังเขาคงเบื่อ เลยไปซื้อมือถืออีกเครื่อง และเมื่อคุยกันนานขึ้น เขาก็บ่นร้อนที่หู เราเลยซื้อหูฟังให้ แต่ตามบ้านนอกหาของแท้ยาก ได้แต่ของเทียบ ใช้ๆไปเสียงแทรกดังก๊อกแก๊กตลอด เขาก็บ่นว่าเลิกคุย น่ารำคาญ!!! จนเราต้องไปหาซื้อหูฟังของแท้มาให้จนได้ (ไม่นานมานี้...เขารื้อสมบัติเก่าๆ ยังเจอหูฟังอยู่ 4-5 อันเห็นจะได้) ตอนนั้นเขาจะเหวี่ยงใส่เราค่อนข้างมาก เอะอะวางโทรศัพท์ ไม่พอใจไรก็ไม่รับโทรศัพท์ หรือบางทีก็ปิดเครื่องหนีดื้อๆเลย และถ้าโทรแล้วไม่รับ โทรซ้ำเกิน 3 สาย เป็นเรื่อง!!! เขาจะโมโหและไม่อยากคุยด้วย ปีแรกว่าหนักแล้ว...ปีนี้หนักกว่าอ่ะ!!!
เราจำได้ว่าเรา "กอด" เขาครั้งแรก ในห้องทำงานของเขา โดยเราแกล้งอะไรเขาซักอย่าง เขาจับแขนเรา...แล้วเราก็เลยดึงเขามากอด...และคืนนั้น ที่คุยโทรศัพท์กัน เขาบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก...โดยไม่ให้เหตุผลใดๆ เราก็เสียใจตามระเบียบร้องไห้ฟูมฟาย ไม่เข้าใจว่าถ้าเขาไม่รักก็บอกมาเลย เราจะได้ไปให้พ้นๆ...เป็นแบบนี้ อาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า 4 วัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันเว้นวัน...แถมตื่นมาตาบวมไปโรงเรียน!!!
ช่วงที่เราใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นดราม่าหนักมาก!!! เขาบอกจะเลิกคุยโทรศัพท์ละ ด้วยความที่เราเด็กหรือวุฒิภาวะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน!!! เราเข้าใจว่าเขาจะเลิกคุยกับเรา คือแบบ...เลิกกันไปเลยอ่ะ เราก็ฟูมฟายหนักมาก จากที่เขาตั้งใจจะไม่คุย ก็ยอมใจอ่อนคุยด้วย และกลายเป็นคุยกันไปแทบทุกวัน เราจะโทรตรงเวลา คือ 2 ทุ่มครึ่ง เราก็อ่านหนังสือ ทำการบ้านไป คุยไป หรือถ้าไม่คุย ก็ถือสายไว้แบบนั้น จนบางที เขาก็หลับไป เรารู้แค่ว่า ได้ยินเสียงหายใจของเขาก็ยังดี...
ในที่สุดเราก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยที่เขาพาเราไปสอบ พาไปสัมภาษณ์ทุกครั้ง ตอนนั้นทุกคนก็เข้าใจว่าเราสนิทกัน...แบบน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งจริงๆเขาคงคิดแบบนั้น แต่เราอยากเป็นมากกว่านั้นนะ...
ตอนไปสัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ เรานั่งรถเมล์ไปกันแต่เช้ามืด และกลับมาถึงก็มืดค่ำ บ้านเราถึงก่อน ก่อนลง เราจึงอยากขอบคุณเขา เราเอามือป้องหูเขา เหมือนจะกระซิบ แต่ว่าก็เนียน... "หอมแก้ม" เขา ครั้งแรกแบบเนียน ๆ บนรถนั่นล่ะ เขาก็ไม่ได้บ่นอะไร เพราะบนรถมีคนอื่นๆด้วย ถ้าอยู่กันสองคนคงโดนตบไปล่ะ!!!
เราสอบติดที่แรก ในกรุงเทพฯ เขาก็พาไปดูหอพัก ตอนนั้นเราคิดแล้ว...ถ้าเรามาเรียนที่นี่ เราต้องตายแน่ๆ เราไม่อยากไปไกลจากเขา แล้วถ้าให้เจอกันอาทิตย์ละครั้ง คงทำใจไม่ได้...เราเลยคิดว่าจะสละสิทธิ์ที่นี่ แล้วไปเรียนราชภัฎใกล้บ้าน เพื่อไปกลับทุกวันดีกว่า...แต่โชคก็เข้าข้างเรา เราสอบติดมหาวิทยาในนครปฐม ก็เลยเลือกที่นี่อย่างไม่ต้องลังเล...
วันจบม.ปลาย เขาผูกข้อมือให้เรา และเราก็ "กอดกัน" จริงๆ เป็นครั้งแรก โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็น เราดีใจ และจำวันนั้นได้ดี
---ปีที่ 3 เป็นช่วงที่เราเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงแรกเราอยู่หอพักเพราะมีกิจกรรมรับน้อง เลิกดึก ช่วงนั้น...บางวันก็ไม่ได้คุย เพราะถ้าเกินเวลา เขาก็จะหลับแล้ว เราไปอยู่หอ...เหงานะ พอกลับไปบ้าน ก็แวะหาเขาที่โรงเรียนตอนเย็นวันศุกร์ แต่ยังไม่ทันหายคิดถึงเลย เขาก็กลับบ้านแล้ว พอเช้าวันจันทร์ เราเหมือนเด็กอนุบาลเลย ร้องไห้ไม่อยากไปมหาลัย เราไปแต่เช้า ส่วนเขาก็มาถึงโรงเรียนตอนเราไปถึงมหาลัยแล้ว เป็นอะไรที่พีคมาก...จนเมื่อเลิกรับน้อง เราย้ายของกลับบ้านทันที และไปกลับตลอด จนเรียนจบ
คือเราไม่รู้หรอกว่า เขารักเราไหม บางทีเหนื่อย เราต้องการกำลังใจ เราก็อยากได้ยินคำตอบ แต่เขาก็ไม่เคยตอบอะไรเลย ถามทีไร ก็ทะเลาะกันทุกที ทะเลาะกันโดยที่เราไม่ได้เถียงหรือพูดอะไร เขาเหวี่ยงๆๆๆ แล้วก็วางสาย ไม่คุยกับเรา ช่วงไหนที่เป็นแบบนี้คือลำบากมาก เพราะวันนึงเราจะคุยกันรอบเดียว กลางวันไม่เคยรับโทรศัพท์เลย นอกจากมีธุระแล้วเขาจะโทรหาเรา...
---ปีที่ 4-7 ตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาก็ยังเป็นศูนย์กลางจักวาลของเรา ไม่ว่าจะมีเวลามากน้อยแค่ไหน เราก็จะกลับมาหาเขา ไม่เคยไปเที่ยว ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางไปไหนเลย เรียนเสร็จนั่งรถกลับมาหาเขาที่โรงเรียนตลอด...
แต่ว่า...ตอนเรียน เราเห็นเพื่อนเราที่เป็นแบบเรา เห็นเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตน บอกเลยว่า...อยากมีแบบนั้นมาก แต่โดยส่วนตัว เราไม่ชอบคนอายุใกล้กัน เคยลองพยายามมองคนอื่นหลายครั้ง แต่ด้วยความที่มีหน้าตาเป็นอาวุธ!!!! เลยไม่มีใครเอาไง!!! แล้วเราก็ไม่อยากจะไปเริ่มต้นกับใครใหม่...มันเหนื่อย เพราะที่ผ่านมา...ก็เหนื่อยนะ เอาจริง ๆ คือ...เราก็ไม่ใช่เทวดา ไอ้เรื่องวอกแวก...มันต้องมี และความสันดานแท้จริงมันเลยออกไง...เราแอบชอบเพื่อนเขา!!! เพื่อนเขาน่ารัก พูดจาไพเราะอ่อนหวานมาก...มากกว่าเขา เราก็เลยเป็นปลื้ม...ต้องออกตัวก่อนว่า...ก่อนที่เราจะมาชอบเขา เรารู้จักกับเพื่อนเขาก่อน และสนิทกันมาก่อน แต่ด้วยความที่เพื่อนเขามีแฟนแล้ว เราก็เลยห่าง ๆ กันไป เราก็เก็บเพื่อนเขาไว้ในใจ เอาไว้เป็นกำลังใจเสริม...และต้องอธิบายอีกอย่างคือ ตลอดเวลาที่เราคุยกันมา เราใช้คำว่า คุยกัน,สนิทกัน เราไม่เคยกล้าใช้คำว่า "คบกัน" เพราะเขาไม่ได้ให้ความหมายของความสัมพันธ์ว่าเป็นแบบคบกัน (อันนี้เราสรุปเอง) แล้วเราก็อยู่กับสถานะ "ล่องหน" นี้มาโดยตลอด หึงไม่ได้ หวงไม่ได้ ถามมากไม่ได้ อะไรที่เขาอยากให้รู้ เขาจะบอกเอง จะมาเจอกันเมื่อไหร่ ตอนไหน ถึงเวลาก็โทรมาบอกเอง ไม่เคยได้ถาม ไม่เคยได้มีโอกาสกำหนดอะไรทั้งนั้น
แต่เพราะ "รัก" คำเดียว เพราะเขาคือ "จักรวาล" ของเรา อะไรก็ทนได้...ทุกอย่างคือ...เจ็บและชินไปเอง คืนไหนเศร้า ตื่นขึ้นมาต้องหายเอง เขาไม่เคยง้อ ไม่มีอะไรที่เป็นลักษณะของแฟนเลยสักนิดเดียว...
เราเชื่อว่า...หลายๆคน ถ้าเจอความล่องหนแบบนี้ คงถอดใจไปนานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไม เรายังอยู่ เราไม่ไปไหน...เคยมี 2 ครั้ง ช่วงปิดเทอม เขาต้องไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม คือไม่ได้อยู่ห้องส่วนตัว คุยโทรศัพท์กลางคืนไม่ได้...กลางวันก็ไม่รู้จะว่างตอนไหน... เราทำหน้าที่ รอ...รออย่างไม่รู้ชะตากรรม กลางคืนที่เคยคุยกันก่อนนอน...มันหายไป เราเคว้งมาก...แทบจะต้องซัดยานอนหลับให้มันผ่านแต่ละคืนไปให้ได้ ทรมานอยู่ 2 ครั้ง ครั้งนึง 10 วัน อีกครั้งนึง 28 วัน!!! นี่ล่ะ...เจ็บและชินไปเอง
ช่วงนี้...เราเหนื่อย...เหนื่อยมาก ที่ต้องวิ่งตาม เราวิ่งตามมาหลายปีแล้วอ่ะ ได้แต่ถามตัวเองว่า เมื่อไหร่จะหยุดวะ!!! แต่พระเจ้าก็ประธานพร...เขาพาเราเข้าบ้าน พาเราไปนอนค้างที่บ้าน...คือคิดฟุ้งซ่านวางแผนมากมาย!!! แต่พอไปจริงๆ ความรักโลกสวยค่ะ... ได้นอนเตียงเดียวกัน แต่ห่างประมาณ 3 กิโลเมตรได้ ถ้าขยับไปใกล้เมื่อไหร่...มีถีบ!!! แต่ถีบก็ไม่น่ากลัวเท่ากับ...เหวี่ยงวีนแบบจริงจังมาก พร้อมยื่นคำขาดว่า ถ้าขยับไปใกล้อีก...ต่อไปนี้ไม่ต้องมา...!!! คือก็ไม่เข้าใจว่าจะอะไรขนาดนั้น...ไอ้เรื่องที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ ถ้าไม่โฟกัส...ก็เข้าใจแล้ว แต่ไม่ต้องถึงกับหงุดหงิดอารมณ์เสียขนาดนี้ก็ได้ จึงนำมาสู่ประเด็นดราม่า...เราก็คิดไปว่า ที่แสดงท่าทางรังเกียจขนาดนี้คืออะไร...เอาจริงๆ นะ คนเรา...ถ้ารักกันมานานขนาดนี้...ไม่ต้องมีเรื่องที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจน่ะ ข้อนี้รับได้ แต่ถึงขั้นนอนกอดไม่ได้นี่เริ่มไม่ใช่แระ!!! ตามระเบียบเดิม...เจ็บและชินไปเอง หลัง ๆ เราก็ปล่อยตามสบาย...อยากนอน นอนไปเลยจ้าาา เราก็ใช้วิธีง่ายๆ...ด้วยความที่มโนเก่ง..."นอนเตียงเดียวกัน ฉันจะฝันถึงเธอ" แล้วกอดหมอนข้างต่อไปค่ะ!!!
โอกาสที่จะไปค้างที่บ้านก็ไม่บ่อยนะ ใน 5 ปีที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย...ไม่ถึง 10 ครั้งนะ แล้วเป็นแบบนี้ทุกครั้ง...ฟิน (ไม่ไหว)!!!
ตอนเรียนเทอมสุดท้ายใกล้จบนี่...ดีหน่อย เรามีเวลาว่างตรงกัน 1 วัน ก็เลยได้นั่งรถไปเที่ยวไหนด้วยกันเกือบทุกอาทิตย์ ก็เลยทำให้ความสัมพันธ์ในช่วงนี้ดีเป็นพิเศษ แต่ไม่มีความสุขใดที่อยู่กับเรานานหรอกนะ
ถ้าเราละเลยคนคนหนึ่งที่เป็นเหมือนแฟน แต่วันนี้เรารู้ว่าเขาคุยกับผู้ชายคนนึงที่เป็นเพื่อนเก่าจะทำไงดี???
>>>Part 1
คือเราเป็นผู้หญิง คบกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าคนนึง คบกันแบบไม่มีสถานะ เป็นเวลากว่า 10 ปีละ
มันเริ่มจากที่ เรารู้จักเขาตั้งแต่เราอยู่ ม.ปลาย เขาทำงานแล้ว เราได้เจอกันบ่อย แทบทุกวัน เพราะเขาทำงานในโรงเรียน เราเข้าไปทำความรู้จักหรือเรียกว่าจีบนั่นล่ะ ด้วยความที่สถานภาพมันไม่เอื้ออำนวยด้วยอายุ ด้วยเพศ ด้วยความเหมาะสม ก็เลยได้แต่ทำดีด้วย ทุกๆอย่างที่ทำได้อ่ะ และระหว่างนั้นก็มีอุปสรรคหลายอย่าง คือเขาสนิทกับคนอื่นมากกว่า เขามีเพื่อน มีสังคมมากมาย และที่สำคัญคือ เราแอบสืบได้ว่า มีเพื่อนสมัยมัธยม "น่าจะ" พยายามจีบเขาอยู่...!!! เราพยายามจีบเขาอยู่เป็นปีๆ แล้วก็เริ่มสนิทกันขึ้นมาบ้างทีละนิด เมื่อเรามีโอกาสได้จับโทรศัพท์ของเขาอย่างจริงจัง (สมัยนั้นเป็นโนเกียขาวดำอยู่เลย) จึงแอบดูข้อความ ดูประวัติการโทร และพบว่า ผู้ชาย คนนั้นจะส่งข้อความมาทุกเทศกาล ไม้เว้นแม้กระทั่งตรุษจีน!!! ละมักจะลงท้ายแนวๆว่า....ไม่อาจเอื้อม...ไรงี้ และมักจะโทรเข้าตอนค่ำๆ แต่ไม่ได้มีการรับสาย หรือนานๆจะรับสักที แผนชั่วร้ายจึงเกิดขึ้น!!! เราจัดการโอนสายกรณี "ปิดเครื่อง/ไม่มีผู้รับ" มาที่เบอร์เรา เราจึงรู้ว่าเขาโทรมาค่อนข้างบ่อย แต่นานๆจะรับสักครั้ง (เพราะเราไปแอบเช็คย้อนหลังว่ารับโทรศัพท์ใครบ้าง) เราระแวง ผู้ชายคนนี้มาตลอด เพราะกลัวว่าเราจะไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก
---ปีแรก เราอดทนทุกอย่าง ต้องใช้คำว่าอดทนนะ เพราะเขาไม่ได้ชอบเรา และอาจไม่มีวันชอบด้วย คือต้องอธิบายว่า...เขาเป็นผู้หญิงจริง ๆ ชอบผู้ชายอบอุ่น (อันนี้เขาเคยบอก) เขาเคยอกหักจริงจังมาก แล้วก็ไม่ได้คบกับใครอีกเลย (อันนี้สืบมาเอง) เขาไม่ชอบคุยโทรศัพท์ แต่เราไม่กล้าคุยต่อหน้า ด้วยความที่เราซื่อหรือโง่ไม่แน่ใจ เราไม่รู้หรอกว่าเขารำคาญ...เราพยายามโทรหาเขา อาทิตย์ละไม่เกิน 3 วัน แต่เขาก็รับบ้างไม่รับบ้าง มารู้ตอนหลังเพราะเขาเล่าให้ฟังว่า วันไหนเขาไม่อยากรับก็เอาโทรศัพท์ไปทิ้งไว้ในตู้เสื้อผ้า ช่วงนั้นเราดราม่าบ่อยมาก เพราะบางทีเขาก็ดีด้วย บางทีเขาก็หายไป
สรุป ปีแรกแค่คุยโทรศัพท์ ไปไหนมาไหนเล็กน้อย เพราะสมัยนั้นเรามีมอไซค์ เรารักเขามาก เขาคือศูนย์กลางจักรวาลของเรา...คำนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก
---ปีที่สอง เราโทรหาเขาบ่อยขึ้น ได้ช่วยงาน ได้อยู่ใกล้ๆ ได้ไปไหน (ใกล้ๆ) ด้วยกันมากขึ้น เรารู้สึกว่าเขาเองก็รู้สึกดีกับเรา เราเคยถามว่าเขารักเราไหม เขาตอบว่า "รัก" แต่เราไม่เคยรู้ความหมายของเขาเลยว่ารักแบบไหน รักยังไง หรือเป็นแฟนกันรึเปล่า แต่แฟนนี่คงยาก เพราะอย่างที่บอก...สถานภาพไม่เอื้ออำนวย!!! ช่วงนี้เรารู้สึกได้ว่า...เราอยากชัดเจน อยากได้สถานะ แต่...ถามทีไรเป็นอันจบข่าวลงเอยด้วยการเลิกคุยโทรศัพท์ในวันนั้น
ช่วงที่คุยกันเยอะขึ้น อาทิตย์ละ 4-5 วัน เราซื้อซิมคู่ "ซิมของเรา" มาใช้ เป็นเบอร์โทรหากันฟรีตลอด 24 ช.ม. เขาก็ยอมใช้ ช่วงแรกๆ เราโทรเข้าเบอร์หลัก แล้วเขาจะเปลี่ยนเป็นซิมคู่ ตอนหลังเขาคงเบื่อ เลยไปซื้อมือถืออีกเครื่อง และเมื่อคุยกันนานขึ้น เขาก็บ่นร้อนที่หู เราเลยซื้อหูฟังให้ แต่ตามบ้านนอกหาของแท้ยาก ได้แต่ของเทียบ ใช้ๆไปเสียงแทรกดังก๊อกแก๊กตลอด เขาก็บ่นว่าเลิกคุย น่ารำคาญ!!! จนเราต้องไปหาซื้อหูฟังของแท้มาให้จนได้ (ไม่นานมานี้...เขารื้อสมบัติเก่าๆ ยังเจอหูฟังอยู่ 4-5 อันเห็นจะได้) ตอนนั้นเขาจะเหวี่ยงใส่เราค่อนข้างมาก เอะอะวางโทรศัพท์ ไม่พอใจไรก็ไม่รับโทรศัพท์ หรือบางทีก็ปิดเครื่องหนีดื้อๆเลย และถ้าโทรแล้วไม่รับ โทรซ้ำเกิน 3 สาย เป็นเรื่อง!!! เขาจะโมโหและไม่อยากคุยด้วย ปีแรกว่าหนักแล้ว...ปีนี้หนักกว่าอ่ะ!!!
เราจำได้ว่าเรา "กอด" เขาครั้งแรก ในห้องทำงานของเขา โดยเราแกล้งอะไรเขาซักอย่าง เขาจับแขนเรา...แล้วเราก็เลยดึงเขามากอด...และคืนนั้น ที่คุยโทรศัพท์กัน เขาบอกว่าอย่าทำแบบนี้อีก...โดยไม่ให้เหตุผลใดๆ เราก็เสียใจตามระเบียบร้องไห้ฟูมฟาย ไม่เข้าใจว่าถ้าเขาไม่รักก็บอกมาเลย เราจะได้ไปให้พ้นๆ...เป็นแบบนี้ อาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า 4 วัน แทบจะเรียกได้ว่าเป็นกิจวัตรประจำวันเว้นวัน...แถมตื่นมาตาบวมไปโรงเรียน!!!
ช่วงที่เราใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงนั้นดราม่าหนักมาก!!! เขาบอกจะเลิกคุยโทรศัพท์ละ ด้วยความที่เราเด็กหรือวุฒิภาวะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน!!! เราเข้าใจว่าเขาจะเลิกคุยกับเรา คือแบบ...เลิกกันไปเลยอ่ะ เราก็ฟูมฟายหนักมาก จากที่เขาตั้งใจจะไม่คุย ก็ยอมใจอ่อนคุยด้วย และกลายเป็นคุยกันไปแทบทุกวัน เราจะโทรตรงเวลา คือ 2 ทุ่มครึ่ง เราก็อ่านหนังสือ ทำการบ้านไป คุยไป หรือถ้าไม่คุย ก็ถือสายไว้แบบนั้น จนบางที เขาก็หลับไป เรารู้แค่ว่า ได้ยินเสียงหายใจของเขาก็ยังดี...
ในที่สุดเราก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ โดยที่เขาพาเราไปสอบ พาไปสัมภาษณ์ทุกครั้ง ตอนนั้นทุกคนก็เข้าใจว่าเราสนิทกัน...แบบน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งจริงๆเขาคงคิดแบบนั้น แต่เราอยากเป็นมากกว่านั้นนะ...
ตอนไปสัมภาษณ์ที่กรุงเทพฯ เรานั่งรถเมล์ไปกันแต่เช้ามืด และกลับมาถึงก็มืดค่ำ บ้านเราถึงก่อน ก่อนลง เราจึงอยากขอบคุณเขา เราเอามือป้องหูเขา เหมือนจะกระซิบ แต่ว่าก็เนียน... "หอมแก้ม" เขา ครั้งแรกแบบเนียน ๆ บนรถนั่นล่ะ เขาก็ไม่ได้บ่นอะไร เพราะบนรถมีคนอื่นๆด้วย ถ้าอยู่กันสองคนคงโดนตบไปล่ะ!!!
เราสอบติดที่แรก ในกรุงเทพฯ เขาก็พาไปดูหอพัก ตอนนั้นเราคิดแล้ว...ถ้าเรามาเรียนที่นี่ เราต้องตายแน่ๆ เราไม่อยากไปไกลจากเขา แล้วถ้าให้เจอกันอาทิตย์ละครั้ง คงทำใจไม่ได้...เราเลยคิดว่าจะสละสิทธิ์ที่นี่ แล้วไปเรียนราชภัฎใกล้บ้าน เพื่อไปกลับทุกวันดีกว่า...แต่โชคก็เข้าข้างเรา เราสอบติดมหาวิทยาในนครปฐม ก็เลยเลือกที่นี่อย่างไม่ต้องลังเล...
วันจบม.ปลาย เขาผูกข้อมือให้เรา และเราก็ "กอดกัน" จริงๆ เป็นครั้งแรก โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเห็น เราดีใจ และจำวันนั้นได้ดี
---ปีที่ 3 เป็นช่วงที่เราเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงแรกเราอยู่หอพักเพราะมีกิจกรรมรับน้อง เลิกดึก ช่วงนั้น...บางวันก็ไม่ได้คุย เพราะถ้าเกินเวลา เขาก็จะหลับแล้ว เราไปอยู่หอ...เหงานะ พอกลับไปบ้าน ก็แวะหาเขาที่โรงเรียนตอนเย็นวันศุกร์ แต่ยังไม่ทันหายคิดถึงเลย เขาก็กลับบ้านแล้ว พอเช้าวันจันทร์ เราเหมือนเด็กอนุบาลเลย ร้องไห้ไม่อยากไปมหาลัย เราไปแต่เช้า ส่วนเขาก็มาถึงโรงเรียนตอนเราไปถึงมหาลัยแล้ว เป็นอะไรที่พีคมาก...จนเมื่อเลิกรับน้อง เราย้ายของกลับบ้านทันที และไปกลับตลอด จนเรียนจบ
คือเราไม่รู้หรอกว่า เขารักเราไหม บางทีเหนื่อย เราต้องการกำลังใจ เราก็อยากได้ยินคำตอบ แต่เขาก็ไม่เคยตอบอะไรเลย ถามทีไร ก็ทะเลาะกันทุกที ทะเลาะกันโดยที่เราไม่ได้เถียงหรือพูดอะไร เขาเหวี่ยงๆๆๆ แล้วก็วางสาย ไม่คุยกับเรา ช่วงไหนที่เป็นแบบนี้คือลำบากมาก เพราะวันนึงเราจะคุยกันรอบเดียว กลางวันไม่เคยรับโทรศัพท์เลย นอกจากมีธุระแล้วเขาจะโทรหาเรา...
---ปีที่ 4-7 ตลอดเวลาที่เรียนมหาวิทยาลัย เขาก็ยังเป็นศูนย์กลางจักวาลของเรา ไม่ว่าจะมีเวลามากน้อยแค่ไหน เราก็จะกลับมาหาเขา ไม่เคยไปเที่ยว ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางไปไหนเลย เรียนเสร็จนั่งรถกลับมาหาเขาที่โรงเรียนตลอด...
แต่ว่า...ตอนเรียน เราเห็นเพื่อนเราที่เป็นแบบเรา เห็นเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตน บอกเลยว่า...อยากมีแบบนั้นมาก แต่โดยส่วนตัว เราไม่ชอบคนอายุใกล้กัน เคยลองพยายามมองคนอื่นหลายครั้ง แต่ด้วยความที่มีหน้าตาเป็นอาวุธ!!!! เลยไม่มีใครเอาไง!!! แล้วเราก็ไม่อยากจะไปเริ่มต้นกับใครใหม่...มันเหนื่อย เพราะที่ผ่านมา...ก็เหนื่อยนะ เอาจริง ๆ คือ...เราก็ไม่ใช่เทวดา ไอ้เรื่องวอกแวก...มันต้องมี และความสันดานแท้จริงมันเลยออกไง...เราแอบชอบเพื่อนเขา!!! เพื่อนเขาน่ารัก พูดจาไพเราะอ่อนหวานมาก...มากกว่าเขา เราก็เลยเป็นปลื้ม...ต้องออกตัวก่อนว่า...ก่อนที่เราจะมาชอบเขา เรารู้จักกับเพื่อนเขาก่อน และสนิทกันมาก่อน แต่ด้วยความที่เพื่อนเขามีแฟนแล้ว เราก็เลยห่าง ๆ กันไป เราก็เก็บเพื่อนเขาไว้ในใจ เอาไว้เป็นกำลังใจเสริม...และต้องอธิบายอีกอย่างคือ ตลอดเวลาที่เราคุยกันมา เราใช้คำว่า คุยกัน,สนิทกัน เราไม่เคยกล้าใช้คำว่า "คบกัน" เพราะเขาไม่ได้ให้ความหมายของความสัมพันธ์ว่าเป็นแบบคบกัน (อันนี้เราสรุปเอง) แล้วเราก็อยู่กับสถานะ "ล่องหน" นี้มาโดยตลอด หึงไม่ได้ หวงไม่ได้ ถามมากไม่ได้ อะไรที่เขาอยากให้รู้ เขาจะบอกเอง จะมาเจอกันเมื่อไหร่ ตอนไหน ถึงเวลาก็โทรมาบอกเอง ไม่เคยได้ถาม ไม่เคยได้มีโอกาสกำหนดอะไรทั้งนั้น
แต่เพราะ "รัก" คำเดียว เพราะเขาคือ "จักรวาล" ของเรา อะไรก็ทนได้...ทุกอย่างคือ...เจ็บและชินไปเอง คืนไหนเศร้า ตื่นขึ้นมาต้องหายเอง เขาไม่เคยง้อ ไม่มีอะไรที่เป็นลักษณะของแฟนเลยสักนิดเดียว...
เราเชื่อว่า...หลายๆคน ถ้าเจอความล่องหนแบบนี้ คงถอดใจไปนานแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไม เรายังอยู่ เราไม่ไปไหน...เคยมี 2 ครั้ง ช่วงปิดเทอม เขาต้องไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด แล้วเราก็ไม่ได้คุยกันเหมือนเดิม คือไม่ได้อยู่ห้องส่วนตัว คุยโทรศัพท์กลางคืนไม่ได้...กลางวันก็ไม่รู้จะว่างตอนไหน... เราทำหน้าที่ รอ...รออย่างไม่รู้ชะตากรรม กลางคืนที่เคยคุยกันก่อนนอน...มันหายไป เราเคว้งมาก...แทบจะต้องซัดยานอนหลับให้มันผ่านแต่ละคืนไปให้ได้ ทรมานอยู่ 2 ครั้ง ครั้งนึง 10 วัน อีกครั้งนึง 28 วัน!!! นี่ล่ะ...เจ็บและชินไปเอง
ช่วงนี้...เราเหนื่อย...เหนื่อยมาก ที่ต้องวิ่งตาม เราวิ่งตามมาหลายปีแล้วอ่ะ ได้แต่ถามตัวเองว่า เมื่อไหร่จะหยุดวะ!!! แต่พระเจ้าก็ประธานพร...เขาพาเราเข้าบ้าน พาเราไปนอนค้างที่บ้าน...คือคิดฟุ้งซ่านวางแผนมากมาย!!! แต่พอไปจริงๆ ความรักโลกสวยค่ะ... ได้นอนเตียงเดียวกัน แต่ห่างประมาณ 3 กิโลเมตรได้ ถ้าขยับไปใกล้เมื่อไหร่...มีถีบ!!! แต่ถีบก็ไม่น่ากลัวเท่ากับ...เหวี่ยงวีนแบบจริงจังมาก พร้อมยื่นคำขาดว่า ถ้าขยับไปใกล้อีก...ต่อไปนี้ไม่ต้องมา...!!! คือก็ไม่เข้าใจว่าจะอะไรขนาดนั้น...ไอ้เรื่องที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ ถ้าไม่โฟกัส...ก็เข้าใจแล้ว แต่ไม่ต้องถึงกับหงุดหงิดอารมณ์เสียขนาดนี้ก็ได้ จึงนำมาสู่ประเด็นดราม่า...เราก็คิดไปว่า ที่แสดงท่าทางรังเกียจขนาดนี้คืออะไร...เอาจริงๆ นะ คนเรา...ถ้ารักกันมานานขนาดนี้...ไม่ต้องมีเรื่องที่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจน่ะ ข้อนี้รับได้ แต่ถึงขั้นนอนกอดไม่ได้นี่เริ่มไม่ใช่แระ!!! ตามระเบียบเดิม...เจ็บและชินไปเอง หลัง ๆ เราก็ปล่อยตามสบาย...อยากนอน นอนไปเลยจ้าาา เราก็ใช้วิธีง่ายๆ...ด้วยความที่มโนเก่ง..."นอนเตียงเดียวกัน ฉันจะฝันถึงเธอ" แล้วกอดหมอนข้างต่อไปค่ะ!!!
โอกาสที่จะไปค้างที่บ้านก็ไม่บ่อยนะ ใน 5 ปีที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย...ไม่ถึง 10 ครั้งนะ แล้วเป็นแบบนี้ทุกครั้ง...ฟิน (ไม่ไหว)!!!
ตอนเรียนเทอมสุดท้ายใกล้จบนี่...ดีหน่อย เรามีเวลาว่างตรงกัน 1 วัน ก็เลยได้นั่งรถไปเที่ยวไหนด้วยกันเกือบทุกอาทิตย์ ก็เลยทำให้ความสัมพันธ์ในช่วงนี้ดีเป็นพิเศษ แต่ไม่มีความสุขใดที่อยู่กับเรานานหรอกนะ