สวัสดีค่ะ เราเคยตั้งกระทู้นี้ไปแล้วแต่ลืมแท๊กห้องทำนายฝันค่ะ เลยมาขอตั้งกระทู้อีกรอบในห้องนี้
เราไม่ได้แก้ไขแท๊กเพิ่มภายใน 1 ชั่วโมงเลยเพิ่มแท๊กไม่ได้ค่ะ แต่ก็มีความอยากรู้เหมือนกันว่าฝันแบบนี้จะตีความหมายแฝงได้ไหม
เพราะว่าเราเคยฝันว่าตึกถล่มแล้วต่อมาภายไม่นานเราก็ได้งานทำค่ะ เลยคิดว่าความฝันบางครั้งก็อาจเป็นฝันบอกเหตุได้
เราตั้งกระทู้ไว้ที่นี่ค่ะ เนื้อหาเหมือนกัน
http://pantip.com/topic/35772088
มาเข้าเรื่องกันเลยนะคะ...
เราฝันว่าได้ไปทัศนศึกษาในที่แห่งหนึ่งพร้อมกับเพื่อนๆที่มหาลัย คาดว่าน่าจะเป็นแถวภาคเหนือ คณะของเราได้พำนักพักแรมอยู่ที่ตีนเขา ถ้าเดินขึ้นไปด้านบนก็จะเป็นเดินขึ้นเขาซึ่งจะมีชาวดอยอาศัยอยู่ แต่ถ้าเดินมาด้านล่างก็จะเป็นตัวเมืองค่ะ ทางคณะของเราก็เดินทางมาที่ตัวเมืองก่อน โดยก่อนจะถึงตัวเมืองจะมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กอยู่ โดยกลุ่มของเราขอแวะไปเดินดูที่อ่างเก็บน้ำนี้ก่อน พอขึ้นไปด้านบนของอ่างเก็บน้ำแล้วมองลงมาที่ตัวเมืองเห็นวิวสวยมาก พอชื่นชมกับวิวทัวทัศน์กันจนพอใจแล้วจึงเดินลงมาที่ตัวเมืองต่อ
ในตัวเมืองก็จะมีที่ท่องเที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงโบราณสถานและวัฒนธรรมท้องถิ่น มีป้ายบอกทิศทางชัดเจน และมีพิพิธภัณฑ์ของเมืองที่กลุ่มพวกเราเลือกที่จะเข้าไปชมก่อนเป็นอันดับแรก
ภาพตัดมาที่กลุ่มของเราเดินออกมาจากตัวพิพิธภัณฑ์แล้วเดินกลับไปที่พักทันทีเนื่องจากมีเวลาในการเดินเที่ยวจำกัดในวันนี้
แล้วเราก็ตื่น.......(ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ) เป็นช่วงเวลาเกือบเช้ามืด เราคิดว่าเป็นฝันที่ดีมาก เที่ยวฟรีมีที่นี่ค่ะ (ฝัน)
และแน่นอนว่าเราก็หลับต่อ อิอิ...
เราก็ฝันต่อ....ต่อจากเรื่องเดิม คือเรามาทัศนศึกษาทางภาคเหนือ ตอนนี้กำลังเคร่งเครียดกับการเขียนรายงานในเรื่องที่เราไปทัศนศึกษาในเมืองมาเมื่อตอนแรกค่ะ เราทำรายงานเสร็จเรียบร้อยดี แต่ว่ารุ่นน้องคนหนึ่งกำลังมีปัญหาเนื่องจากอาจารย์ไม่ให้ผ่าน เราจึงไปช่วยรุ่นน้องคนนั้นแก้รายงานใหม่จนผ่านกันครบทุกคน และหลังจากนี้ก็คือช่วงเวลาว่างหลังจากคร่ำเคร่งกับการทำรายงาน...ก็คือเวลาพักผ่อน นั่นคือ การไปเที่ยวตามแต่ที่เราอยากไป
กลุ่มของเรามีกัน 4 คน หญิง 3 คน (รวมเราด้วย) และชาย 1 คน อันที่จริงแล้วเราอยากไปเดินชมวิวที่บนดอยมากแต่ว่าจากมติที่ประชุมแล้วตกลงกันว่าจะไปเดินเที่ยวในเมืองด้านล่างกันก่อนค่ะ แน่นอนว่าเราเคยลงไปเที่ยวในเมืองด้านล่างแล้วเราก็ไม่ค่อยอยากจะไปอีกสักเท่าไรนัก แต่ด้วยความที่ว่าเราเคยไปมาแล้วแต่เพื่อนอีกคนยังไม่เคยไปเลย (ฝันนะคะ ฝัน) เราเลยบอกว่าเดี้ยวเราจะนำทางเอง พอเดินลงมาผ่านอ่างเก็บน้ำ เราบอกเพื่อนว่าตรงข้างบนของอ่างเก็บน้ำสามารถเห็นวิวด้านล่าง สวยงามมากๆ เดี้ยวพวกเราค่อยขึ้นมาดูกันนะ จากนั้นพวกเราก็เดินลงไปจนถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์
ก่อนจะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ เพื่อนชายได้แลเห็นศาลแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่ว่าเพื่อนชายเป็นคนค่อนข้างถือเรื่องการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงชวนสามสาวอย่างพวกเราไปกราบไหว้เพื่อความสบายใจตลอดทริปการท่องเที่ยวที่เรากำลังจะเริ่มต้นนี้
พวกเราเข้าไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลนั้น เรามองเห็นเป็นศาลาขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางน้ำเสมือนศาลากลางน้ำ เพื่อนๆกำลังกราบไหว้กันอยู่ พอเราเข้าไปในศาลานั้นเรารู้สึกถึง"รังสี"ที่น่าเกรงขามปนน่ากลัวหน่อยๆแผ่ออกมาจากด้านในของศาลานั้น พอเรานั่งคุกเข่าลง ตาเราเหลือบไปเห็นว่าเป็นศาลของพญานาคที่ปกปักคุ้มครองเมือง แล้วก็มีข้อความแผ่นโลหะที่แกะคำสวดบูชาเอาไว้อยู่ เราก็สวดตาม แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวไม่กล้าเงยหน้าไปมองทางด้านในศาล เพราะเรารู้สึกถึงรังสีนั่นอยู่ตลอดเวลา พอกราบเสร็จพวกเราก็ต้องไปหาซื้อขนมปังสดมาถวายอีก (ตามธรรมเนียมของการไหว้ศาลนั้น) เพื่อนชายเราซีเรียสมากในเรื่องนี้ว่าต้องทำให้ครบทุกขั้นตอนการสักการะ ดังนั้นพวกเราก็เลยเดินไปร้านค้าเพื่อไปหาซื้อขนมปังสด
ในขณะที่เรากำลังจะเดินไปถึงร้านค้า ได้มีเด็กผู้ชายสองคนวิ่งมายังชั้นวางขนมปังที่เหลือเพียงแค่สองถุงเท่านั้น ณ ตอนนั้นบอกเลยว่า "อย่าหยิบไปหมดนะลูก เดี้ยวงานเข้า" แอบนึกในใจ ฮ่าๆๆๆ โชคยังดีที่เด็กๆหยิบไปแค่ถุงเดียว เหลือถุงสุดท้าย เรารีบวิ่งไปหยิบอย่างไว แต่เราไม่เห็นที่จ่ายเงินเลย เราเลยถามเด็กๆว่า จ่ายเงินที่ไหนจ้า เด็กๆบอกว่า หยอดในกระปุกเลยครับ เราก็มองลอดไปในชั้นเห็นกระปุกเงิน เลยหยอดไปสองบาท (ราคาขนมปัง 1.5 บาท) จากนั้นพวกเราก็ลงจากร้านค้าไปยังศาลนั้นเพื่อทำการโยนขนมปังลงน้ำ
เราได้ยื่นถุงขนมปังแจกเพื่อนๆ เราหยิบมาสี่ชิ้น จากนั้นก็เดินไปยังสะพานไม้เพื่อจะทำการโยนขนมปัง เรามองไปยังศาล เราเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีปูนปั้นแกะสลักรูปพญานาคอยู่ข้างๆศาลด้วย เก่าๆแถมเริ่มมีตะไคร่น้ำกับราดำๆขึ้นเกาะแล้ว เราเป็นคนเริ่มโยนขนมปังชิ้นแรกก่อน พอโยนไปปุบ.... เราสังเกตเห็นน้ำกระเพื่อม แล้วจากนั้นจะเห็นเหมือนงูสีดำตัวใหญ่เริ่มว่ายมาใต้มาทางทิศที่เราโยนขนมปังไป เราผงะเลย แต่เราไม่ใช่เป็นคนกลัวงูอะไรมากมาย เราก็โยนขนมปังต่อไป สังเกตได้ว่าพอโยนขนมปังไปทางไหนงูก็ว่ายไปกินขนมปังทางนั้น และเริ่มมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ งูสีดำตัวใหญ่ๆทั้งนั้น แต่เราก็ยังโยนขนมปังต่อไป งูเริ่มว่ายมาจนจะไม่มีพื้นที่เบียดกันแล้ว เรียกว่าเต็มบ่อน้ำกันเลยทีเดียว เลื้อยดำเลื้อยฝุดกันอย่างนั้นจนเรารู้สึกว่ามันมากันมากเกินไปแล้ว แต่ไฉนขนมปังสี่ชิ้นในมือเราถึงยังไม่หมดสักที ฮ่าๆๆๆ โยนไปมากกว่าสี่ชิ้นแล้วนะ แต่ขนมปังไม่หมดไปจากมือ เราและเพื่อนสาวอีกคนเริ่มกลัวและหนีฝูงงูขึ้นไปทางบันไดของศาลพลางโยนขนมปังลงน้ำ แต่รอบนี้โยนขนมปังแรงแค่ไหนมันก็ตกใกล้ๆกับที่ๆเรายืนอยู่ ดังนั้นฝูงงูดำตัวใหญ่บะเฮิ้มจึงมุ่งหน้ามาทางเราแทน ส่วนเพื่อนชายและเพื่อนสาวของเราแยกกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งพลางกรีดร้องกลัวงูไปด้วย ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรพวกเราสองสาวที่ติดอยู่ตรงบันไดศาลได้เลย ขนมปังในมือก็ไม่หมดสักที ในตอนนี้คือสภาพสระน้ำเต็มไปด้วยงูดำตัวใหญ่เต็มสระ เรียกได้ว่าจนล้นขึ้นมาบนผิวน้ำ พวกงูเหล่านั้นเริ่มต้องการขนมปังในมือเราจึงเริ่มตามขึ้นมาจากสะพานมาจนถึงบันได
เพื่อนชายและเพื่อนสาวที่อยู่อีกฝั่งก็ตะโกนว่าให้รีบหนีมาทางนี้ แต่ว่าเราจะหนีไปได้ยังไงในเมื่อบรรดางูมันเลื้อยขวางหน้าบันไดจนไปถึงสะพาน ไม่มีที่ให้เราหนีเลย! และในตอนนั้นเพื่อนๆอีกฝากก็ตะโกนว่า หนีจากตรงนั้นเร็วๆเข้า งูมันออกมาจากศาลแล้ว "เวรกรรม ตูจะหนีไปทางไหนฟะ!" เรานึกในใจ เพื่อนๆอีกฝั่งก็กรีดร้องตกใจ เร็วๆ งูตัวใหญ่มันกำลังจะออกมาแล้ว เร็วๆเข้า! "ตายๆๆๆ ตูจะทำยังไงดีเนี่ย" เรานึก แล้วเราก็หันไปทางศาลซึ่งฝาผนังของตัวศาลกำลังจะแตกและพังออกมาเพราะงูเต็มศาล งูบางตัวก็โผล่ออกมาจากฝาผนังที่ปริออกมาแล้ว เพื่อนๆอีกฝั่งก็ตะโกนให้รีบๆข้ามมา "รีบมาเลย งูดำไม่ทำอันตรายเราหรอก แต่งู.... (ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เหตุการณ์กำลังชุลมุน)" พอเราดูดีๆมันมีงูเผือกโผล่มาด้วยประปราย แวบหนึ่ง เราเห็นหัวงูยักษ์สีดำตัวที่ใหญ่ที่สุดโผล่ออกมา มีหงอนน้อยๆอยู่ตรงจมูก (หงอนน้อยจริงๆถ้าเทียบกับที่เราฝันเห็นพญานาคอื่นๆ) แผ่แม่เบี้ยแบบไม่อลังการมากโผล่ออกมาจากศาล ณ นาทีนั้นคับท่านผู้ชม เราและเพื่อนสาวรีบกระโดดเอามือคว้าฝาผนังศาลที่มันแตกออกมานั่นแหละ รีบไต่หนีงูด้วยความเร็วๆแสง คือด้วยความเร็วแสงจริงๆ แวบเดียวเราสองคนก็กระโดดข้ามสระน้ำหนีพวกงูมาได้
เมื่อหนีรอดมาได้ก็อย่าลีลายืนให้งูมันเลื้อยตาม พวกเรารีบเบี่ยงตัวหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ณ จุดๆนั้น ขณะที่เรากำลังเบี่ยงตัวหนีมาเหมือนเราเห็นเพื่อนๆของเราแปลกไปและวิวทิวทัศน์รวมทั้งบรรยากาศรอบๆมันเปลี่ยนไป จากบรรยากาศในเมืองหน้าพิพิธภัณฑ์กลายเป็นป่าไผ่พื้นดิน ไม่ใช่ปูน! เพื่อนเราเหมือนเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่จากชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปเป็นพันผ้าสไบชีฟองสีชมพูอ่อนๆพาสเทลประกายแววๆเหมือนผ้าผสมกากเพชร (แต่ไม่ได้ห่มสไบเฉียงอ่าค่ะ) รวบผม หุ่นสะโอดสะอง บร๊ะ! แล้วพอเราหันหนีมาครบ 180 องศาแล้วต้องมางงหนักกว่าเดิม เพราะตรงหน้าของเรานั้น ปรากฏกลุ่มของชาวบ้านน่าจะสมัยโบราณที่ผู้ชายผิวเข้ม ล่ำๆ ตันๆ กล้ามมาอกมาซิกแพคมา นุ่งผ้าเหมือนโจงกระเบนสั้นๆอ่าค่ะ บางคนใส่ปกที่เหมือนนักรบอยู่ค่ะ แต่ไม่ใส่เสื้อ พวกเขาหันมามองทางกลุ่มเราตาโตเชียวค่ะ อิอิ ประมาณว่า ตกใจ อินางอินายพวกนี้โผล่มาจากไหน เราก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่มีใครได้ทันปริปากอะไร เราก็ตื่นขึ้นมาค่ะ
จบแล้วค่ะ...ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ^^
ความฝันสยองขวัญเกี่ยวกับงูที่ศาล...
เราไม่ได้แก้ไขแท๊กเพิ่มภายใน 1 ชั่วโมงเลยเพิ่มแท๊กไม่ได้ค่ะ แต่ก็มีความอยากรู้เหมือนกันว่าฝันแบบนี้จะตีความหมายแฝงได้ไหม
เพราะว่าเราเคยฝันว่าตึกถล่มแล้วต่อมาภายไม่นานเราก็ได้งานทำค่ะ เลยคิดว่าความฝันบางครั้งก็อาจเป็นฝันบอกเหตุได้
เราตั้งกระทู้ไว้ที่นี่ค่ะ เนื้อหาเหมือนกัน http://pantip.com/topic/35772088
มาเข้าเรื่องกันเลยนะคะ...
เราฝันว่าได้ไปทัศนศึกษาในที่แห่งหนึ่งพร้อมกับเพื่อนๆที่มหาลัย คาดว่าน่าจะเป็นแถวภาคเหนือ คณะของเราได้พำนักพักแรมอยู่ที่ตีนเขา ถ้าเดินขึ้นไปด้านบนก็จะเป็นเดินขึ้นเขาซึ่งจะมีชาวดอยอาศัยอยู่ แต่ถ้าเดินมาด้านล่างก็จะเป็นตัวเมืองค่ะ ทางคณะของเราก็เดินทางมาที่ตัวเมืองก่อน โดยก่อนจะถึงตัวเมืองจะมีอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กอยู่ โดยกลุ่มของเราขอแวะไปเดินดูที่อ่างเก็บน้ำนี้ก่อน พอขึ้นไปด้านบนของอ่างเก็บน้ำแล้วมองลงมาที่ตัวเมืองเห็นวิวสวยมาก พอชื่นชมกับวิวทัวทัศน์กันจนพอใจแล้วจึงเดินลงมาที่ตัวเมืองต่อ
ในตัวเมืองก็จะมีที่ท่องเที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงโบราณสถานและวัฒนธรรมท้องถิ่น มีป้ายบอกทิศทางชัดเจน และมีพิพิธภัณฑ์ของเมืองที่กลุ่มพวกเราเลือกที่จะเข้าไปชมก่อนเป็นอันดับแรก
ภาพตัดมาที่กลุ่มของเราเดินออกมาจากตัวพิพิธภัณฑ์แล้วเดินกลับไปที่พักทันทีเนื่องจากมีเวลาในการเดินเที่ยวจำกัดในวันนี้
แล้วเราก็ตื่น.......(ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ) เป็นช่วงเวลาเกือบเช้ามืด เราคิดว่าเป็นฝันที่ดีมาก เที่ยวฟรีมีที่นี่ค่ะ (ฝัน)
และแน่นอนว่าเราก็หลับต่อ อิอิ...
เราก็ฝันต่อ....ต่อจากเรื่องเดิม คือเรามาทัศนศึกษาทางภาคเหนือ ตอนนี้กำลังเคร่งเครียดกับการเขียนรายงานในเรื่องที่เราไปทัศนศึกษาในเมืองมาเมื่อตอนแรกค่ะ เราทำรายงานเสร็จเรียบร้อยดี แต่ว่ารุ่นน้องคนหนึ่งกำลังมีปัญหาเนื่องจากอาจารย์ไม่ให้ผ่าน เราจึงไปช่วยรุ่นน้องคนนั้นแก้รายงานใหม่จนผ่านกันครบทุกคน และหลังจากนี้ก็คือช่วงเวลาว่างหลังจากคร่ำเคร่งกับการทำรายงาน...ก็คือเวลาพักผ่อน นั่นคือ การไปเที่ยวตามแต่ที่เราอยากไป
กลุ่มของเรามีกัน 4 คน หญิง 3 คน (รวมเราด้วย) และชาย 1 คน อันที่จริงแล้วเราอยากไปเดินชมวิวที่บนดอยมากแต่ว่าจากมติที่ประชุมแล้วตกลงกันว่าจะไปเดินเที่ยวในเมืองด้านล่างกันก่อนค่ะ แน่นอนว่าเราเคยลงไปเที่ยวในเมืองด้านล่างแล้วเราก็ไม่ค่อยอยากจะไปอีกสักเท่าไรนัก แต่ด้วยความที่ว่าเราเคยไปมาแล้วแต่เพื่อนอีกคนยังไม่เคยไปเลย (ฝันนะคะ ฝัน) เราเลยบอกว่าเดี้ยวเราจะนำทางเอง พอเดินลงมาผ่านอ่างเก็บน้ำ เราบอกเพื่อนว่าตรงข้างบนของอ่างเก็บน้ำสามารถเห็นวิวด้านล่าง สวยงามมากๆ เดี้ยวพวกเราค่อยขึ้นมาดูกันนะ จากนั้นพวกเราก็เดินลงไปจนถึงทางเข้าพิพิธภัณฑ์
ก่อนจะเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ เพื่อนชายได้แลเห็นศาลแห่งหนึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ด้วยความที่ว่าเพื่อนชายเป็นคนค่อนข้างถือเรื่องการเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงชวนสามสาวอย่างพวกเราไปกราบไหว้เพื่อความสบายใจตลอดทริปการท่องเที่ยวที่เรากำลังจะเริ่มต้นนี้
พวกเราเข้าไปกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลนั้น เรามองเห็นเป็นศาลาขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางน้ำเสมือนศาลากลางน้ำ เพื่อนๆกำลังกราบไหว้กันอยู่ พอเราเข้าไปในศาลานั้นเรารู้สึกถึง"รังสี"ที่น่าเกรงขามปนน่ากลัวหน่อยๆแผ่ออกมาจากด้านในของศาลานั้น พอเรานั่งคุกเข่าลง ตาเราเหลือบไปเห็นว่าเป็นศาลของพญานาคที่ปกปักคุ้มครองเมือง แล้วก็มีข้อความแผ่นโลหะที่แกะคำสวดบูชาเอาไว้อยู่ เราก็สวดตาม แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวไม่กล้าเงยหน้าไปมองทางด้านในศาล เพราะเรารู้สึกถึงรังสีนั่นอยู่ตลอดเวลา พอกราบเสร็จพวกเราก็ต้องไปหาซื้อขนมปังสดมาถวายอีก (ตามธรรมเนียมของการไหว้ศาลนั้น) เพื่อนชายเราซีเรียสมากในเรื่องนี้ว่าต้องทำให้ครบทุกขั้นตอนการสักการะ ดังนั้นพวกเราก็เลยเดินไปร้านค้าเพื่อไปหาซื้อขนมปังสด
ในขณะที่เรากำลังจะเดินไปถึงร้านค้า ได้มีเด็กผู้ชายสองคนวิ่งมายังชั้นวางขนมปังที่เหลือเพียงแค่สองถุงเท่านั้น ณ ตอนนั้นบอกเลยว่า "อย่าหยิบไปหมดนะลูก เดี้ยวงานเข้า" แอบนึกในใจ ฮ่าๆๆๆ โชคยังดีที่เด็กๆหยิบไปแค่ถุงเดียว เหลือถุงสุดท้าย เรารีบวิ่งไปหยิบอย่างไว แต่เราไม่เห็นที่จ่ายเงินเลย เราเลยถามเด็กๆว่า จ่ายเงินที่ไหนจ้า เด็กๆบอกว่า หยอดในกระปุกเลยครับ เราก็มองลอดไปในชั้นเห็นกระปุกเงิน เลยหยอดไปสองบาท (ราคาขนมปัง 1.5 บาท) จากนั้นพวกเราก็ลงจากร้านค้าไปยังศาลนั้นเพื่อทำการโยนขนมปังลงน้ำ
เราได้ยื่นถุงขนมปังแจกเพื่อนๆ เราหยิบมาสี่ชิ้น จากนั้นก็เดินไปยังสะพานไม้เพื่อจะทำการโยนขนมปัง เรามองไปยังศาล เราเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีปูนปั้นแกะสลักรูปพญานาคอยู่ข้างๆศาลด้วย เก่าๆแถมเริ่มมีตะไคร่น้ำกับราดำๆขึ้นเกาะแล้ว เราเป็นคนเริ่มโยนขนมปังชิ้นแรกก่อน พอโยนไปปุบ.... เราสังเกตเห็นน้ำกระเพื่อม แล้วจากนั้นจะเห็นเหมือนงูสีดำตัวใหญ่เริ่มว่ายมาใต้มาทางทิศที่เราโยนขนมปังไป เราผงะเลย แต่เราไม่ใช่เป็นคนกลัวงูอะไรมากมาย เราก็โยนขนมปังต่อไป สังเกตได้ว่าพอโยนขนมปังไปทางไหนงูก็ว่ายไปกินขนมปังทางนั้น และเริ่มมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ งูสีดำตัวใหญ่ๆทั้งนั้น แต่เราก็ยังโยนขนมปังต่อไป งูเริ่มว่ายมาจนจะไม่มีพื้นที่เบียดกันแล้ว เรียกว่าเต็มบ่อน้ำกันเลยทีเดียว เลื้อยดำเลื้อยฝุดกันอย่างนั้นจนเรารู้สึกว่ามันมากันมากเกินไปแล้ว แต่ไฉนขนมปังสี่ชิ้นในมือเราถึงยังไม่หมดสักที ฮ่าๆๆๆ โยนไปมากกว่าสี่ชิ้นแล้วนะ แต่ขนมปังไม่หมดไปจากมือ เราและเพื่อนสาวอีกคนเริ่มกลัวและหนีฝูงงูขึ้นไปทางบันไดของศาลพลางโยนขนมปังลงน้ำ แต่รอบนี้โยนขนมปังแรงแค่ไหนมันก็ตกใกล้ๆกับที่ๆเรายืนอยู่ ดังนั้นฝูงงูดำตัวใหญ่บะเฮิ้มจึงมุ่งหน้ามาทางเราแทน ส่วนเพื่อนชายและเพื่อนสาวของเราแยกกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งพลางกรีดร้องกลัวงูไปด้วย ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรพวกเราสองสาวที่ติดอยู่ตรงบันไดศาลได้เลย ขนมปังในมือก็ไม่หมดสักที ในตอนนี้คือสภาพสระน้ำเต็มไปด้วยงูดำตัวใหญ่เต็มสระ เรียกได้ว่าจนล้นขึ้นมาบนผิวน้ำ พวกงูเหล่านั้นเริ่มต้องการขนมปังในมือเราจึงเริ่มตามขึ้นมาจากสะพานมาจนถึงบันได
เพื่อนชายและเพื่อนสาวที่อยู่อีกฝั่งก็ตะโกนว่าให้รีบหนีมาทางนี้ แต่ว่าเราจะหนีไปได้ยังไงในเมื่อบรรดางูมันเลื้อยขวางหน้าบันไดจนไปถึงสะพาน ไม่มีที่ให้เราหนีเลย! และในตอนนั้นเพื่อนๆอีกฝากก็ตะโกนว่า หนีจากตรงนั้นเร็วๆเข้า งูมันออกมาจากศาลแล้ว "เวรกรรม ตูจะหนีไปทางไหนฟะ!" เรานึกในใจ เพื่อนๆอีกฝั่งก็กรีดร้องตกใจ เร็วๆ งูตัวใหญ่มันกำลังจะออกมาแล้ว เร็วๆเข้า! "ตายๆๆๆ ตูจะทำยังไงดีเนี่ย" เรานึก แล้วเราก็หันไปทางศาลซึ่งฝาผนังของตัวศาลกำลังจะแตกและพังออกมาเพราะงูเต็มศาล งูบางตัวก็โผล่ออกมาจากฝาผนังที่ปริออกมาแล้ว เพื่อนๆอีกฝั่งก็ตะโกนให้รีบๆข้ามมา "รีบมาเลย งูดำไม่ทำอันตรายเราหรอก แต่งู.... (ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เหตุการณ์กำลังชุลมุน)" พอเราดูดีๆมันมีงูเผือกโผล่มาด้วยประปราย แวบหนึ่ง เราเห็นหัวงูยักษ์สีดำตัวที่ใหญ่ที่สุดโผล่ออกมา มีหงอนน้อยๆอยู่ตรงจมูก (หงอนน้อยจริงๆถ้าเทียบกับที่เราฝันเห็นพญานาคอื่นๆ) แผ่แม่เบี้ยแบบไม่อลังการมากโผล่ออกมาจากศาล ณ นาทีนั้นคับท่านผู้ชม เราและเพื่อนสาวรีบกระโดดเอามือคว้าฝาผนังศาลที่มันแตกออกมานั่นแหละ รีบไต่หนีงูด้วยความเร็วๆแสง คือด้วยความเร็วแสงจริงๆ แวบเดียวเราสองคนก็กระโดดข้ามสระน้ำหนีพวกงูมาได้
เมื่อหนีรอดมาได้ก็อย่าลีลายืนให้งูมันเลื้อยตาม พวกเรารีบเบี่ยงตัวหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ณ จุดๆนั้น ขณะที่เรากำลังเบี่ยงตัวหนีมาเหมือนเราเห็นเพื่อนๆของเราแปลกไปและวิวทิวทัศน์รวมทั้งบรรยากาศรอบๆมันเปลี่ยนไป จากบรรยากาศในเมืองหน้าพิพิธภัณฑ์กลายเป็นป่าไผ่พื้นดิน ไม่ใช่ปูน! เพื่อนเราเหมือนเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่จากชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ไปเป็นพันผ้าสไบชีฟองสีชมพูอ่อนๆพาสเทลประกายแววๆเหมือนผ้าผสมกากเพชร (แต่ไม่ได้ห่มสไบเฉียงอ่าค่ะ) รวบผม หุ่นสะโอดสะอง บร๊ะ! แล้วพอเราหันหนีมาครบ 180 องศาแล้วต้องมางงหนักกว่าเดิม เพราะตรงหน้าของเรานั้น ปรากฏกลุ่มของชาวบ้านน่าจะสมัยโบราณที่ผู้ชายผิวเข้ม ล่ำๆ ตันๆ กล้ามมาอกมาซิกแพคมา นุ่งผ้าเหมือนโจงกระเบนสั้นๆอ่าค่ะ บางคนใส่ปกที่เหมือนนักรบอยู่ค่ะ แต่ไม่ใส่เสื้อ พวกเขาหันมามองทางกลุ่มเราตาโตเชียวค่ะ อิอิ ประมาณว่า ตกใจ อินางอินายพวกนี้โผล่มาจากไหน เราก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่มีใครได้ทันปริปากอะไร เราก็ตื่นขึ้นมาค่ะ
จบแล้วค่ะ...ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ ^^