ทิ้งช่วงไปนานนะครับกว่าจะมีเวลามีเขียนกระทู้เล่าเรื่องทริปตระเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองแพร่ต่อเมืองน่านในตอนที่ 2 ก็หวังว่าข้อมูลจากการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเองเพียงลำพังของผมจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อน ๆ ชาวพันทิปที่กำลังสนใจอยากไปเที่ยวเมืองแพร่กับเมืองน่านบ้างนะครับ หรือเพื่อน ๆ จะอ่านหรือดูภาพสถานที่ท่องเที่ยวจากกระทูที่ผมเขียนคร่าว ๆ ก่อนก็ได้นะครับเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้อยากตามรอยไปเที่ยวเหมือนผมในภายหลังก็ได้ แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนว่ารูปภาพที่ผมถ่ายนี้อาจไม่ได้สวยอะไร เพราะผมใช้กล้องจากโทรศัพท์ถ่ายเอา ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจเข้ามาอ่านกระทู้ของผมนะครับ มีข้อมูลสิ่งใดต้องการสอบถามที่ใช้ในการเที่ยวก็หลังไมค์เข้ามาได้นะครับ ยินดีให้ความช่วยเหลือกับทุกท่าน
สำหรับทริปการเดินทางท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ใช้เวลา 5 วัน มีดังนี้
วันที่ 1 : เดินทางถึงเมืองแพร่ ขี่รถเที่ยวย่านดอยผากลอง และในตัวเมือง
วันที่ 2 : ขี่รถเที่ยวย่านช่อแฮ
วันที่ 3 : ขี่รถเที่ยวย่านเด่นชัย - สูงเม่น และเดินทางต่อไปเมืองน่าน
วันที่ 4 : ขี่รถเที่ยวย่านเวียงสา - นาน้อย
วันที่ 5 : ขี่รถเที่ยวในเมืองน่าน และเดินทางกลับ
วันที่ 2 : ขี่รถเที่ยวย่านช่อแฮ
วันนี้ผมออกเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองแพร่ในกลุ่มย่านช่อแฮ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากโรงแรมที่พักราว 8.30 น. ไปยังสถานที่แห่งแรกที่อยู่บนเส้นทางผ่านไปยังพระธาตุช่อแฮก็คือ
วัดสระบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่พักไปทางเหนือของเมืองราว 2 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถราว 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ
วัดสระบ่อแก้ว เป็นวัดที่มีศิลปะการก่อสร้างแบบพม่าคล้าย ๆ กับวัดจอมสวรรค์ ตามประวัติบอกว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2419 โดยชาวพม่าได้เข้ามาเป็นแรงงานในการทำงานตัดไม้และขุดพลอยที่เมืองแพร่เพราะชาวอังกฤษได้รับสัมปทานที่นี่ ชาวพม่าก็เหมือนคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาจึงได้ร่วมใจกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเขาที่เมืองนี้
ผมขี่รถเข้าไปจอดหน้าวิหารของวัด เดินชมบริเวณรอบ ๆ ของวัดรู้สึกว่าวัดนี้เงียบสงบเหลือเกินไม่พบพระสงฆ์เลยในตอนแรก พลางคิดในใจว่าไปเที่ยวมาหลายวัดที่เมืองแพร่แต่ไม่ค่อยเจอพระเลย หรือว่าไปตอนสาย ๆ กับบ่าย ๆ ท่านจะจำวัดเลยไม่เจอ วันที่ผมไปเที่ยวที่วัดนี้ไม่พบนักท่องเที่ยวเข้ามาชมเลย เห็นแต่ผู้หญิงคนเดียวเดินขึ้นไปทำพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์กับพระสงฆ์อยู่บนวิหารไม้
วิหารไม้ของวัดสร้างเป็นอาคารแบบพญาธาตุคือ อาคารที่มีหลังคาซ้อนชั้นขึ้นไปทรงแหลมสูงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวิหารในศิลปะพม่า ภายในวิหารไม้สร้างเป็นทั้งศาลา โบสถ์ และกุฏิสงฆ์อยู่ด้วยกัน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทำจากหินอ่อนสีขาวก้อนเดียวที่อัญเชิญมาจากเมืองมัณฑะเลย์ของประเทศพม่า
นอกจากนี้บริเวณวัด ข้าง ๆ วิหารไม้ก็มีเจดีย์จำลองสีทองขนาดไม่สูงมากนักที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองไว้ด้วย
เสร็จจากการเที่ยวชมวัดสระบ่อแก้วแล้ว ผมก็ขี่รถไปเที่ยววัดที่อยู่ใกล้ ๆ กันต่อก็คือ
วัดจอมสวรรค์ วัดนี้ผมเคยมาเที่ยวชมแล้วเมื่อ 15 ปีก่อนเมื่อครั้งมาดูศึกษานอกสถานที่ตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ล้านนาโดยอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยจัดพามา แต่มาดูวัดนี้อีกครั้งก็ให้ความรู้สึกแตกต่างจากไปจากเดิม เดี๋ยวนี้วัดนี้ดูคึกคักมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากขึ้น ไหนจะคนเมืองแพร่เองก็ใช้วิหารไม้ของวัดจอมสวรรค์เป็นสถานที่จัดแสดงการเล่นดนตรีพื้นเมืองของภาคเหนือ จึงมีเสียงดนตรีดังขับขานอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีนักเรียนที่มาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์น้อยคอยอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้แก่แขกผู้มาเยี่ยมเยือนด้วย
ตามประวัติบอกว่า วัดจอมสวรรค์สร้างขึ้นโดยชาวไทใหญ่ที่เดินทางเข้ามาค้าขายในเมืองแพร่เมื่อ 100 ปีที่แล้ว โดยสร้างเป็นอาคารทรงพญาธาตุในศิลปะพม่าคือ อาคารที่มีหลังคาซ้อนชั้นลดหลั่นกันเป็นทรงสูง ลักษณะจะคล้าย ๆ กับที่วัดสระบ่อแก้วที่ไปชมมา
บนเพดานของวิหารไม้ประดับกระจกสีทำลวดลายต่าง ๆ ที่สวยงาม และภายในวิหารก็จัดแสดงพระพุทธรูปงาช้าง และคัมภีร์โบราณที่ทำมาจากงาช้าง เรียกว่า
"คัมภีร์ปาติโมกข์ ซึ่งลงรักปิดทองและจารึกข้อความเป็นภาษาพม่า
เสร็จจากการเที่ยวชมวัดจอมสวรรค์แล้ว ผมก็ขี่รถเที่ยวต่อไปที่
บ้านทุ่งโฮ้ง เพื่อไปซื้อเสื้อม่อฮ้อม ไหน ๆ ก็จะต้องผ่านทางนี้อยู่แล้วก่อนไปพระธาตุช่อแฮ ก็แวะซื้อของฝากให้กับตนเองและญาติที่บ้านซะเลย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเมืองแพร่
บ้านทุ่งโฮ้งอยู่ห่างจากวัดจอมสวรรค์ไปเพียง 3 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ เป็นหมู่บ้านที่ผลิตและจำหน่ายเสื้อม่อฮ้อมทั้งขายส่งและขายปลีก ตัวร้านค้าจำหน่ายตามเรียงรายตามสองฝั่งของถนนเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหาร้านไม่เจอ เพราะร้านที่จำหน่ายเสื้อม่อฮ้อมเหล่านี้น่าจะมีราว ๆ 50 ร้านขึ้นไป
เสื้อม่อฮ้อมที่บ้านทุ่งโฮ้งจำหน่ายนี้มาจากโรงงานผลิตหลายเจ้าจึงทำให้เสื้อม่อฮ้อมแต่ละร้านมีลวดลายและดีไซน์การออกแบบที่แตกต่างกัน เรียกว่าต้องเดินดูทีละร้านกันเลยถ้าจะซื้อหาไปใส่กัน เพราะดีไซน์และลวดลายที่ไม่ซ้ำกันทำให้เราสามารถเดินดูของได้ไม่เบื่อเลย ผมเดินดูร้านโน้นข้างถนนไปอีกฟากดูร้านนี้ใช้เวลานานกว่าจะตัดสินใจซื้อเสื้อม่อฮ้อมได้ ซื้อมา 4 ตัวจาก 3 ร้าน รวมเป็นราคาทั้งหมด 1,220 บาท ดูแล้วราคาก็ย่อมเยาไม่แพงเกินไปนะครับ ยังไงถ้าใครผ่านมาแถว ๆ ทุ่งโฮ้งก็อย่าลืมซื้อหาม่อฮ้อมสักตัวเป็นของฝากนะครับ ช่วยเหลือชาวบ้านเขาสินค้า OTOP ของเขาจะได้อยู่ได้ ต่อจากนั้นผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปทำบุญไหว้พระที่วัดพระธาตุช่อแฮต่อครับ
วัดพระธาตุช่อแฮ เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองแพร่ แต่ตัววัดไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านตัวเมืองแพร่ แต่อยู่นอกเมืองนะครับ ต้องขี่รถไปราว 12 ก.ม. ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขาที่ไม่สูงมาก จะมีบันไดทางขึ้นวัดตามภาพข้างบน รถทุกคันต้องจอดบริเวณเชิงบันไดนะครับแล้วเดินขึ้นบันไดไป
ถนนหน้าวัดพระธาตุช่อแฮ ถ่ายจากบริเวณเชิงบันไดทางขึ้นวัด
พระธาตุช่อแฮ เป็นพระธาตุรูปแบบสี่เหลี่ยมย่อมุมสร้างตามแบบศิลปะล้านนา หุ้มทองจังโกตลอดทั้งองค์ ภายในองค์พระธาตุเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและพระข้อศอกซ้ายของพระพุทธเจ้า และที่ประตูทางเข้าวัดทำเป็นซุ้มประตูโขงรูปทรงปราสาทสีขาวแบบล้านนาดูสวยงามดี พระธาตุช่อแฮจัดว่าเป็นพระธาตุประจำของผู้ที่เกิดปีขาล (ปีเสือ) และนับเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่อีกด้วย ดังนั้น ใครมาเที่ยวเมืองแพร่จึงไม่ควรพลาดในการเข้ามาชมนะครับ

ผมเดินชมองค์พระธาตุเสร็จแล้วก็เข้าไปทำบุญเขียนชื่อตนเองและครอบครัวบนผ้าจีวรห่มองค์พระธาตุ ซื้อตุงถวายองค์พระธาตุ แล้วไปสักการะบูชาพระพุทธรูปประธานภายในพระวิหารของวัดครับ วัดนี้มีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองแพร่มาเยี่ยมชมกันหนาตา ทำให้ที่จอดรถข้างล่างดูแน่นไปถนัดตา บริเวณด้านล่างของวัดก็มีร้านค้าขายของทั้งอาหารการกิน ขนมขบเคี้ยว และของฝากของที่ระลึกวางขายกันหลายร้านนะครับ
เสร็จจากการเยี่ยมชมพระธาตุช่อแฮแล้ว ผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปทำบุญที่วัดพระธาตุดอยเล็ง มองเห็นได้จากวัดพระธาตุช่อแฮเลย พระธาตุดอยเล็งตั้งอยู่บนภูเขาที่อยู่ด้านหลังของวัดพระธาตุช่อแฮ ห่างออกไปน่าจะ 3 ก.ม. แต่ผมใช้เวลาขี่รถนานกว่าจะถึงที่วัด เพราะหลงทางขนาดใช้ google map นำทางยังหลง เพราะตรอกทางเข้าเป็นถนนเล็ก ๆ ถ้าไม่สังเกตก็จะขับรถเลยหรือไม่รู้ว่าเป็นทางเข้า ขี่รถเลี้ยวเข้าตรอกดังกล่าวได้ถนนก็จะตัดผ่านทุ่งนาและขึ้นสู่ยอดเขาที่ตั้งของวัดพระธาตุดอยเล็ง ถนนที่วิ่งมาดีนะครับขี่รถสบาย
ทุ่งนาริมถนนที่วิ่งขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยเล็ง มองเห็นวัดพระธาตุช่อแฮที่ไปเที่ยวมาอยู่ไม่ไกลกัน
ถนนขึ้นเขาเป็นทางขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยเล็ง ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์สามารถขี่ได้สุดทางถึงหน้าวิหารของวัดเลยนะครับ ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดเหมือนคนที่ขับรถยนต์มา
ตะเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองแพร่ต่อเมืองน่าน ตอนที่ 2
ทิ้งช่วงไปนานนะครับกว่าจะมีเวลามีเขียนกระทู้เล่าเรื่องทริปตระเวนเดี่ยวเที่ยวเมืองแพร่ต่อเมืองน่านในตอนที่ 2 ก็หวังว่าข้อมูลจากการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเองเพียงลำพังของผมจะเป็นประโยชน์แก่เพื่อน ๆ ชาวพันทิปที่กำลังสนใจอยากไปเที่ยวเมืองแพร่กับเมืองน่านบ้างนะครับ หรือเพื่อน ๆ จะอ่านหรือดูภาพสถานที่ท่องเที่ยวจากกระทูที่ผมเขียนคร่าว ๆ ก่อนก็ได้นะครับเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้อยากตามรอยไปเที่ยวเหมือนผมในภายหลังก็ได้ แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนว่ารูปภาพที่ผมถ่ายนี้อาจไม่ได้สวยอะไร เพราะผมใช้กล้องจากโทรศัพท์ถ่ายเอา ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจเข้ามาอ่านกระทู้ของผมนะครับ มีข้อมูลสิ่งใดต้องการสอบถามที่ใช้ในการเที่ยวก็หลังไมค์เข้ามาได้นะครับ ยินดีให้ความช่วยเหลือกับทุกท่าน
สำหรับทริปการเดินทางท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ใช้เวลา 5 วัน มีดังนี้
วันที่ 1 : เดินทางถึงเมืองแพร่ ขี่รถเที่ยวย่านดอยผากลอง และในตัวเมือง
วันที่ 2 : ขี่รถเที่ยวย่านช่อแฮ
วันที่ 3 : ขี่รถเที่ยวย่านเด่นชัย - สูงเม่น และเดินทางต่อไปเมืองน่าน
วันที่ 4 : ขี่รถเที่ยวย่านเวียงสา - นาน้อย
วันที่ 5 : ขี่รถเที่ยวในเมืองน่าน และเดินทางกลับ
วันที่ 2 : ขี่รถเที่ยวย่านช่อแฮ
วันนี้ผมออกเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองแพร่ในกลุ่มย่านช่อแฮ ขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกจากโรงแรมที่พักราว 8.30 น. ไปยังสถานที่แห่งแรกที่อยู่บนเส้นทางผ่านไปยังพระธาตุช่อแฮก็คือ วัดสระบ่อแก้ว ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่พักไปทางเหนือของเมืองราว 2 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถราว 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ
วัดสระบ่อแก้ว เป็นวัดที่มีศิลปะการก่อสร้างแบบพม่าคล้าย ๆ กับวัดจอมสวรรค์ ตามประวัติบอกว่าสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2419 โดยชาวพม่าได้เข้ามาเป็นแรงงานในการทำงานตัดไม้และขุดพลอยที่เมืองแพร่เพราะชาวอังกฤษได้รับสัมปทานที่นี่ ชาวพม่าก็เหมือนคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาจึงได้ร่วมใจกันสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของพวกเขาที่เมืองนี้
ผมขี่รถเข้าไปจอดหน้าวิหารของวัด เดินชมบริเวณรอบ ๆ ของวัดรู้สึกว่าวัดนี้เงียบสงบเหลือเกินไม่พบพระสงฆ์เลยในตอนแรก พลางคิดในใจว่าไปเที่ยวมาหลายวัดที่เมืองแพร่แต่ไม่ค่อยเจอพระเลย หรือว่าไปตอนสาย ๆ กับบ่าย ๆ ท่านจะจำวัดเลยไม่เจอ วันที่ผมไปเที่ยวที่วัดนี้ไม่พบนักท่องเที่ยวเข้ามาชมเลย เห็นแต่ผู้หญิงคนเดียวเดินขึ้นไปทำพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์กับพระสงฆ์อยู่บนวิหารไม้
วิหารไม้ของวัดสร้างเป็นอาคารแบบพญาธาตุคือ อาคารที่มีหลังคาซ้อนชั้นขึ้นไปทรงแหลมสูงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวิหารในศิลปะพม่า ภายในวิหารไม้สร้างเป็นทั้งศาลา โบสถ์ และกุฏิสงฆ์อยู่ด้วยกัน ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปทำจากหินอ่อนสีขาวก้อนเดียวที่อัญเชิญมาจากเมืองมัณฑะเลย์ของประเทศพม่า
นอกจากนี้บริเวณวัด ข้าง ๆ วิหารไม้ก็มีเจดีย์จำลองสีทองขนาดไม่สูงมากนักที่จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองไว้ด้วย
เสร็จจากการเที่ยวชมวัดสระบ่อแก้วแล้ว ผมก็ขี่รถไปเที่ยววัดที่อยู่ใกล้ ๆ กันต่อก็คือ วัดจอมสวรรค์ วัดนี้ผมเคยมาเที่ยวชมแล้วเมื่อ 15 ปีก่อนเมื่อครั้งมาดูศึกษานอกสถานที่ตอนเรียนวิชาประวัติศาสตร์ล้านนาโดยอาจารย์ผู้สอนในมหาวิทยาลัยจัดพามา แต่มาดูวัดนี้อีกครั้งก็ให้ความรู้สึกแตกต่างจากไปจากเดิม เดี๋ยวนี้วัดนี้ดูคึกคักมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมมากขึ้น ไหนจะคนเมืองแพร่เองก็ใช้วิหารไม้ของวัดจอมสวรรค์เป็นสถานที่จัดแสดงการเล่นดนตรีพื้นเมืองของภาคเหนือ จึงมีเสียงดนตรีดังขับขานอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีนักเรียนที่มาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์น้อยคอยอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้แก่แขกผู้มาเยี่ยมเยือนด้วย
ตามประวัติบอกว่า วัดจอมสวรรค์สร้างขึ้นโดยชาวไทใหญ่ที่เดินทางเข้ามาค้าขายในเมืองแพร่เมื่อ 100 ปีที่แล้ว โดยสร้างเป็นอาคารทรงพญาธาตุในศิลปะพม่าคือ อาคารที่มีหลังคาซ้อนชั้นลดหลั่นกันเป็นทรงสูง ลักษณะจะคล้าย ๆ กับที่วัดสระบ่อแก้วที่ไปชมมา
บนเพดานของวิหารไม้ประดับกระจกสีทำลวดลายต่าง ๆ ที่สวยงาม และภายในวิหารก็จัดแสดงพระพุทธรูปงาช้าง และคัมภีร์โบราณที่ทำมาจากงาช้าง เรียกว่า "คัมภีร์ปาติโมกข์ ซึ่งลงรักปิดทองและจารึกข้อความเป็นภาษาพม่า
เสร็จจากการเที่ยวชมวัดจอมสวรรค์แล้ว ผมก็ขี่รถเที่ยวต่อไปที่ บ้านทุ่งโฮ้ง เพื่อไปซื้อเสื้อม่อฮ้อม ไหน ๆ ก็จะต้องผ่านทางนี้อยู่แล้วก่อนไปพระธาตุช่อแฮ ก็แวะซื้อของฝากให้กับตนเองและญาติที่บ้านซะเลย เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงเมืองแพร่
บ้านทุ่งโฮ้งอยู่ห่างจากวัดจอมสวรรค์ไปเพียง 3 ก.ม. ใช้เวลาขี่รถประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้วครับ เป็นหมู่บ้านที่ผลิตและจำหน่ายเสื้อม่อฮ้อมทั้งขายส่งและขายปลีก ตัวร้านค้าจำหน่ายตามเรียงรายตามสองฝั่งของถนนเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะหาร้านไม่เจอ เพราะร้านที่จำหน่ายเสื้อม่อฮ้อมเหล่านี้น่าจะมีราว ๆ 50 ร้านขึ้นไป
เสื้อม่อฮ้อมที่บ้านทุ่งโฮ้งจำหน่ายนี้มาจากโรงงานผลิตหลายเจ้าจึงทำให้เสื้อม่อฮ้อมแต่ละร้านมีลวดลายและดีไซน์การออกแบบที่แตกต่างกัน เรียกว่าต้องเดินดูทีละร้านกันเลยถ้าจะซื้อหาไปใส่กัน เพราะดีไซน์และลวดลายที่ไม่ซ้ำกันทำให้เราสามารถเดินดูของได้ไม่เบื่อเลย ผมเดินดูร้านโน้นข้างถนนไปอีกฟากดูร้านนี้ใช้เวลานานกว่าจะตัดสินใจซื้อเสื้อม่อฮ้อมได้ ซื้อมา 4 ตัวจาก 3 ร้าน รวมเป็นราคาทั้งหมด 1,220 บาท ดูแล้วราคาก็ย่อมเยาไม่แพงเกินไปนะครับ ยังไงถ้าใครผ่านมาแถว ๆ ทุ่งโฮ้งก็อย่าลืมซื้อหาม่อฮ้อมสักตัวเป็นของฝากนะครับ ช่วยเหลือชาวบ้านเขาสินค้า OTOP ของเขาจะได้อยู่ได้ ต่อจากนั้นผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปทำบุญไหว้พระที่วัดพระธาตุช่อแฮต่อครับ
วัดพระธาตุช่อแฮ เป็นวัดที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองแพร่ แต่ตัววัดไม่ได้ตั้งอยู่ในย่านตัวเมืองแพร่ แต่อยู่นอกเมืองนะครับ ต้องขี่รถไปราว 12 ก.ม. ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขาที่ไม่สูงมาก จะมีบันไดทางขึ้นวัดตามภาพข้างบน รถทุกคันต้องจอดบริเวณเชิงบันไดนะครับแล้วเดินขึ้นบันไดไป
ถนนหน้าวัดพระธาตุช่อแฮ ถ่ายจากบริเวณเชิงบันไดทางขึ้นวัด
พระธาตุช่อแฮ เป็นพระธาตุรูปแบบสี่เหลี่ยมย่อมุมสร้างตามแบบศิลปะล้านนา หุ้มทองจังโกตลอดทั้งองค์ ภายในองค์พระธาตุเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุและพระข้อศอกซ้ายของพระพุทธเจ้า และที่ประตูทางเข้าวัดทำเป็นซุ้มประตูโขงรูปทรงปราสาทสีขาวแบบล้านนาดูสวยงามดี พระธาตุช่อแฮจัดว่าเป็นพระธาตุประจำของผู้ที่เกิดปีขาล (ปีเสือ) และนับเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่อีกด้วย ดังนั้น ใครมาเที่ยวเมืองแพร่จึงไม่ควรพลาดในการเข้ามาชมนะครับ
ผมเดินชมองค์พระธาตุเสร็จแล้วก็เข้าไปทำบุญเขียนชื่อตนเองและครอบครัวบนผ้าจีวรห่มองค์พระธาตุ ซื้อตุงถวายองค์พระธาตุ แล้วไปสักการะบูชาพระพุทธรูปประธานภายในพระวิหารของวัดครับ วัดนี้มีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองแพร่มาเยี่ยมชมกันหนาตา ทำให้ที่จอดรถข้างล่างดูแน่นไปถนัดตา บริเวณด้านล่างของวัดก็มีร้านค้าขายของทั้งอาหารการกิน ขนมขบเคี้ยว และของฝากของที่ระลึกวางขายกันหลายร้านนะครับ
เสร็จจากการเยี่ยมชมพระธาตุช่อแฮแล้ว ผมก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปทำบุญที่วัดพระธาตุดอยเล็ง มองเห็นได้จากวัดพระธาตุช่อแฮเลย พระธาตุดอยเล็งตั้งอยู่บนภูเขาที่อยู่ด้านหลังของวัดพระธาตุช่อแฮ ห่างออกไปน่าจะ 3 ก.ม. แต่ผมใช้เวลาขี่รถนานกว่าจะถึงที่วัด เพราะหลงทางขนาดใช้ google map นำทางยังหลง เพราะตรอกทางเข้าเป็นถนนเล็ก ๆ ถ้าไม่สังเกตก็จะขับรถเลยหรือไม่รู้ว่าเป็นทางเข้า ขี่รถเลี้ยวเข้าตรอกดังกล่าวได้ถนนก็จะตัดผ่านทุ่งนาและขึ้นสู่ยอดเขาที่ตั้งของวัดพระธาตุดอยเล็ง ถนนที่วิ่งมาดีนะครับขี่รถสบาย
ทุ่งนาริมถนนที่วิ่งขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยเล็ง มองเห็นวัดพระธาตุช่อแฮที่ไปเที่ยวมาอยู่ไม่ไกลกัน
ถนนขึ้นเขาเป็นทางขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยเล็ง ซึ่งรถมอเตอร์ไซค์สามารถขี่ได้สุดทางถึงหน้าวิหารของวัดเลยนะครับ ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดเหมือนคนที่ขับรถยนต์มา