ตอนที่ 1 : New Chitose – Noboribetsu (24 Oct 2016)
ทุกครั้งที่ไปฮอกไกโดผมมักจะใช้บริการของไชน่าแอร์ไลน์ เพราะแทนที่จะบินรวดเดียว 6-7 ชั่วโมง ผมพอใจกับการไปเปลี่ยนเครื่องที่ไทเปซึ่งเป็นครึ่งทางระหว่างไทยกับฮอกไกโด ทำให้การบินกลายเป็นสองช่วงสั้นๆ ช่วงละสามชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คือเปิดโอกาสให้ผมได้แวะเที่ยวไต้หวันอีกด้วย นอกจากเรื่องราคาตั๋วที่ดึงดูดใจแล้วผมค่อนข้างจะประทับใจกับการให้บริการของพนักงานที่สำนักงานในกรุงเทพ (ชั้น 4 อาคาร Golden Place Plaza ซึ่งก็คืออาคารเพนนินซูล่าเดิม ที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมเอราวัณ)
ทริปฮอกไกโดครั้งนี้ผมซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าก่อนการเดินทางประมาณหนึ่งเดือน ช่วงนั้นทางสายการบินมีโปรโมชั่นออกมาพอดี ถ้าจำไม่ผิดวันที่ผมซื้อเป็นวันสุดท้ายของรายการโปรโมชั่น ได้ตั๋วไปกลับในราคา 14,120 บาท ผมแวะเที่ยวไทเปก่อนแล้วจึงค่อยบินต่อไปฮอกไกโด ถึงฮอกไกโดบ่ายวันที่ 24 ตุลาคม 2559 รู้เหมือนกันว่าถ้าจะมาดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ควรจะต้องมาประมาณกลางเดือนตุลาเพราะว่าใบไม้ที่ฮอกไกโดเปลี่ยนสีก่อนที่อื่นๆ ตอนที่เครื่องบินใกล้จะถึงผมคอยมองลอดหน้าต่างลุ้นว่าใบไม้จะมีสีสันอยู่หรือไม่หรือว่าถูกลมหนาวพัดพาร่วงลงไปหมดแล้ว และนี่ก็คือสิ่งที่ผมได้เห็นจากทางหน้าต่างเครื่องบิน
ดูแล้วค่อยมีความหวังหน่อยว่าทริปนี้คงได้ดูใบไม้เปลี่ยนสีสมใจ แม้สีที่เห็นจากเครื่องบินจะค่อนข้างออกเป็นสีน้ำตาลแล้วก็ตาม เรียกว่ายังพอให้มีลุ้นได้บ้างนะ
ออกจาก ตม. ก็เจอกับเพื่อนที่นัดไว้ เขาและภรรยาบินตรงมาจากเมืองไทยซึ่งมาถึงที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว เจอกันแล้วคณะ (สี่คน) ของเราก็เดินไปที่ Information Counter ของบริษัทรถเช่าที่อยู่ในอาคารสนามบิน (ตามรูป)
ผมจองรถของบริษัท Nippon Rent-A-Car ไว้ เป็นรถ Subaru Impreza ซึ่งต่อมาพอรู้ว่าจะมีเพื่อนมาสมทบอีกสองคน เกรงว่าถ้านั่งสี่คนและกระเป๋าสี่ใบ Impreza น่าจะจุไม่ไหว ก็เลยเปลี่ยนรถที่ใหญ่ขึ้นเป็น Subaru เหมือนเดิม แต่เป็นรุ่น Crossover 7 รุ่นนี้ไม่เคยเห็นในเมืองไทยแต่ดูจากรูปแล้วดูจะใหญ่กว่า Subaru Legacy Station Wagon เล็กน้อย เป็นที่นั่งสามตอน นั่งหกเจ็ดคนสบายๆ แต่คณะผมมีแค่สี่คนก็เลยพับเบาะแถวสุดท้ายลงได้ที่เก็บของกว้างขวางดี
หลังจากที่พนักงานตรวจสอบเอกสารรถเช่าของผมแล้ว เธอก็โทรไปแจ้งบริษัทรถให้ส่งรถตู้มารับพวกผมไปรับรถที่บริษัทซึ่งอยู่ใกล้ๆ สนามบิน (นั่งรถแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว) ตอนที่เราจองรถเขาจะมีช่องให้เราเลือกว่าต้องการจะใช้ Easy Pass ไหม ถ้าต้องการเขาก็จะคิดค่าเช่าบัตร (กล่อง) นี้ไว้ แล้วมาตัดเงินกันตอนที่คืนรถว่าเราใช้ Easy Pass จ่ายค่าทางด่วนไปเท่าไหร่ ซึ่งถ้าใครคิดจะใช้ทางด่วนละก้อผมว่าการมี Easy Pass นั้นสะดวกดี ไม่ต้องเสียเวลาจ่ายเงินทอนเงิน นอกจากนั้นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของการขับรถที่ฮอกไกโดก็คือนักท่องเที่ยว (ที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น) มีสิทธิเลือกที่จะเหมาจ่ายค่าทางด่วนได้ในราคาที่คุ้มค่ามาก (เหมาะสำหรับคนที่ขับระยะทางไกลๆ) ปีที่แล้วผมก็ใช้เพราะขับค่อนข้างมากจากเหนือถึงใต้ก็ทำให้ประหยัดค่าทางด่วนได้มากทีเดียว แต่ครั้งนี้ที่แพลนไว้ไม่ได้ขับไกลและก็จะใช้ Local Road เป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะจะเลือกเส้นทางชมวิว (Scenic Route) ก็เลยไม่สนใจเรื่อง Easy Pass และการเหมาจ่ายค่าทางด่วนเหมือนครั้งก่อน
หลังจากได้รถเช่าแล้วก็ขับมุ่งหน้าไปยังเมือง Noboribetsu โดยวิ่งไปตามถนนสาย 36 อ้อผมลืมบอกไปว่ารถที่เช่ามี GPS/Navigator เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รวมอยู่กับการเช่ารถแล้ว ที่สำคัญก็คือต้องเน้นให้แน่ใจว่าเครื่องพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ ไม่งั้นคงงงแย่ เส้นทางที่วิ่งวันนั้นเนื่องจากเป็น Local Road จำได้ว่าผ่านเมืองผ่านไฟแดงเยอะมาก สภาพอากาศบ่ายวันนั้นดูขะมุกขะมัวไม่ใสแจ่มเท่าไหร่ อุณหภูมิก็เช่นกันขนาดช่วงบ่ายยังทำเอาหนาวสั่นเพราะปรับตัวไม่ทัน เพิ่งจากเมืองไทยมา 33 องศา มาเจอ 8 องศาซี คงนึกภาพออกนะครับว่ามันหนาวขนาดไหน ระหว่างทางขับผ่านร้านอาหารบุปเฟ่ต์และเห็นหมีตัวใหญ่อยู่บนหลังคาก็เลยจอดรถถ่ายรูปกัน
ออกจากรถไปได้ไม่นานก็ต้องรีบเผ่นขึ้นรถทันทีเพราะนอกจากอากาศจะเย็นแล้วยังมีลมแรงอีกด้วยเพราะถนนช่วงนั้นอยู่ติดกับทะเล ที่วางแผนไว้ว่าถ้าถึง Noboribetsu แล้วจะไปเดินเที่ยวบนภูเขาหรือหุบเขานรก เป็นอันว่าต้องเลื่อนไปโดยปริยาย เพราะตอนที่ไปถึงโรงแรมสภาพอากาศดูมัวๆ คล้ายใกล้ค่ำแถมอากาศยังเย็นฉ่ำยิ่งกว่าในตู้เย็นซะอีก ตอนไปถึงโรงแรมนั้นยังไม่ถึงสี่โมงเย็นด้วยซ้ำไป นี่คือข้อเสียของการเที่ยวหน้าหนาว เพราะกลางวันจะค่อนข้างสั้นทำให้มีเวลาถ่ายรูปน้อยลง
คืนแรกนี้พักกันที่โรงแรม Meito no Yado Hotel Miyabitei (ชื่ออะไรทำไมยาวอย่างนี้) ผมเจอโรงแรมนี้ที่ในเว็ป
www.japanican.com ราคาห้องพักสำหรับสองคน 21,000 เยน หรือประมาณ 7,000 บาท เป็นราคารวมออนเซน (แช่น้ำแร่) และอาหารสองมื้อคือมื้อเช้าและมื้อเย็น ผมจองแพ็คเก็จที่ชื่อว่า “Snow Crab Buffet Dinner Plan with Natural Hot Springs” ผมว่าไม่แพงนะ ราคาต่อหัวคนละ 3,500 บาท มีบุฟเฟ่ต์ Snow Crab ด้วย สรุปว่าเย็นนั้นพอไปถึง Check-in เข้าห้องพัก สิ่งแรกที่ทำก็คือการลงไปแช่ออนเซ็น จากห้องพักลงลิฟท์ไปชั้นใต้ดินก็เจอออนเซ็นทันที สะดวกดีเพราะเป็นโรงแรมไม่ใหญ่ไม่ต้องเดินไปไหนไกล บ่อที่แช่ออนเซ็นถึงจะมีไม่มากมายหลายบ่อ แต่เนื่องจากคนน้อยก็เลยไม่พลุกพล่าน รู้สึกเงียบสงบ สะดวกสบายดี แช่ออนเซ็นเสร็จก็หิวพอดี หกโมงเย็นได้เวลาทานบุฟเฟ่ต์ กินกันอย่างเต็มที่ (จนไม่มีเวลาถ่ายรูป) คืนวันนี้นอนเร็วเป็นพิเศษ ถึงเวลาที่นั่นจะประมาณสี่ทุ่มแต่ที่เมืองไทยเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น แล้วพบกันตอนต่อไปนะครับ รับรองว่าจะมีรูปวิวทิวทัศน์สวยๆ ให้ดูมากมาย ขออภัยที่ตอนแรกนี้มีรูปให้ดูน้อยไปหน่อย . . .
ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/35778691
[CR] *** ขับรถชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮอกไกโด (1)***
ทุกครั้งที่ไปฮอกไกโดผมมักจะใช้บริการของไชน่าแอร์ไลน์ เพราะแทนที่จะบินรวดเดียว 6-7 ชั่วโมง ผมพอใจกับการไปเปลี่ยนเครื่องที่ไทเปซึ่งเป็นครึ่งทางระหว่างไทยกับฮอกไกโด ทำให้การบินกลายเป็นสองช่วงสั้นๆ ช่วงละสามชั่วโมงกว่าๆ เท่านั้น แต่ที่สำคัญก็คือเปิดโอกาสให้ผมได้แวะเที่ยวไต้หวันอีกด้วย นอกจากเรื่องราคาตั๋วที่ดึงดูดใจแล้วผมค่อนข้างจะประทับใจกับการให้บริการของพนักงานที่สำนักงานในกรุงเทพ (ชั้น 4 อาคาร Golden Place Plaza ซึ่งก็คืออาคารเพนนินซูล่าเดิม ที่อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมเอราวัณ)
ทริปฮอกไกโดครั้งนี้ผมซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าก่อนการเดินทางประมาณหนึ่งเดือน ช่วงนั้นทางสายการบินมีโปรโมชั่นออกมาพอดี ถ้าจำไม่ผิดวันที่ผมซื้อเป็นวันสุดท้ายของรายการโปรโมชั่น ได้ตั๋วไปกลับในราคา 14,120 บาท ผมแวะเที่ยวไทเปก่อนแล้วจึงค่อยบินต่อไปฮอกไกโด ถึงฮอกไกโดบ่ายวันที่ 24 ตุลาคม 2559 รู้เหมือนกันว่าถ้าจะมาดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ควรจะต้องมาประมาณกลางเดือนตุลาเพราะว่าใบไม้ที่ฮอกไกโดเปลี่ยนสีก่อนที่อื่นๆ ตอนที่เครื่องบินใกล้จะถึงผมคอยมองลอดหน้าต่างลุ้นว่าใบไม้จะมีสีสันอยู่หรือไม่หรือว่าถูกลมหนาวพัดพาร่วงลงไปหมดแล้ว และนี่ก็คือสิ่งที่ผมได้เห็นจากทางหน้าต่างเครื่องบิน
ดูแล้วค่อยมีความหวังหน่อยว่าทริปนี้คงได้ดูใบไม้เปลี่ยนสีสมใจ แม้สีที่เห็นจากเครื่องบินจะค่อนข้างออกเป็นสีน้ำตาลแล้วก็ตาม เรียกว่ายังพอให้มีลุ้นได้บ้างนะ
ออกจาก ตม. ก็เจอกับเพื่อนที่นัดไว้ เขาและภรรยาบินตรงมาจากเมืองไทยซึ่งมาถึงที่นี่ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว เจอกันแล้วคณะ (สี่คน) ของเราก็เดินไปที่ Information Counter ของบริษัทรถเช่าที่อยู่ในอาคารสนามบิน (ตามรูป)
ผมจองรถของบริษัท Nippon Rent-A-Car ไว้ เป็นรถ Subaru Impreza ซึ่งต่อมาพอรู้ว่าจะมีเพื่อนมาสมทบอีกสองคน เกรงว่าถ้านั่งสี่คนและกระเป๋าสี่ใบ Impreza น่าจะจุไม่ไหว ก็เลยเปลี่ยนรถที่ใหญ่ขึ้นเป็น Subaru เหมือนเดิม แต่เป็นรุ่น Crossover 7 รุ่นนี้ไม่เคยเห็นในเมืองไทยแต่ดูจากรูปแล้วดูจะใหญ่กว่า Subaru Legacy Station Wagon เล็กน้อย เป็นที่นั่งสามตอน นั่งหกเจ็ดคนสบายๆ แต่คณะผมมีแค่สี่คนก็เลยพับเบาะแถวสุดท้ายลงได้ที่เก็บของกว้างขวางดี
หลังจากที่พนักงานตรวจสอบเอกสารรถเช่าของผมแล้ว เธอก็โทรไปแจ้งบริษัทรถให้ส่งรถตู้มารับพวกผมไปรับรถที่บริษัทซึ่งอยู่ใกล้ๆ สนามบิน (นั่งรถแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว) ตอนที่เราจองรถเขาจะมีช่องให้เราเลือกว่าต้องการจะใช้ Easy Pass ไหม ถ้าต้องการเขาก็จะคิดค่าเช่าบัตร (กล่อง) นี้ไว้ แล้วมาตัดเงินกันตอนที่คืนรถว่าเราใช้ Easy Pass จ่ายค่าทางด่วนไปเท่าไหร่ ซึ่งถ้าใครคิดจะใช้ทางด่วนละก้อผมว่าการมี Easy Pass นั้นสะดวกดี ไม่ต้องเสียเวลาจ่ายเงินทอนเงิน นอกจากนั้นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดของการขับรถที่ฮอกไกโดก็คือนักท่องเที่ยว (ที่ไม่ใช่คนญี่ปุ่น) มีสิทธิเลือกที่จะเหมาจ่ายค่าทางด่วนได้ในราคาที่คุ้มค่ามาก (เหมาะสำหรับคนที่ขับระยะทางไกลๆ) ปีที่แล้วผมก็ใช้เพราะขับค่อนข้างมากจากเหนือถึงใต้ก็ทำให้ประหยัดค่าทางด่วนได้มากทีเดียว แต่ครั้งนี้ที่แพลนไว้ไม่ได้ขับไกลและก็จะใช้ Local Road เป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะจะเลือกเส้นทางชมวิว (Scenic Route) ก็เลยไม่สนใจเรื่อง Easy Pass และการเหมาจ่ายค่าทางด่วนเหมือนครั้งก่อน
หลังจากได้รถเช่าแล้วก็ขับมุ่งหน้าไปยังเมือง Noboribetsu โดยวิ่งไปตามถนนสาย 36 อ้อผมลืมบอกไปว่ารถที่เช่ามี GPS/Navigator เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่รวมอยู่กับการเช่ารถแล้ว ที่สำคัญก็คือต้องเน้นให้แน่ใจว่าเครื่องพูดเป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ ไม่งั้นคงงงแย่ เส้นทางที่วิ่งวันนั้นเนื่องจากเป็น Local Road จำได้ว่าผ่านเมืองผ่านไฟแดงเยอะมาก สภาพอากาศบ่ายวันนั้นดูขะมุกขะมัวไม่ใสแจ่มเท่าไหร่ อุณหภูมิก็เช่นกันขนาดช่วงบ่ายยังทำเอาหนาวสั่นเพราะปรับตัวไม่ทัน เพิ่งจากเมืองไทยมา 33 องศา มาเจอ 8 องศาซี คงนึกภาพออกนะครับว่ามันหนาวขนาดไหน ระหว่างทางขับผ่านร้านอาหารบุปเฟ่ต์และเห็นหมีตัวใหญ่อยู่บนหลังคาก็เลยจอดรถถ่ายรูปกัน
ออกจากรถไปได้ไม่นานก็ต้องรีบเผ่นขึ้นรถทันทีเพราะนอกจากอากาศจะเย็นแล้วยังมีลมแรงอีกด้วยเพราะถนนช่วงนั้นอยู่ติดกับทะเล ที่วางแผนไว้ว่าถ้าถึง Noboribetsu แล้วจะไปเดินเที่ยวบนภูเขาหรือหุบเขานรก เป็นอันว่าต้องเลื่อนไปโดยปริยาย เพราะตอนที่ไปถึงโรงแรมสภาพอากาศดูมัวๆ คล้ายใกล้ค่ำแถมอากาศยังเย็นฉ่ำยิ่งกว่าในตู้เย็นซะอีก ตอนไปถึงโรงแรมนั้นยังไม่ถึงสี่โมงเย็นด้วยซ้ำไป นี่คือข้อเสียของการเที่ยวหน้าหนาว เพราะกลางวันจะค่อนข้างสั้นทำให้มีเวลาถ่ายรูปน้อยลง
คืนแรกนี้พักกันที่โรงแรม Meito no Yado Hotel Miyabitei (ชื่ออะไรทำไมยาวอย่างนี้) ผมเจอโรงแรมนี้ที่ในเว็ป www.japanican.com ราคาห้องพักสำหรับสองคน 21,000 เยน หรือประมาณ 7,000 บาท เป็นราคารวมออนเซน (แช่น้ำแร่) และอาหารสองมื้อคือมื้อเช้าและมื้อเย็น ผมจองแพ็คเก็จที่ชื่อว่า “Snow Crab Buffet Dinner Plan with Natural Hot Springs” ผมว่าไม่แพงนะ ราคาต่อหัวคนละ 3,500 บาท มีบุฟเฟ่ต์ Snow Crab ด้วย สรุปว่าเย็นนั้นพอไปถึง Check-in เข้าห้องพัก สิ่งแรกที่ทำก็คือการลงไปแช่ออนเซ็น จากห้องพักลงลิฟท์ไปชั้นใต้ดินก็เจอออนเซ็นทันที สะดวกดีเพราะเป็นโรงแรมไม่ใหญ่ไม่ต้องเดินไปไหนไกล บ่อที่แช่ออนเซ็นถึงจะมีไม่มากมายหลายบ่อ แต่เนื่องจากคนน้อยก็เลยไม่พลุกพล่าน รู้สึกเงียบสงบ สะดวกสบายดี แช่ออนเซ็นเสร็จก็หิวพอดี หกโมงเย็นได้เวลาทานบุฟเฟ่ต์ กินกันอย่างเต็มที่ (จนไม่มีเวลาถ่ายรูป) คืนวันนี้นอนเร็วเป็นพิเศษ ถึงเวลาที่นั่นจะประมาณสี่ทุ่มแต่ที่เมืองไทยเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น แล้วพบกันตอนต่อไปนะครับ รับรองว่าจะมีรูปวิวทิวทัศน์สวยๆ ให้ดูมากมาย ขออภัยที่ตอนแรกนี้มีรูปให้ดูน้อยไปหน่อย . . .
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/35778691