http://www.thansettakij.com/2016/11/04/110794
https://www.facebook.com/intuchinvestor << Page คลับน้าอิน << อันนี้โฆษณาแฝงครับ
7-11 ปิดจ็อบ ‘วัน-ทู-คอล’ ศึกครั้งนี้ใครได้ใครเสีย?
โดย ฐานเศรษฐกิจ - 4 November 2559
กลายเป็นประเด็นดราม่าไปแล้วกรณีร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่นยุติการขายบัตรเติมเงินวัน-ทู-คอล ของ เอไอเอส หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) แม้ผ่านไป 1 สัปดาห์แต่ความน่าสนใจยังกระหึ่มในโลกโซเชียลมีเดีย แฟนเพจแต่ละค่ายต่างออกมาสืบค้นอะไรคือต้นเหตุแห่งเชื่อปะทุ พร้อมกับชี้ชัดว่าความผูกพันที่มีต่อกันในทางธุรกิจคงไม่อาจมาบรรจบกันเหมือนเดิมได้อีก แม้ว่าผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 ค่ายยังไม่มีใครออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ก็ตาม
ค่าธรรมเนียมเชื่อปะทุจริงหรือ
ตามหลักทฤษฎีทางการตลาดว่ากันว่าใครที่ขายสินค้าได้จำนวนมากกว่าน่าจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่า นั่นจึงเป็นที่มาที่ วัน-ทู-คอล ยึดเป็นหลัก เพราะ เอไอเอส เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 39.4 ล้านเลขหมาย รองลงมาคือ ดีแทค หรือ บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 25 ล้านเลขหมาย และ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัทในเครือให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ “ทรูมูฟเอช” จำนวน 21.5 ล้านเลขหมาย
หากย้อนไปหลายปีก่อนจำนวนผู้ใช้บริการพรีเพด (บัตรเติมเงิน) ของ เอไอเอส มีฐานลูกค้าใช้มากที่สุดในขณะนั้น ส่งผลให้ เซเว่นอีเลฟเว่น จัดเก็บค่าจีพี (Gross Profit) จากการเติมเงินชองลูกค้าในแต่ละครั้งอยู่ที่ 5% ขณะที่ ดีแทค และ ทรูมูฟเอช สัดส่วนอยู่ที่ 7% ตามลำดับ
Advertisement
นั้นจึงเป็นที่มาที่ เซเว่นอีเลฟเว่น ขอปรับค่าจีพีมาอยู่ที่ 7% เช่นเดียวกับ ดีแทค และ ทรูมูฟเอช
“เรื่องนี้เป็นการแข่งขันทางธุรกิจเพราะเซเว่นอีเลฟเว่น และ ทรูมูฟเอช มีผู้ถือหุ้น คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เพราะฉะนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ทรูมูฟเอช ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพราะ ทรูมูฟเอช เองฝันอยากจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ไม่เช่นนั้น บริษัท ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ในกลุ่มทรู ไม่ยอมทุ่มเงินก้อนโตกว่า 7.6 หมื่นล้านบาทเพื่อได้คลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ มาครอบครองเพราะเรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดี และที่สำคัญการขายสินค้าทุกประเภทใครขายสินค้าได้จำนวนมากกว่าก็ต้องจ่าย” แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ”
ระยะสั้นเจ็บทั้งคู่
แหล่งข่าวจากวงการโทรคมนาคม แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นแล้วทั้งเซเว่นอีเลฟเว่น และ วัน-ทู-คอล มีผลกระทบต่อยอดขายด้วยกันทั้งคู่ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา เอไอเอส จำหน่ายซิมวัน-ทู-คอล เดือนละกว่า 2 แสนซิม และ มียอดขายจากการเติมเงินเดือนละ 2 พันล้านบาท
“ดีแทค”โดนไม่โดนอย่ากะพริบตา
ขณะที่ผลกระทบระยะยาว เอไอเอส จะเสียเปรียบเพราะช่องทางของ เซเว่นอีเลฟเว่น เป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกที่สุดมีสาขาทั่วประเทศกว่า 9,000 แห่งเฉลี่ยคนเข้ามาร้าน 1 ล้านคนต่อวันซึ่งเป็นช่องทางทำกิจกรรมทางการตลาดโปรโมต “ซิม” ทรูมูฟเอช ได้เป็นอย่างดี และ ก็ไม่รู้ว่าต่อไป “ดีแทค” จะโดนห้ามขายบัตรเติมเงินด้วยหรือเปล่า
“พนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น บางสาขายังยุให้ลูกค้า วัน-ทู-คอลเปลี่ยนมาใช้เบอร์ทรูมูฟ หรือ กรณีจัดโปรโมชันย้ายค่ายข้ามเบอร์มายังระบบ 900 ในช่วงต้นปี เป็นต้น”
จับตาทางออก “เอไอเอส”
แม้ เอไอเอส บอกว่ามีช่องทางการจำหน่ายบัตรถึง 5 แสนช่องทางแต่อย่าลืมว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยึดติดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น มากกว่าจะไปเติมเงินในระบบออนไลน์ต่าง ๆ เพราะช่องทางของเซเว่นอีเลฟเว่น สะดวกที่สุด
สอดคล้องกับนักวิชาการอย่าง นายสืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิจัยโทรคมนาคม ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้า วัน-ทู-คอล ที่คุ้นเคยกับการเติมเงินผ่านเซเว่นอีเลฟเว่น ยังมีอยู่มาก การบอกว่าช่องทางเติมเงินอื่น ๆ ยังมีอีกเยอะ อาทิ เติมผ่านเอทีเอ็ม หรือ ร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ อาจไม่ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้ต้องจับตาดูอีกระยะว่า “เอไอเอส” จะปรับกลยุทธ์รับมืออย่างไร
เซเว่นฯลั่น! ไม่มีนโยบายไม่ขายสินค้าคู่แข่ง
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เซเว่นฯ ไม่มีนโยบายไม่ขายสินค้าของคู่แข่ง เพราะ เซเว่นฯกับเอไอเอส และดีแทค เป็นพันธมิตรในการขายสินค้ากันมานาน โดยเฉพาะการขายบัตรเติมเงินวัน- ทู-คอล ก็ขายมานานกว่า 10 ปี สัญญาก็เป็นสัญญาเดิมที่ทำกันเมื่อกว่า 10 ปีก่อน แต่ปัจจุบันเมื่อต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น และ เกิดการแข่งขันเสรี ธุรกิจย่อมต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ การปรับขึ้นค่าจีพีก็เช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับผู้ประกอบการทุกฝ่าย จึงต้องปรับขึ้นเป็น 7%
นักวิเคราะห์ชี้ ซีพีออลล์ได้รับผลกระทบไม่มาก
ขณะที่ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สฯ มองว่า หากซีพี ออลล์ ยุติการให้บริการ วัน-ทู- คอล จริง ผลกระทบต่อรายได้ไม่มากนัก เพราะรายได้จากบริการเติมเงินวัน-ทู-คอล อยู่ที่ 1-1.2 พันล้านบาทต่อปี คิดเป็นประมาณ 0.3% ของรายได้ในปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 4.05 แสนล้านบาท แต่ผลกระทบต่อกำไรสุทธิจะอยู่ที่ราว 3% ถ้าให้สมมติฐานอัตรากำไรสุทธิจากธุรกิจนี้ 40%
ในมุมกลับกัน ความไม่ลงตัวที่เกิดขึ้นกลับส่งผลบวกต่อผู้ให้บริการเติมเงินรายอื่นอย่าง ฟอร์ทสมาร์ท เซอร์วิส (FSMART)
ศึกดราม่าครั้งนี้จะจบอย่างไร เพราะดูท่าทีของ “เอไอเอส” ไม่ยอมง่ายๆ เพราะโดนกระทำตั้งแต่ เซเว่นอีเลฟเว่นจัดโปรโมชันย้ายเครือข่าย 900 มาใช้เบอร์เดิม พร้อมกับแจกเครื่องฟรี
แต่สุดท้ายหากจบกันด้วยดีนั้นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบางส่วน แม้จะ “จูบปาก” กันจริง แต่ทุกอย่างก็คงไม่เหมือนเดิม
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,206 วันที่ 3 – 5 พฤศจิกายน 2559
แล้วฉันเลือกอะไร ได้ไหม เลือกให้เธอไม่ไป ได้รึเปล่า
7-11 ปิดจ็อบ ‘วัน-ทู-คอล’ ศึกครั้งนี้ใครได้ใครเสีย?
https://www.facebook.com/intuchinvestor << Page คลับน้าอิน << อันนี้โฆษณาแฝงครับ
7-11 ปิดจ็อบ ‘วัน-ทู-คอล’ ศึกครั้งนี้ใครได้ใครเสีย?
โดย ฐานเศรษฐกิจ - 4 November 2559
ค่าธรรมเนียมเชื่อปะทุจริงหรือ
ตามหลักทฤษฎีทางการตลาดว่ากันว่าใครที่ขายสินค้าได้จำนวนมากกว่าน่าจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่า นั่นจึงเป็นที่มาที่ วัน-ทู-คอล ยึดเป็นหลัก เพราะ เอไอเอส เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 39.4 ล้านเลขหมาย รองลงมาคือ ดีแทค หรือ บริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 25 ล้านเลขหมาย และ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัทในเครือให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ “ทรูมูฟเอช” จำนวน 21.5 ล้านเลขหมาย
หากย้อนไปหลายปีก่อนจำนวนผู้ใช้บริการพรีเพด (บัตรเติมเงิน) ของ เอไอเอส มีฐานลูกค้าใช้มากที่สุดในขณะนั้น ส่งผลให้ เซเว่นอีเลฟเว่น จัดเก็บค่าจีพี (Gross Profit) จากการเติมเงินชองลูกค้าในแต่ละครั้งอยู่ที่ 5% ขณะที่ ดีแทค และ ทรูมูฟเอช สัดส่วนอยู่ที่ 7% ตามลำดับ
Advertisement
นั้นจึงเป็นที่มาที่ เซเว่นอีเลฟเว่น ขอปรับค่าจีพีมาอยู่ที่ 7% เช่นเดียวกับ ดีแทค และ ทรูมูฟเอช
“เรื่องนี้เป็นการแข่งขันทางธุรกิจเพราะเซเว่นอีเลฟเว่น และ ทรูมูฟเอช มีผู้ถือหุ้น คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เพราะฉะนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ทรูมูฟเอช ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เพราะ ทรูมูฟเอช เองฝันอยากจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ไม่เช่นนั้น บริษัท ทรูมูฟเอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด ในกลุ่มทรู ไม่ยอมทุ่มเงินก้อนโตกว่า 7.6 หมื่นล้านบาทเพื่อได้คลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ มาครอบครองเพราะเรื่องนี้ก็สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดี และที่สำคัญการขายสินค้าทุกประเภทใครขายสินค้าได้จำนวนมากกว่าก็ต้องจ่าย” แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม ให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ”
ระยะสั้นเจ็บทั้งคู่
แหล่งข่าวจากวงการโทรคมนาคม แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะสั้นแล้วทั้งเซเว่นอีเลฟเว่น และ วัน-ทู-คอล มีผลกระทบต่อยอดขายด้วยกันทั้งคู่ เนื่องจากในปีที่ผ่านมา เอไอเอส จำหน่ายซิมวัน-ทู-คอล เดือนละกว่า 2 แสนซิม และ มียอดขายจากการเติมเงินเดือนละ 2 พันล้านบาท
“ดีแทค”โดนไม่โดนอย่ากะพริบตา
ขณะที่ผลกระทบระยะยาว เอไอเอส จะเสียเปรียบเพราะช่องทางของ เซเว่นอีเลฟเว่น เป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคได้สะดวกที่สุดมีสาขาทั่วประเทศกว่า 9,000 แห่งเฉลี่ยคนเข้ามาร้าน 1 ล้านคนต่อวันซึ่งเป็นช่องทางทำกิจกรรมทางการตลาดโปรโมต “ซิม” ทรูมูฟเอช ได้เป็นอย่างดี และ ก็ไม่รู้ว่าต่อไป “ดีแทค” จะโดนห้ามขายบัตรเติมเงินด้วยหรือเปล่า
“พนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น บางสาขายังยุให้ลูกค้า วัน-ทู-คอลเปลี่ยนมาใช้เบอร์ทรูมูฟ หรือ กรณีจัดโปรโมชันย้ายค่ายข้ามเบอร์มายังระบบ 900 ในช่วงต้นปี เป็นต้น”
จับตาทางออก “เอไอเอส”
แม้ เอไอเอส บอกว่ามีช่องทางการจำหน่ายบัตรถึง 5 แสนช่องทางแต่อย่าลืมว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยึดติดร้านเซเว่นอีเลฟเว่น มากกว่าจะไปเติมเงินในระบบออนไลน์ต่าง ๆ เพราะช่องทางของเซเว่นอีเลฟเว่น สะดวกที่สุด
สอดคล้องกับนักวิชาการอย่าง นายสืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิจัยโทรคมนาคม ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้า วัน-ทู-คอล ที่คุ้นเคยกับการเติมเงินผ่านเซเว่นอีเลฟเว่น ยังมีอยู่มาก การบอกว่าช่องทางเติมเงินอื่น ๆ ยังมีอีกเยอะ อาทิ เติมผ่านเอทีเอ็ม หรือ ร้านสะดวกซื้ออื่น ๆ อาจไม่ตรงกับพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มนี้ต้องจับตาดูอีกระยะว่า “เอไอเอส” จะปรับกลยุทธ์รับมืออย่างไร
เซเว่นฯลั่น! ไม่มีนโยบายไม่ขายสินค้าคู่แข่ง
ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เซเว่นฯ ไม่มีนโยบายไม่ขายสินค้าของคู่แข่ง เพราะ เซเว่นฯกับเอไอเอส และดีแทค เป็นพันธมิตรในการขายสินค้ากันมานาน โดยเฉพาะการขายบัตรเติมเงินวัน- ทู-คอล ก็ขายมานานกว่า 10 ปี สัญญาก็เป็นสัญญาเดิมที่ทำกันเมื่อกว่า 10 ปีก่อน แต่ปัจจุบันเมื่อต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น และ เกิดการแข่งขันเสรี ธุรกิจย่อมต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ การปรับขึ้นค่าจีพีก็เช่นกัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับผู้ประกอบการทุกฝ่าย จึงต้องปรับขึ้นเป็น 7%
นักวิเคราะห์ชี้ ซีพีออลล์ได้รับผลกระทบไม่มาก
ขณะที่ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สฯ มองว่า หากซีพี ออลล์ ยุติการให้บริการ วัน-ทู- คอล จริง ผลกระทบต่อรายได้ไม่มากนัก เพราะรายได้จากบริการเติมเงินวัน-ทู-คอล อยู่ที่ 1-1.2 พันล้านบาทต่อปี คิดเป็นประมาณ 0.3% ของรายได้ในปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 4.05 แสนล้านบาท แต่ผลกระทบต่อกำไรสุทธิจะอยู่ที่ราว 3% ถ้าให้สมมติฐานอัตรากำไรสุทธิจากธุรกิจนี้ 40%
ในมุมกลับกัน ความไม่ลงตัวที่เกิดขึ้นกลับส่งผลบวกต่อผู้ให้บริการเติมเงินรายอื่นอย่าง ฟอร์ทสมาร์ท เซอร์วิส (FSMART)
ศึกดราม่าครั้งนี้จะจบอย่างไร เพราะดูท่าทีของ “เอไอเอส” ไม่ยอมง่ายๆ เพราะโดนกระทำตั้งแต่ เซเว่นอีเลฟเว่นจัดโปรโมชันย้ายเครือข่าย 900 มาใช้เบอร์เดิม พร้อมกับแจกเครื่องฟรี
แต่สุดท้ายหากจบกันด้วยดีนั้นหมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบางส่วน แม้จะ “จูบปาก” กันจริง แต่ทุกอย่างก็คงไม่เหมือนเดิม
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,206 วันที่ 3 – 5 พฤศจิกายน 2559