สวัสดีค่ะ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน
++กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่จะมา Review เกี่ยวกับการตะลุยสังขละบุรีของเรา เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆที่สนใจอยากไปเยือนเมืองนี้ซักครั้ง++
การเดินทางครั้งนี้ได้ประโยชน์มากจากการตามอ่าน review ใน pantip โดยปกติจะเป็นผู้ตาม ไม่ค่อยเป็นผู้นำในการจัดทริปซักเท่าไหร่ แต่เพื่อนสาวโสดที่ไปด้วยอีกหนึ่งคนเข้าขั้นแย่กว่า มาแต่ตัว ออกแต่ตังค์ เราเลยต้องลุยวางแผนด้วยตัวเอง ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยว่า เราไม่ใช่มือโปรด้านถ่ายรูป รูปทั้งหมดได้จากมือถือกากๆๆ แต่อยากจะแชร์ให้กับคนที่สนใจไป ยังไงก็ลองตามไปเที่ยวกัน ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยคร้า....
เราเดินทางไปวันที่ 22-24 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ในใจตอนหาที่เที่ยว ไม่มีความรู้อะไรเลย นอกจากอยากไปสะพานมอญ เห็นเค้าถ่ายรูปกันสวยๆ อ้าวววลุยยยยยย!!! >>>>>> GOOOO

<<เริ่มเลยวันแรก:>> ขาไป เราตั้งใจนั่งรถไฟไทย โดยจากการสอบถามข้อมูล รถไฟซึ่งจะมีอยู่ 2 ทางที่ไปได้
1. รถไฟฟรี จาก สถานีธนบุรี (ไม่แนะนำ เพราะคนจะเยอะ ร้อนนนนน ทุรนทุรายแน่นอน และอาจเรทอย่างมาก)
2. รถไฟจากหัวลำโพง เราไปแบบนี้ โดยทุกวันเสาร์ การรถไฟจะมีจัดท่องเที่ยวแบบ 1 day trip โดยปลายทางจะพาไปถึงสถานีน้ำตกไทรโยกน้อย

ราคาตั๋วคนละ 120 บาท รถไฟออก 6:30 น. แนะนำให้มาซื้อล่วงหน้า เพราะส่วนใหญ่จะเต็ม เป็นรถไฟชั้น 3 พัดลม อาจพบหมอกแดงได้ระหว่างทาง ดีตรงมีที่นั่งประจำ และดีตรงที่รถไฟจะแวะพักให้ซื้อของตรงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ (ของกินเพรียบเลย) สะพานข้ามแม่น้ำแคว และน้ำตกไทรโยกน้อย โดยมีนายสถานีเป็นไกด์เล่านู่นนี่ให้ฟังแบบฮาๆๆด้วย

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงสถานีน้ำตก ไทรโยคน้อย ให้ลงสุดสถานีเลย ซึ่งรถไฟจะจอดให้นักท่องเที่ยวคนอื่นท่องเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่น้ำตก แต่เป็นสังขละบุรี ฉะนั้นจะช้าอยู่ใย ไปต่อโล๊ดดด

เมื่อถึงน้ำตกไทรโยกน้อย ให้เราข้ามฝั่งมาตรงแผงขายของ แล้วมารอรถบัสฉิ่งฉับตรงนั้น ราคาคนละ 130 บาท มันจะได้ฟิวลิ่งไปอีกแบบ

รถฉิ่งฉับนี่หละ จุดที่ไม่ได้คิดมาก่อน ว่าการเดินทางไปสังขละ จะต้องผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เนินแล้วเนินเล่า หลับแล้วหลับเล่าก็ยังไม่ถึง โดยลุงคนขับจะแวะพักรถที่ทองผาภูมิก่อน ให้เข้าห้องน้ำประมาณ 40 นาที หลังจากนั้น ก็เดินทางไปต่อ

เราใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นเกือบ 5 ชั่วโมงงง.....ก็จะมาถึง บขส สังขละบุรีพอดี๊เลย



เราจองที่พักไว้แล้วล่วงหน้า โดยพักที่ Coffee Berry ห้องละ 1,000 บาทต่อคืน ไม่มีอาหารเช้า ก็นั่งพี่วินเข้าไป คนละ 20 บาท ระหว่างทางเห็นมีถนนคนเดิน เลยตั้งใจว่า check-in และจะออกมาเดินเล่นซักหน่อย มาถึงที่พักช่างโชคดีเหลือเกิน เพราะที่พักอยู่ใกล้สะพานมอญแค่ 500 เมตร สบ๊ายยย แล้วก็ไม่ไกลจากเมืองมาก เราคิดว่าที่พักบริเวณนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวมาที่ซู๊ดดดด ^^

ทีนี้ก็เริ่มหามอเตอร์ไซต์สิ กะว่าจะแว๊นไปตลาด และขับไปสะพานมอญพรุ่งนี้เช้า เห็นบอกว่ามีร้านเช่าอยู่ตรงข้ามที่พัก ค่าเช่า 24 ชั่วโมง 200 บาท และต้องมีมัดจำ 100 บาทพร้อมเติมน้ำมันเต็มถังตอนเอามาคืน แต่คุณพระช่วย!! ไม่มีมอเตอร์ไซต์เหลือเลยซักคัน เนื่องด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาว เราก็เลยโทรเรียกพี่วินให้มารับพาไปหามอเตอร์ไซต์ที่ร้านอื่น วันนั้นพี่วินสุดแสนใจดี พาไปถึง 3 ร้านที่เปิดให้เช่า หมดจร้าาาาาาา....ไม่เหลือเลย T_T ต้องรอพรุ่งนี้เช้า เลยให้พี่วินไปส่งที่ถนนคนเดินแทน... พี่วินคิดเรา 80 บาท
ถนนคนเดินค่อนข้างเงียบ เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์ของคนไทย แต่ร้านอาหารก็ยังคึกคักอยู่บ้าง มาสะดุดตาตรงเมนูหมูเสียบต้มในกาละมัง เมนูขึ้นชื่อของพม่า ก็เลยแวะกิน อื้อหืออออออออออ.....เด็ด แปลก มีทุกส่วนของหมูทั้ง 3 ชั้น ลิ้น ใส้ หัวใจ ไม้ละ 1 บาทเอง ชื่อร้านที่ไปกินคือ ร้านมูมู หมูจุ่มพม่า เค้าว่าเจ้านี้อร่อยสุด ถามคนท้องที่มา....
+++กินอิ่มก็เดินเล่น กลับที่พัก หมดไปวันแรกแบบสลบเหมือด+++
หมายเหตุประจำวันที่ 1: ใครอยากซื้อยาหม่องพม่า ทะนาคา แนะนำให้ไปซื้อที่ฝั่งพม่าจะถูกว่า และให้ดูวันหมดอายุให้ดีนะ

วันที่ 2 เราตื่นตี 5 ครึ่งเพื่อรีบเดินไปสะพานมอญ กลัวว่าคนจะเยอะ โอ้โห เยอะตั้งแต่เช้าตรู่เลย ถ่ายรูปแทบไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้าไปตักบาตรฝั่งมอญ ใช้เวลารอพระคุณเจ้าจนถึงประมาณ 7 โมง พระคุณเจ้าจากวัดหลวงพ่ออุตตมะ ก็ลงมารับบาตร ก็อิ่มบุญยามเช้ากันถ้วนหน้า ^_^
ฝากไว้ว่า ตอนมาสะพานมอญ ไม่ต้องรีบซื้ออาหารใส่บาตรก็ได้ ฝั่งมอญมีขายเพรียบเลย มีแบบชุดละ 99 แถมชุดพื้นเมืองให้ใส่ถ่ายรูปด้วย มีเก้าอี้ให้นั่งอีกต่างหาก เรายังเสียดายไม่หาย อดใส่ชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกับเค้าเลย เพราะเราไม่รู้ รีบซื้อมาจากฝั่งไทย เดินถือข้ามสะพานมา 400 เมตร ทำให้เป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปพอสมควรเลย T_T

ตักบาตรเสร็จเราไม่รอช้ารีบมาติดต่อเรือของฝั่งมอญเพื่อในนั่งชมวัดกลางน้ำ 3 ชนชาติมาบรรจบกัน มีวัดไทย วัดมอญและวัดกระเหรี่ยง เหมาทั้งลำ 2 คนเค้าคิด 500 บาท พาไปดู 3 วัด คนขับเป็นคนมอญใจดีมากๆๆ

พอถึงแต่ละวัดจะมีไกด์มอญตัวน้อย ทำหน้าที่พาทัวร์ และเล่าเรื่องราว ประวัติให้ฟัง แถมยังถ่ายรูปให้อีกด้วย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ โดยก่อนเข้าแต่ละวัด ไกด์บอกว่ามีเคล็ดอยู่ "ก่อนเข้าโบสถ์ พี่จะขอพรได้ 3 ข้อ ให้เอามือแตะที่ผนังโบสถ์"
ข้อที่ 1 ขออนุญาติเข้าโบสถ์
ข้อที่ 2 กับ 3 พี่จะขออะไรก็ได้ พรนั้นจะเป็นจริง!!! (นี่ก็รออยู่นะ ผ่านมาซักพักแล้ว 555)
เริ่มที่วัดแรกวัดมอญ (วัดบ้านเก่า) จุดที่ตั้งของวัดนี้ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือมีแม่น้ำ 3 สายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี อันนี้ฟังจากไกด์ตัวน้อยมา ผิดถูกต้องขออภัย

วัดที่สองวัดไทย (วัดสมเด็จ)

วัดที่สามวัดกระเหรี่ยง (วัดศรีสุวรรณ) ถ้าน้ำลด จะสามารถเดินดูวัดได้เลย แต่ตอนเราไปน้ำขึ้น ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
เสร็จจากชมวัด เราก็ไปหาข้าวช้าวกินกันด้วยความหิวโซ โดยเป็นร้านโจ๊กชาวมอญ รสชาติจะเน้นจืดๆๆให้ปรุงเอง
หนังท้องตึงก็เริ่มหนังตาหย่อน เลยกลับไปนอนเล่นที่บ้านพัก และหาเบอร์โทรเพื่อติดต่อเช่ามอเตอร์ไซต์ และแล้วก็ได้ มีว่างอยู่ 1 คัน เลยต้องเรียกพี่วินคนเดิมให้ไปส่งเอารถอีกรอบ
ได้รถแว๊น ก็เลยไปที่ร้านกาแฟตาม review "Graph Café" เค้าบอกว่าต้องมาให้ได้ โดยพี่วินชี้ให้ดูก่อนได้รถมอเตอร์ไซต์ เราก็หาไปสิ .....อ่าวเฮ้ย พอมาถึงมันไม่ใช่ชื่อร้านนี้ งงอยู่นาน จนมีนักท่องเที่ยวในร้านกำลังเดินออกมา และบอกว่าเป็นร้านนี้แหละ แต่เค้าเปลี่ยนชื่อไป เป็น "KafKafé" ร้านนี้อยู่ตำแหน่งเดียวกับบ้านพักญี่ปุ่นเลย เจ้าของร้านใจดีให้เราเดินชมบ้านพักได้ด้วย โดยเค้าบอกว่าร้านเก่าเค้าเซ้งกิจการไปแล้วไปเปิดที่เชียงใหม่ เค้าเลยต้องเปลี่ยนชื่อร้าน....
แปบๆเที่ยงแล้ว ร้านอาหารที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ร้านตำอร่อยสังขละบุรี เป็นร้านห้องแอร์ อยู่ติดธนาคารกรุงไทยเลย ต้องบอกว่าดีงาม เจ้าของมาแนะนำเมนูเอง และที่เด็ดจนลืมไม่ลงก็คือ ส้มตำปูม้าจานละ 160 บาท แต่คุณภาพ 300 บาท ใครมีโอกาสได้ไปลิ้มลอง ต้องไปโดน ปูเป็นปู
อิ่มแล้ว พร้อมแล้ว เป้าหมายต่อไป คือเราจะข้ามเขตแดนไปเที่ยวพม่าที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ ได้บัตรลดราคามาจากถนนคนเดินเมื่อคืน ให้ติดต่อ อบต. ต้น (รู้สึกจะมีเจ้าเดียว) หัวละ 300 บาท ก็ลุยยยเลยจร้า แว๊นมอเตอร์ไซต์ไปประมาณ 1 ชั่วโมง ลมเย็นๆๆ ฝนตกรำไร แดดเบาๆๆ มีครบ ระยะทางประมาณประมาณ 20 กิโล กับการขี่มอเตอร์ไซต์ลงเขา ขึ้นเขาครั้งแรกในชีวิต
พอมาถึงก็มาติดต่อที่ อบต ต้น เป็นร้านก่อนเข้าชายแดน และก็รอคนอีก 3 คนรถถึงจะออกได้
ส่วนใหญ่จะเน้นพาไปดูวัด ซึ่งก็จะมีวัดเสา 100 ต้น ที่ทำกำแพงเป็นรูปปั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เด็กมอญเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่ออุตตมะท่านตั้งใจสร้างล้อมรอบ แต่งบไม่พอ เห็นแล้วรู้สึกได้ถึงศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธศาสนาของชาวบ้านแถบนี้มาก

ฝั่งพม่านี่หละ ที่บอกว่าของฝากถูกที่สุด ทั้งครีมทาหน้า ขัดผิว ยาหม่อง ไกด์จะพาไปแหล่งซื้อของก่อนกลับ และ Duty Free
เที่ยวพม่าเสร็จ เราก็แว๊นเพื่อไปสักการะที่วัดหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังค์วิเวการาม ที่หมู่บ้านชาวมอญ ก่อนจะถึงก็มาเก็บภาพสวยๆที่สะพานปูนก่อนยามเย็น

ค่ำคืนนี้ฝากท้องที่ถนนคนเดินอีกรอบ...

<<เช้าวันที่ 3>> ตาม Target ที่หาเมื่อคืนเราตั้งใจว่าจะไปกิน "ขนมจีนเส้นสดป้าหยิน" ตาม review ร้านอยู่ไม่ไกล ลงสะพานมอญ เป็นร้านหัวมุมฝั่งซ้ายมือ

กินเสร็จก็แวะถ่ายรูปกับสะพานอีกรอบ
และเตรียมตัวเดินทางกลับ โดยขากลับเลือกกลับรถตู้ คนละประมาณ 160 บาท จากสังขละบุรี- บขส กาญจนบุรี
หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึง ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง และเดินทางโดยรถตู้ กาญจนบุรี มาลงที่หมอชิตอีกประมาณ 2.5 ชั่วโมง
สังขละยังเป็นเมืองที่สงบ ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ใจดี ยิ้มแย้ม และยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมที่ดีงาม อากาศบริสุทธิ์ มาแล้วเหมือนได้มาปล่อยใจไปตามเวลาอย่างช้าๆ พักผ่อน หลีกหนีจากความวุ่นวาย ว้าวุ่น ก็ได้แต่หวังไว้ลึกๆในใจว่า สังขละบุรีจะไม่เจริญเกินไปทางด้านวัตถุ และยังรักษาความเจริญทางจิตใจนี้ไว้ตลอดไป
เมื่อ 2 สาวโสด ปล่อยหัวใจให้โลดแล่น ดื่มชีวิตช้าๆแล้วพักผ่อน ตะลอนเมืองสังขละบุรี 3 วัน 2 คืน แบบไม่มีรถส่วนตัว
++กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่จะมา Review เกี่ยวกับการตะลุยสังขละบุรีของเรา เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆที่สนใจอยากไปเยือนเมืองนี้ซักครั้ง++
การเดินทางครั้งนี้ได้ประโยชน์มากจากการตามอ่าน review ใน pantip โดยปกติจะเป็นผู้ตาม ไม่ค่อยเป็นผู้นำในการจัดทริปซักเท่าไหร่ แต่เพื่อนสาวโสดที่ไปด้วยอีกหนึ่งคนเข้าขั้นแย่กว่า มาแต่ตัว ออกแต่ตังค์ เราเลยต้องลุยวางแผนด้วยตัวเอง ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนเลยว่า เราไม่ใช่มือโปรด้านถ่ายรูป รูปทั้งหมดได้จากมือถือกากๆๆ แต่อยากจะแชร์ให้กับคนที่สนใจไป ยังไงก็ลองตามไปเที่ยวกัน ถ้าข้อมูลผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยคร้า....
เราเดินทางไปวันที่ 22-24 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา ในใจตอนหาที่เที่ยว ไม่มีความรู้อะไรเลย นอกจากอยากไปสะพานมอญ เห็นเค้าถ่ายรูปกันสวยๆ อ้าวววลุยยยยยย!!! >>>>>> GOOOO
1. รถไฟฟรี จาก สถานีธนบุรี (ไม่แนะนำ เพราะคนจะเยอะ ร้อนนนนน ทุรนทุรายแน่นอน และอาจเรทอย่างมาก)
2. รถไฟจากหัวลำโพง เราไปแบบนี้ โดยทุกวันเสาร์ การรถไฟจะมีจัดท่องเที่ยวแบบ 1 day trip โดยปลายทางจะพาไปถึงสถานีน้ำตกไทรโยกน้อย
ราคาตั๋วคนละ 120 บาท รถไฟออก 6:30 น. แนะนำให้มาซื้อล่วงหน้า เพราะส่วนใหญ่จะเต็ม เป็นรถไฟชั้น 3 พัดลม อาจพบหมอกแดงได้ระหว่างทาง ดีตรงมีที่นั่งประจำ และดีตรงที่รถไฟจะแวะพักให้ซื้อของตรงจุดท่องเที่ยวต่างๆ ได้แก่ พระปฐมเจดีย์ (ของกินเพรียบเลย) สะพานข้ามแม่น้ำแคว และน้ำตกไทรโยกน้อย โดยมีนายสถานีเป็นไกด์เล่านู่นนี่ให้ฟังแบบฮาๆๆด้วย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชั่วโมงก็ถึงสถานีน้ำตก ไทรโยคน้อย ให้ลงสุดสถานีเลย ซึ่งรถไฟจะจอดให้นักท่องเที่ยวคนอื่นท่องเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง แต่เป้าหมายของเราไม่ใช่น้ำตก แต่เป็นสังขละบุรี ฉะนั้นจะช้าอยู่ใย ไปต่อโล๊ดดด
รถฉิ่งฉับนี่หละ จุดที่ไม่ได้คิดมาก่อน ว่าการเดินทางไปสังขละ จะต้องผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า เนินแล้วเนินเล่า หลับแล้วหลับเล่าก็ยังไม่ถึง โดยลุงคนขับจะแวะพักรถที่ทองผาภูมิก่อน ให้เข้าห้องน้ำประมาณ 40 นาที หลังจากนั้น ก็เดินทางไปต่อ
เราจองที่พักไว้แล้วล่วงหน้า โดยพักที่ Coffee Berry ห้องละ 1,000 บาทต่อคืน ไม่มีอาหารเช้า ก็นั่งพี่วินเข้าไป คนละ 20 บาท ระหว่างทางเห็นมีถนนคนเดิน เลยตั้งใจว่า check-in และจะออกมาเดินเล่นซักหน่อย มาถึงที่พักช่างโชคดีเหลือเกิน เพราะที่พักอยู่ใกล้สะพานมอญแค่ 500 เมตร สบ๊ายยย แล้วก็ไม่ไกลจากเมืองมาก เราคิดว่าที่พักบริเวณนี้เหมาะกับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวมาที่ซู๊ดดดด ^^
ทีนี้ก็เริ่มหามอเตอร์ไซต์สิ กะว่าจะแว๊นไปตลาด และขับไปสะพานมอญพรุ่งนี้เช้า เห็นบอกว่ามีร้านเช่าอยู่ตรงข้ามที่พัก ค่าเช่า 24 ชั่วโมง 200 บาท และต้องมีมัดจำ 100 บาทพร้อมเติมน้ำมันเต็มถังตอนเอามาคืน แต่คุณพระช่วย!! ไม่มีมอเตอร์ไซต์เหลือเลยซักคัน เนื่องด้วยเป็นช่วงวันหยุดยาว เราก็เลยโทรเรียกพี่วินให้มารับพาไปหามอเตอร์ไซต์ที่ร้านอื่น วันนั้นพี่วินสุดแสนใจดี พาไปถึง 3 ร้านที่เปิดให้เช่า หมดจร้าาาาาาา....ไม่เหลือเลย T_T ต้องรอพรุ่งนี้เช้า เลยให้พี่วินไปส่งที่ถนนคนเดินแทน... พี่วินคิดเรา 80 บาท
ถนนคนเดินค่อนข้างเงียบ เนื่องจากเป็นช่วงไว้ทุกข์ของคนไทย แต่ร้านอาหารก็ยังคึกคักอยู่บ้าง มาสะดุดตาตรงเมนูหมูเสียบต้มในกาละมัง เมนูขึ้นชื่อของพม่า ก็เลยแวะกิน อื้อหืออออออออออ.....เด็ด แปลก มีทุกส่วนของหมูทั้ง 3 ชั้น ลิ้น ใส้ หัวใจ ไม้ละ 1 บาทเอง ชื่อร้านที่ไปกินคือ ร้านมูมู หมูจุ่มพม่า เค้าว่าเจ้านี้อร่อยสุด ถามคนท้องที่มา....
+++กินอิ่มก็เดินเล่น กลับที่พัก หมดไปวันแรกแบบสลบเหมือด+++
หมายเหตุประจำวันที่ 1: ใครอยากซื้อยาหม่องพม่า ทะนาคา แนะนำให้ไปซื้อที่ฝั่งพม่าจะถูกว่า และให้ดูวันหมดอายุให้ดีนะ
ฝากไว้ว่า ตอนมาสะพานมอญ ไม่ต้องรีบซื้ออาหารใส่บาตรก็ได้ ฝั่งมอญมีขายเพรียบเลย มีแบบชุดละ 99 แถมชุดพื้นเมืองให้ใส่ถ่ายรูปด้วย มีเก้าอี้ให้นั่งอีกต่างหาก เรายังเสียดายไม่หาย อดใส่ชุดพื้นเมืองถ่ายรูปกับเค้าเลย เพราะเราไม่รู้ รีบซื้อมาจากฝั่งไทย เดินถือข้ามสะพานมา 400 เมตร ทำให้เป็นอุปสรรคในการถ่ายรูปพอสมควรเลย T_T
ตักบาตรเสร็จเราไม่รอช้ารีบมาติดต่อเรือของฝั่งมอญเพื่อในนั่งชมวัดกลางน้ำ 3 ชนชาติมาบรรจบกัน มีวัดไทย วัดมอญและวัดกระเหรี่ยง เหมาทั้งลำ 2 คนเค้าคิด 500 บาท พาไปดู 3 วัด คนขับเป็นคนมอญใจดีมากๆๆ
พอถึงแต่ละวัดจะมีไกด์มอญตัวน้อย ทำหน้าที่พาทัวร์ และเล่าเรื่องราว ประวัติให้ฟัง แถมยังถ่ายรูปให้อีกด้วย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ โดยก่อนเข้าแต่ละวัด ไกด์บอกว่ามีเคล็ดอยู่ "ก่อนเข้าโบสถ์ พี่จะขอพรได้ 3 ข้อ ให้เอามือแตะที่ผนังโบสถ์"
ข้อที่ 1 ขออนุญาติเข้าโบสถ์
ข้อที่ 2 กับ 3 พี่จะขออะไรก็ได้ พรนั้นจะเป็นจริง!!! (นี่ก็รออยู่นะ ผ่านมาซักพักแล้ว 555)
เริ่มที่วัดแรกวัดมอญ (วัดบ้านเก่า) จุดที่ตั้งของวัดนี้ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า สามประสบ คือมีแม่น้ำ 3 สายมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำบิคลี่ ซองกาเลีย และรันตี อันนี้ฟังจากไกด์ตัวน้อยมา ผิดถูกต้องขออภัย
วัดที่สองวัดไทย (วัดสมเด็จ)
วัดที่สามวัดกระเหรี่ยง (วัดศรีสุวรรณ) ถ้าน้ำลด จะสามารถเดินดูวัดได้เลย แต่ตอนเราไปน้ำขึ้น ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
เสร็จจากชมวัด เราก็ไปหาข้าวช้าวกินกันด้วยความหิวโซ โดยเป็นร้านโจ๊กชาวมอญ รสชาติจะเน้นจืดๆๆให้ปรุงเอง
หนังท้องตึงก็เริ่มหนังตาหย่อน เลยกลับไปนอนเล่นที่บ้านพัก และหาเบอร์โทรเพื่อติดต่อเช่ามอเตอร์ไซต์ และแล้วก็ได้ มีว่างอยู่ 1 คัน เลยต้องเรียกพี่วินคนเดิมให้ไปส่งเอารถอีกรอบ
ได้รถแว๊น ก็เลยไปที่ร้านกาแฟตาม review "Graph Café" เค้าบอกว่าต้องมาให้ได้ โดยพี่วินชี้ให้ดูก่อนได้รถมอเตอร์ไซต์ เราก็หาไปสิ .....อ่าวเฮ้ย พอมาถึงมันไม่ใช่ชื่อร้านนี้ งงอยู่นาน จนมีนักท่องเที่ยวในร้านกำลังเดินออกมา และบอกว่าเป็นร้านนี้แหละ แต่เค้าเปลี่ยนชื่อไป เป็น "KafKafé" ร้านนี้อยู่ตำแหน่งเดียวกับบ้านพักญี่ปุ่นเลย เจ้าของร้านใจดีให้เราเดินชมบ้านพักได้ด้วย โดยเค้าบอกว่าร้านเก่าเค้าเซ้งกิจการไปแล้วไปเปิดที่เชียงใหม่ เค้าเลยต้องเปลี่ยนชื่อร้าน....
แปบๆเที่ยงแล้ว ร้านอาหารที่เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ร้านตำอร่อยสังขละบุรี เป็นร้านห้องแอร์ อยู่ติดธนาคารกรุงไทยเลย ต้องบอกว่าดีงาม เจ้าของมาแนะนำเมนูเอง และที่เด็ดจนลืมไม่ลงก็คือ ส้มตำปูม้าจานละ 160 บาท แต่คุณภาพ 300 บาท ใครมีโอกาสได้ไปลิ้มลอง ต้องไปโดน ปูเป็นปู
อิ่มแล้ว พร้อมแล้ว เป้าหมายต่อไป คือเราจะข้ามเขตแดนไปเที่ยวพม่าที่ด่านเจดีย์ 3 องค์ ได้บัตรลดราคามาจากถนนคนเดินเมื่อคืน ให้ติดต่อ อบต. ต้น (รู้สึกจะมีเจ้าเดียว) หัวละ 300 บาท ก็ลุยยยเลยจร้า แว๊นมอเตอร์ไซต์ไปประมาณ 1 ชั่วโมง ลมเย็นๆๆ ฝนตกรำไร แดดเบาๆๆ มีครบ ระยะทางประมาณประมาณ 20 กิโล กับการขี่มอเตอร์ไซต์ลงเขา ขึ้นเขาครั้งแรกในชีวิต
พอมาถึงก็มาติดต่อที่ อบต ต้น เป็นร้านก่อนเข้าชายแดน และก็รอคนอีก 3 คนรถถึงจะออกได้
ส่วนใหญ่จะเน้นพาไปดูวัด ซึ่งก็จะมีวัดเสา 100 ต้น ที่ทำกำแพงเป็นรูปปั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เด็กมอญเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่ออุตตมะท่านตั้งใจสร้างล้อมรอบ แต่งบไม่พอ เห็นแล้วรู้สึกได้ถึงศรัทธาที่มั่นคงในพระพุทธศาสนาของชาวบ้านแถบนี้มาก
ฝั่งพม่านี่หละ ที่บอกว่าของฝากถูกที่สุด ทั้งครีมทาหน้า ขัดผิว ยาหม่อง ไกด์จะพาไปแหล่งซื้อของก่อนกลับ และ Duty Free
เที่ยวพม่าเสร็จ เราก็แว๊นเพื่อไปสักการะที่วัดหลวงพ่ออุตตมะ วัดวังค์วิเวการาม ที่หมู่บ้านชาวมอญ ก่อนจะถึงก็มาเก็บภาพสวยๆที่สะพานปูนก่อนยามเย็น
ค่ำคืนนี้ฝากท้องที่ถนนคนเดินอีกรอบ...
กินเสร็จก็แวะถ่ายรูปกับสะพานอีกรอบ
และเตรียมตัวเดินทางกลับ โดยขากลับเลือกกลับรถตู้ คนละประมาณ 160 บาท จากสังขละบุรี- บขส กาญจนบุรี
หลับแล้วหลับอีกก็ยังไม่ถึง ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบ 4 ชั่วโมง และเดินทางโดยรถตู้ กาญจนบุรี มาลงที่หมอชิตอีกประมาณ 2.5 ชั่วโมง
สังขละยังเป็นเมืองที่สงบ ผู้คนใช้ชีวิตเรียบง่าย ใจดี ยิ้มแย้ม และยังคงไว้ซึ่งอารยธรรมที่ดีงาม อากาศบริสุทธิ์ มาแล้วเหมือนได้มาปล่อยใจไปตามเวลาอย่างช้าๆ พักผ่อน หลีกหนีจากความวุ่นวาย ว้าวุ่น ก็ได้แต่หวังไว้ลึกๆในใจว่า สังขละบุรีจะไม่เจริญเกินไปทางด้านวัตถุ และยังรักษาความเจริญทางจิตใจนี้ไว้ตลอดไป