หนีตามกาลิเลโอ - คุณกาลิเลโอคะ ตัวเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลใช่ไหมคะ (Spoil)

หากพูดถึงหนังของค่าย GTH ที่เราชื่นชอบก็มีหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่หากจะให้เลือกเรื่องที่ชอบที่สุด เราก็จะเลือกหนังเรื่องนี้ทุกครั้ง นั่นคือ "หนีตามกาลิเลโอ"

เราดูหนังเรื่องนี้ไปหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ดูครั้งแรกในโรงหนัง เราก็ประทับใจเรื่องนี้สุดๆแล้ว แม้ตอนนั้นจะมีกระแสไปในหลากหลายทาง แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนความรู้สึกของผมที่มีต่อหนังเรื่องนี้ได้ และยิ่งพอได้ดูรอบหลังๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบล่าสุดนี้ มันยิ่งตอบย้ำคำตอบเดิมว่า หนังเรื่องนี้ คือหนังของค่าย GTH ที่ผมชอบที่สุด

เราไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้จะเรียกว่าแนว Road Movie ได้ไหม หรือจะเรียกมันว่าแนว Coming of Age ดี แต่ไม่ว่าจะเรียกมันว่าอะไร นี่คือหนังที่เราให้เรารู้สึกร่วมได้มากที่สุดเรื่องหนึ่งเลย เราแปลกใจอยู่หน่อยๆตรงที่ว่า ปกติเรามักจะอินกับเรื่องที่มันสมจริงมากๆ แต่เรื่องนี้กลับแตกต่างออกไป หนังเรื่องมีความเป็นหนังอยู่มากพอสมควรเลย มันไม่ได้เรียลขนาดนั้น แต่เรากลับเชื่อเรื่องที่เค้ากำลังเล่า และรู้สึกร่วมไปกับความสัมพันธ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เราว่าภาพยนตร์เป็นศาสตร์ลี้ลับมากๆ มันไม่เคยมีกฎตายตัวเลยว่า หนังแบบไหนที่เราจะชอบ แบบไหนที่เราจะอิน มันไม่มีแพทเทิร์นในความชอบเลย

เราไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมแบบในหนัง เราไม่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศแบบเชอรี่และนุ่น แต่เรากลับสัมผัสความรู้สึกนั้นได้จากในหนังเรื่องนี้ เรากลับรู้สึกว่าเราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นกับพวกเค้าจริงๆ

ผลงานลำดับที่ 2 ของผู้กำกับ คุณนิธิวัฒน์ ธราธร ซึ่งเราชอบผลงานของเค้าทุกเรื่อง (Seasons Change เป็นหนังที่เราดูรอบแรกแล้วไม่อิน แต่พอดูรอบสองในหลายปีต่อมา กลับชอบมากๆ, คิดถึงวิทยา ก็เป็นเรื่องที่เราชอบเช่นกัน) เราชอบการเล่าเรื่องที่ดูเป็นธรรมชาติ มีการผูกประเด็นบางอย่าง ซึ่งเราคิดว่าทำได้พอดี ไม่มากไม่น้อยไป การกำกับการแสดงที่ถือว่ายอดเยี่ยมมากในหนังเรื่องนี้ เราชอบการเล่าด้วยภาพและบทสนทนา ที่ทิ้งความหมายไว้ให้คิดเอง คล้ายกับการ์ตูนของ อาดาจิ มิซึรุ

"นี่ตื่นเช้าบ่อยป่ะเนี่ย" นุ่นถามพิสิษฐ์
"เฉพาะวันที่อยากตื่น" พิสิษฐ์ตอบ
"เราถามว่าบ่อยไหม" นุ่นเริ่มถามย้ำ
"ไม่บ่อย" พิสิษฐ์จำใจตอบ
"วันนี้ก็ไม่ค่อย" พิสิษฐ์กวนต่อ
"แล้วตื่นทำไม" นุ่นเริ่มถามแบบงอนๆ
"ไม่สวยเหรอ" พิสิษฐ์พูด พร้อมมองไปในท้องฟ้าแสงสวยงามในฉากหลังของหอไอเฟล
"ก็สวยดี" นุ่นเริ่มยอม

เราชอบการถ่ายภาพของหนังเรื่องนี้มาก มันดูมีความเรียล ความดิบบางอย่าง ไม่แน่ใจว่าอาจเป็นเพราะความยากในการไปถ่ายทำที่ต่างประเทศรึเปล่า เราเลยรู้สึกว่าหลายๆฉาก มันดูสมจริงมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากในที่สาธารณะ เราชอบไอเดียการอัดวิดีโอของเชอรี่และนุ่นมากๆ (แม้เราจะรู้สึกว่ามันเป็นการ Tie-in กล้องวิดีโอยี่ห้อนี้ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกขัดอะไร) เราชอบการถ่ายภาพในช่วงที่เชอรี่กับนุ่นโดนตำรวจจับที่สถานีรถไฟใต้ดินในปารีส แล้วทั้งคู่วิ่งหนีออกจากสถานีรถไฟใต้ดิน กล้องถือถ่ายตามตัวละครจนเรารู้สึกว่ากำลังวิ่งหนีไปพร้อมๆกับเค้า และตอนกำลังจะขึ้นจากใต้ดิน ถ่ายเห็นแสงสว่างราวกับความหวังในการหลุดพ้นจากความผิดที่พวกเค้าก่อขึ้น

ดนตรีประกอบเรื่องนี้ทำได้ยอดเยี่ยมมาก รวมไปถึงเพลงประกอบที่เลือกมาได้โดนทุกเพลง ทั้ง "เพลงตังเก" ที่เล่าเรื่องของคนที่ต้องจากบ้านมาไกลได้ดีจริงงๆ หรือสุดยอดเพลงอย่าง "เพลงแค่ได้คิดถึง" ที่เลือกใส่มาในซีนที่เหมาะมากๆ แค่เมโลดี้เพลงนี้ขึ้นมา เราก็รู้สึกโคตรเหงา โคตรคิดถึงแล้ว ทำเอาช่วงนั้นเราน้ำตาซึมไปเลย

การแสดงคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังเรื่องนี้ หากเชอรี่ ไม่ใช่ ต่าย ชุติมา และ นุ่น ไม่ใช่ เต้ย จรินทร์พร เรานึกภาพไม่ออกเลยว่าหนังเรื่องนี้จะมีเสน่ห์ถึงขึ้นนี้ได้อย่างไร รอบแรกๆที่ดูหนังเรื่องนี้ เราคิดว่าต่ายทำได้ดีกว่าเต้ยอยู่หน่อยๆนะอาจจะด้วยบทที่ส่งมากกว่า แต่พอมาดูรอบนี้แล้ว เราเปลี่ยนใจเลย ทั้งคู่ทำได้ดีเท่ากันเลย เต้ยมีจังหวะคมๆอยู่เยอะมากเช่นกัน

ต่าย ชุติมา รับบทเป็น เชอรี่ ตัวละครที่มีความตรงไปตรงมา ชัดเจนในการแสดงออก เป็นคนยอมหักไม่ยอมงอ เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก ภายนอกดูเข้มแข็ง แต่ลึกๆแล้วภายในการเป็นคนที่มีความรู้สึกอ่อนไหวเหมือนผู้หญิงทั่วไป ต่ายเล่นเรืองนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ เราดูแล้วเชื่อว่า เค้าคือเพื่อนสนิทกับนุ่นจริงๆ มีซีนที่ต้องแสดงอารมณ์เยอะมาก และทำได้ดีทุกซีน

เราชอบฉากที่เชอรี่เริ่มทะเลาะกับนุ่นที่ปารีส ตอนที่นุ่นรู้ความจริงว่าเชอรี่ ไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับไว้ แต่ไม่ยอมบอกนุ่น นุ่นเลยโกรธมาก แต่เชอรี่ก็ยังไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด กลับไปบอกว่า เค้าจะกลับหรือไม่กลับ มันก็ไม่เกี่ยวกับนุ่น ซีนนี้ทำได้ดีมาก และสุดยอดซีนสำหรับเรา คือตอนที่เชอรี่เริ่มไปรำไทยที่ร้านอาหาร แล้วเจอเพื่อนเก่า เพื่อนเริ่มเล่าถึงหน้าที่การงานของเพื่อนๆในกลุ่มแต่ละคน ดูเริ่มจะได้งานทำที่ดีทั้งนั้น แต่เชอรี่กลับต้องมาทำงานที่ร้านอาหารที่เมืองนอก เรียนก็ยังไม่จบ จากสีหน้าแววตาที่ดีใจที่ได้เจอเพื่อน กลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกว่าตัวเองดูไร้อนาคต ทั้งที่เป็นคนที่มีความสามารถด้านการออกแบบในระดับที่ได้รางวัลมาแล้ว ต่ายเล่นซีนนี้คมมากๆ รวมไปถึงฉากต่อเนื่องที่เค้าโทรศัพท์ไปหาพ่อแล้วร้องไห้ เรารู้สึกสงสารเธอจับใจเลย รวมไปถึงฉากอัดวิดีโอตอนท้ายเรื่อง เธอเล่นจริงมากๆ เธอต้องการพูดกับนุ่นแบบนั้นจริงๆ

เต้ย จรินทร์พร จากลุคที่เราดูเป็นเด็กวัยรุ่นที่สดใส พอมาเล่นเรื่องนี้ เธอเล่นได้เป็นธรรมชาติสุดๆ ดูเผินๆเหมือนเธอจะได้เล่นเป็นตัวเอง แต่เราคิดว่าบทนี้ยากสำหรับเธอนะ การจะเล่นเป็นตัวละครที่ใกล้เคียงกับตัวจริง เราคิดว่ายากมาก เพราะถ้าแค่อะไรนิดเดียวที่เธอเล่นแตกต่างไปจากตัวจริง มันจะดูออกทันที แต่เต้ยทำได้ครบมากๆ ซีนอารมณ์ที่ทะเลาะกับเชอรี่ ก็ทำได้ดีมาก และซีนน่ารักๆที่เล่นกับเรย์ แมคโดนัลด์ ก็ทำเอาเราเขินไปหลายซีนเลย เราชอบซีนน่ารักๆของเธอ ตอนไปเที่ยวกับเชอรี่ ตอนอยู่ที่อังกฤษ เธอผ่านไปเห็นโบสถ์กลางทุ่งที่สวยมาก จนเชอรี่พูดขึ้นมาว่า "โหยย สวยจังเลยอะ" นุ่นรีบตอบกลับไปว่า "เอ้ย ขอบคุณค่ะ" เชอรี่พูดกลับเสียงเข้มว่า "โบสถ์"

นอกจากที่ต่ายและเต้ยจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ที่ทำให้เราชอบมากขึ้น คือ การที่ทั้ง 2 แสดงด้วยกัน มันเหมือนเพิ่มพลังการแสดงให้ซึ่งกันและกัน ผมเข้าใจเลยว่า การเล่นจากการรับ-ส่งกับคู่เล่น มันคือแบบนี้นี่เอง

ว่ากันว่า "ทุกการเดินทาง จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนคนเดิม" เราว่าก็คงอาจจะจริงตามนั้น

เชอรี่ถูกอาจารย์ปรับให้ติด F เนื่องจาก ปลอมลายเซ็นอาจารย์ เพื่อใช้ห้องเขียนแบบ เพราะวันนั้นอาจารย์ไม่มา และนุ่น ที่อกหักเพราะแฟนบอกเลิก เนื่องจากเธอเริ่มล้ำเส้นชีวิตส่วนตัวของแฟนมากเกินไป ทั้ง 2 ตัดสินใจเดินทางไปทำงานและเที่ยวในยุโรป

ลอนดอน
จุดเริ่มต้นที่ทั้งสองเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง แค่เริ่มต้นก็ต้องเจอปัญหาให้แก้แล้ว ทั้งสองเริ่มหางานทำ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับงานบริการสำหรับคนอย่างเชอรี่ ซึ่งเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่

สิ่งที่ทั้งเชอรี่และนุ่นต้องประสบ มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันไม่ได้สวยงามเหมือนที่พวกเค้าวาดฝันไว้ เชอรี่ยังยึดความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าตัวเองถูกตลอด และโทษคนอื่นทุกครั้ง นุ่นเองก็ยังไม่อาจลืมตั้ม แฟนเก่าของเค้าได้ นุ่นยังแอบดูรูปตั้มในกล้องวิดีโออยู่เลย

เชอรี่และนุ่นต้องแอบทำงานในร้านอาหาร ซึ่งจริงๆตามกฎหมายแล้ว ทั้งคู่ไม่สามารถทำงานได้ ทั้งคู่จึงต้องคอยหลบซ่อนตัวเมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจที่ร้าน แม้เราจะบอกว่า คนไทยที่มาอยู่ที่อังกฤษส่วนใหญ่ก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น นั่นก็เป็นเหตุผลของเรื่องหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเค้ามีความถูกต้องในแง่ของกฎหมายได้ ยังไงก็คือผิด...ก็คิอผิด

ฉากน่ารักในช่วงที่พวกเค้าหยุดงานไปเที่ยวด้วยกัน คือฉากในป่า 100 เอเคอร์ ทั้งคู่เล่นเกมจากทฤษฎีของกาลิเลโอ ที่บอกว่า "ถ้าปล่อยวัตถุชนิดเดียวกัน จากความสูงที่เท่ากัน ถึงน้ำหนักจะต่างกันอะนะ ยังไงก็จะต้องตกถึงพื้นพร้อมกัน" ทั้งคู่จึงเล่นเกมโยนหินลงน้ำ พร้อมถามคำถามคุณกาลิเลโอ ถ้าหินตกลงน้ำพร้อมกัน แสดงว่าคำตอบคือ ใช่
"คุณกาลิเลโอคะ เมื่อคืนไอ้นุ่นอะ แอบร้องไห้คิดถึงบ้านอีกแล้วใช่ไหมคะ"

และที่นี่เองพวกเค้าได้รู้จักกับพี่ทอม คนใต้ที่มาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารในอังกฤษหลายปีแล้ว สิ่งหนึ่งที่เรายังรับรู้ได้เสมอ คือคนไทยเราไม่เคยทิ้งกัน พี่ทอมคอยดูแลช่วยเหลือและแนะนำพวกเค้าทั้ง 2 เสมอ พี่ทอมเองก็รอวันที่จะได้กลับบ้านเมื่อเค้าหาเงินได้ครบตามที่เค้าตั้งใจไว้ เราเชื่อว่าทุกคนที่จากบ้านไปไกล เป้าหมายสุดท้ายของพวกเค้าเหล่านั้น คงมีแค่การได้ "กลับบ้าน" เท่านั้น เพลงตังเกที่พวกเค้าร้องคาราโอเกะกัน คงแทนความรู้สึกคนที่ต้องไกลบ้านได้เป็นอย่างดี วันที่พี่ทอมโดนจับส่งกลับประเทศ เพียงเพราะเค้าคั่วพริกแห้ง เพื่อจะเอาให้เชอรี่กับนุ่นไปทานที่ปารีสด้วย เชอรี่ถึงกับเอ่ยขึ้นมาเมื่อตอนพี่ทอมโดนจับ ว่า "พี่ทอมแมร่งเท่ห์ว่ะ"

ปารีส
แม้ความสัมพันธ์ของคู่เพื่อนสนิทอย่างเชอรี่และนุ่นจะแน่นแฟ้นแค่ไหน แต่การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้ง 2 ต่างมีข้อเสียของตัวเอง เมื่อทั้ง 2 เริ่มแสดงความเป็นตัวเองออกมาเรื่อยๆก็ทำให้ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกัน นุ่นเริ่มทะเลาะกับเชอรี่ เรื่องที่เชอรี่ไม่ยอมบอกนุ่น เรื่องที่เชอรี่ไม่ได้ซื้อตั๋วขากลับมาด้วย แต่เชอรี่ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดอะไร กลับต่อว่านุ่นกลับด้วยว่า มันเกี่ยวอะไรกับนุ่น จะมายุ่งทำไม

ทั้ง 2 เริ่มทะเลาะกันแรงกว่าเดิม นุ่นโมโหเชอรี่ ที่แอบเอาที่อยู่ไปบอกกับตั้ม โดยไม่ได้บอกให้เค้ารู้ จึงเกิดการต่อว่ากันอย่างรุนแรง
"ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดอีก แกก็เป็นซะอย่างเงี้ย แกถึงต้องมาอยู่ที่นี่ไง" นุ่นว่าเชอรี่
"ทีแกอ่ะ ชอบให้พูดตรงๆ พอเอาเข้าจริงอะ ก็รับไม่ได้ ก็เป็นซะอย่างงี้ไง ไอ้ตั้มมันถึงทนแกไม่ไหวอะ" เชอรี่ว่านุ่นกลับ

การรักษาความสัมพันธ์มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ แต่จนแล้วจนรอด มิตรภาพก็จะนำพาให้กลับมาคืนดีกันเสมอ ช่วงที่นุ่นไม่สบายหนัก เชอรี่พยายามไปหาซื้อยามาให้นุ่น แต่เค้าไม่สามารถซื้อยาได้เอง เนื่องจากไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์ ซีนในร้านขายยา เราแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เชอรี่กด Talking Dict ว่า "Please Please Please...." ซ้ำๆอยู่อย่างนั้น แต่กฎมันก็ต้องเป็นกฎแหละ จนในที่สุดเชอรี่ก็ไปขอยามาได้จากคุณป้าที่พักอยู่ชั้นบน ที่ตอนแรกเหมือนจะไม่ถูกกับเชอรี่ ตอนคุณป้าเอายามาให้ เราน้ำตาซึมทันที

หลังจากนุ่นดีขึ้นแล้ว ทั้งคู่ก็เริ่มปรับความเข้าใจกัน
"เป็นไงบ้าง" เชอรี่เริ่มถามนุ่น
"ก็ดีอ่ะ แต่พูดตรงๆนะเว้ย แมร่งเหงา
ชิปหายเลยวะ" นุ่นตอบคำถาม
"เหมือนกัน" เชอรี่พูด
"เอางี้ ต่อไปนี้เราห้ามโกรธกันข้ามวัน
โอเคป่ะ" นุ่นเสนอ

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่