เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 ได้มีโครงการที่ดีประกาศรับสมัคร โครงการ
เดินทางพ่อ : Walk of The King ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการ ที่ชวนเราไปเที่ยว ออกเดินทาง... ไปรู้จักรอยยิ้มที่
ในหลวง สร้างไว้ให้คนไทยรับรู้และบอกต่อเรื่องราวที่ไม่เคยถูกเล่ากับ 5 ผู้สร้างแรงบันดาลใจในโครงการ
เดิน ทาง พ่อ โครงการแรกของกิจกรรม ดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ จัดขึ้นวันที่ 28 - 30 ตุลาคม 2559 แต่อยู่ๆ ก็มีเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดของประเทศเกิดขึ้น... และโครงการนี้ ยังคงดำเนินต่อ เพราะ ทุกคนพร้อมที่จะสานต่อในสิ่งที่พ่อทำไว้ให้พวกเรา
ทริปแรก ดอยอ่างขาง จังหวัด เชียงใหม่ ผู้สร้างแรงบันดาลใจคนแรก อาย กมลเนตร เรืองศรี
วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือ การนำเด็กรุ่นใหม่ เข้ามาศึกษาเรียนรู้และได้มาดูการทรงงานของในหลวงในสมัยที่ทรงเสด็จมาที่อ่างขางเพื่อพลิกฟื้นผืนแผ่นดินให้เป็นที่อยู่ที่ทำกินของชาวเขา กว่าจะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ได้เหมือนทุกวันนี้ท่านทรงงานหนักเพื่อประชาชนของพระองค์ได้อยู่สุขสบายในแผ่นดืนไทย เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมทริปในครั้งนี้ได้ส่งต่อเรื่องราวที่เป็นความรู้และมีประโยชน์ให้กับคนรุ่นเดียวกันหรือคนรุ่นใหม่ได้รับรู้ถึงความยากลำบากในการทรงงานของในหลวงท่าน
= เรื่องเล่าทั้งหมดนี้ เล่าจากประสบการณ์ตรงของผู้ที่ได้ร่วมโครงการ =
- เรื่องราวในวันที่ 1 เวลา 12.00 น. เดินชมสถานีเกษตรอ่างขาง มีพี่วิทยากร พี่มนตรี (พี่เค้าเคยใกล้ชิดกับในหลวง ตอนที่ในหลวงเสด็จมาที่อ่างขาง) คอยเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสถานีเกษตรอ่างขางให้เราฟัง
สืบเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านผักไผ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และได้เสด็จผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่นของประเทศได้
จึงทรงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศหนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลยและสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับพระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาวของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่จากชาวเขาในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอก เมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ต่อมาช่วงเย็นพวกเราก็ได้กางเต็นท์ที่ม่อนสน ก่อนจะลากันไปนอนหรือพักตามอัธยาศัย ก็มานั่งคุยกันในเรื่องราวประจำวัน วันแรก ยังไม่มีอะไรมากเท่าไหร่




เด็กดอยที่สถานีเกษตรอ่างขาง
กางเต็นท์ เตรียมนอนดูดาว

สภาพรองเท้าก่อนเดินกับเดินเสร็จแล้ว
ต่อจากนั้นพวกเราไปกันต่อที่ “บ้านขอบด้ง มีเรื่องเล่าว่า ตอนที่ในหลวงเสด็จมา ท่านได้พระราชทานหมูให้แก่ชาวเขาไว้เลี้ยงในปีแรก พระราชทานไว้ 1 ตัว พอปีที่ 2 ที่ท่านเสด็จมา หมูตัวแรกหายไป ท่านทรงถามว่า หมูหายไปไหน ชาวเขาก็ตอบว่า กินหมูไปแล้ว ทีนี่ในปีที่ 2 ในหลวงได้พระราชทานหมูไว้ให้ 2 ตัว เป็นเพศผู้ 1 ตัว เพศเมีย 1 ตัว เสด็จมาครั้งที่ 3 ทรงถามหาหมูอีก และชาวเขาก็ได้ตอบว่า กินหมูไปอีก ท่านเลยรับสั่งว่า ชาวเขา เค้าไม่เข้าใจที่เราพูดหรือ ชาวเขาที่พอจะพูดภาษาไทยรู้เรื่องก็ได้ตอบในหลวงไปว่า หมูที่ในหลวงพระราชทานให้ เลี้ยงยาก ต้นทุนสูง กินจุมาก ชาวเขาที่นี่เค้าเลี้ยงไม่ไหว ขอเป็น ‘หมูดำ’ ได้ไหม หมูดำ เลี้ยงง่าย ใช้ต้นทุนไม่เยอะมาก จากนั้นในหลวงพระราชทานหมูดำให้ชาวเขาเลี้ยง ในปีต่อมาหมูดำก็ขยายพันธุ์ มีจำนวนมาก เลยเป็นที่มาของหมู ‘คุโรบุตะ’

และที่นี่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องราวที่ประทับใจ เด็กชาวเขามีจำนวนมากซึ่งชาวเขาเหล่านี้มาจากพม่าทั้งนั้น แต่เชือไหม ในหลวงท่านรักทุกคน ทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินไทยของท่าน ท่านทรงฝากคุณครูบนดอยว่า ‘ฉันฝากเด็กชาวเขาเหล่านี้ด้วย ตัวฉันอยู่ไกล ครูดูแลด้วยนะ’ พระราชดำรัสจากในหลวง ในปีพ.ศ. 2535”

ที่สุดท้ายของการเดินทางตามรอยพระบาท “หมู่บ้านนอแล ชาวเขากลุ่มนี้เป็นชาวเขาเผ่า ‘ปะหล่อง’ ในหมู่บ้านเราก็ได้เดินดูวิถีชีวิตของชาวเขา ทำของขาย สานตะกร้า อะไรพวกนี้” หมดกิจกรรมสำหรับวันที่ 2 คืนนี้ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน พี่ๆ ให้แต่ละคนโชว์ภาพที่ตัวเองประทับใจที่สุดของวัน และเล่าว่าทำไมถึงชอบภาพนี้ เราขอยกตัวอย่างภาพที่กมลเนตรชอบแล้วกันนะ กมลเนตรกล่าวว่า ‘ตอนนั้น เรากำลังค้นหาฝากล้อง แต่เราหาไม่เจอ เราก็นึกว่า ตกอยู่ที่ไร่ชาหรือเปล่า เราไม่แน่ใจ พ่อของเราก็เลยวิ่งไปหาให้ แต่เราก็ลองคิดๆ ดู เอ๊ะ! หรือจะอยู่ในกระเป๋าเรานะ ใช่! สุดท้าย ฝากล้องก็อยู่ในกระเป๋าเราเอง แล้วหลังจากนั้นพ่อเราก็วิ่งกลับมา เราเลยถ่ายรูปนี้ไว้ พ่อเราเป็นคนอ้วน อ้วนมาก แต่เราประทับใจที่พ่อเราทุ่มเทวิ่งไปหาฝากล้องให้เรา และพ่อก็ได้มาเดินป่ากับเราด้วย เราได้เดินผ่านมาด้วยกัน ถึงแม้ว่าพ่อจะอ้วนก็ตาม’ เรื่องราวคร่าวๆ ก็ประมาณนี้เท่าที่จำได้นะ 5555 (แต่เราไม่มีรูปเพราะเป็นรูปของกมลเนตร)
กมลเนตร เล่าเรื่องรูปประทับใจ
มีคลิปช่วงการเดินตามรอยพระบาทมาให้ชม จาก Facebook : LowCost Thailand

- เรื่องราวในวันที่ 3 วันสุดท้าย “พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 ฝาง ด้วยพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีพระราชประสงค์จะ “ช่วยชาวเขา ช่วยชาวเรา ช่วยชาวโลก” และทรงต้องการพัฒนาความเป็นอยู่ของพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารให้อยู่ดีกินดี จึงเกิดเป็น “โครงการหลวง” ที่ส่งเสริมให้ราษฎรเพาะปลูกทำการเกษตร จำพวกผักและผลไม้เมืองหนาว แทนการปลูกฝิ่นที่มีมาแต่ดั้งเดิม
นอกจากนั้น ยังมีพระราชดำริให้ก่อสร้าง “โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง)” ขึ้นที่หมู่บ้านยาง ตำบลแม่ งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2515 เพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตรนำมาแปรรูปเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ งอนและดอยอ่างขาง ซึ่งต่อมาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้ารับช่วงการดำเนินงานของโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป จัดตั้งเป็นบริษัทโดยใช้ทะเบียนการค้า “ดอยคำ” ที่เน้นผลิตสินค้าจากผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนสินค้าเกษตรไทย และพัฒนาสินค้าที่มีคุณค่าทางอาหาร เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ จาก "ดอยฝิ่น" สู่ "ดอยคำ" นั่นเอง"
อาย กมลเนตร กับ โครงการ เดินทางพ่อ : Walk of The King ดอยอ่างขาง จังหวัด เชียงใหม่
วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คือ การนำเด็กรุ่นใหม่ เข้ามาศึกษาเรียนรู้และได้มาดูการทรงงานของในหลวงในสมัยที่ทรงเสด็จมาที่อ่างขางเพื่อพลิกฟื้นผืนแผ่นดินให้เป็นที่อยู่ที่ทำกินของชาวเขา กว่าจะเป็นแผ่นดินที่สมบูรณ์ได้เหมือนทุกวันนี้ท่านทรงงานหนักเพื่อประชาชนของพระองค์ได้อยู่สุขสบายในแผ่นดืนไทย เพื่อให้ผู้ที่มาร่วมทริปในครั้งนี้ได้ส่งต่อเรื่องราวที่เป็นความรู้และมีประโยชน์ให้กับคนรุ่นเดียวกันหรือคนรุ่นใหม่ได้รับรู้ถึงความยากลำบากในการทรงงานของในหลวงท่าน
ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่หมู่บ้านผักไผ่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และได้เสด็จผ่านบริเวณดอยอ่างขาง ทรงทอดพระเนตรเห็นว่าชาวเขาส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ทำการปลูกฝิ่นแต่ยังยากจน ทั้งยังทำลายทรัพยากรป่าไม้ต้นน้ำลำธารที่เป็นแหล่งสำคัญต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อส่วนอื่นของประเทศได้
จึงทรงมีพระราชดำริว่าพื้นที่นี้มีภูมิอากาศหนาวเย็น มีการปลูกฝิ่นมาก ไม่มีป่าไม้อยู่เลยและสภาพพื้นที่ไม่ลาดชันนัก ประกอบกับพระองค์ทรงทราบว่าชาวเขาได้เงินจากฝิ่นเท่ากับที่ได้จากการปลูกท้อพื้นเมือง และทรงทราบว่าที่สถานีทดลองไม้ผลเมืองหนาวของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ทดลองวิธีติดตา ต่อกิ่งกับท้อฝรั่ง จึงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและไร่จากชาวเขาในบริเวณดอยอ่างขางส่วนหนึ่ง จากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ตั้งโครงการหลวงขึ้นเป็นโครงการส่วนพระองค์ เมื่อ พ.ศ. 2512 โดยทรงแต่งตั้งให้ หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการในตำแหน่งประธานมูลนิธิโครงการหลวง ใช้เป็นสถานีวิจัยและทดลองปลูกพืชเมืองหนาวชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไม้ผล ผัก ไม้ดอก เมืองหนาว เพื่อเป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรชาวเขาในการนำพืชเหล่านี้มาเพาะปลูกเป็นอาชีพ ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามว่า “สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ต่อมาช่วงเย็นพวกเราก็ได้กางเต็นท์ที่ม่อนสน ก่อนจะลากันไปนอนหรือพักตามอัธยาศัย ก็มานั่งคุยกันในเรื่องราวประจำวัน วันแรก ยังไม่มีอะไรมากเท่าไหร่
นอกจากนั้น ยังมีพระราชดำริให้ก่อสร้าง “โรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปที่ 1 (ฝาง)” ขึ้นที่หมู่บ้านยาง ตำบลแม่ งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ในปี 2515 เพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตรนำมาแปรรูปเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและยกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ งอนและดอยอ่างขาง ซึ่งต่อมาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้ารับช่วงการดำเนินงานของโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป จัดตั้งเป็นบริษัทโดยใช้ทะเบียนการค้า “ดอยคำ” ที่เน้นผลิตสินค้าจากผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนสินค้าเกษตรไทย และพัฒนาสินค้าที่มีคุณค่าทางอาหาร เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ จาก "ดอยฝิ่น" สู่ "ดอยคำ" นั่นเอง"