สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับการ ทำนาดำ 20 ไร่ (พื้นที่ อ.ปลาปาก จ.นครพนม)
1 .ค่าไถเตรียมดินสำหรับหว่านกล้า
- หว่านกล้าประมาณ 1 ไร่ (ไถดะ+ไถแปร) ไร่ละ 300 บาท = 600 บาท
2 .ค่าไถสำหรับนาดำ
- ไถแปรหรือตีดิน (ไถรอบเดียวเพื่อลดต้นทุน) ไร่ละ 300 บาท = 300x20 = 6,000 บาท
3 .ค่าจ้างดำนา
- ใช้คน 20 คน 2 วัน (ค่าแรงวันละ 300 บาท) = 20x2x300 = 12,000 บาท
4 .ค่าดูแลประมาณ 4 เดือน ไม่คิดใช้แรงงานคนในครอบครัว = 0 บาท
5 .ค่าปุ๋ย
- ปุ๋ยคอก 200 กระสอบ 3 ปีใส่ 1 ครั้ง = 200x35/3 = 2,333 บาท/ปี
- ปุ๋ยเคมี
46-0-0 5 กระสอบ 900 บาท/กระสอบ = 900x5 = 4,500 บาท
16-16-8 5 กระสอบ 1100 บาท/กระสอบ = 1100x5 = 5,500 บาท
6 .ค่าเกี่ยวใช้รถเกี่ยว ไร่ละ 700 บาท = 700x20 = 14,000 บาท
ค่าขนไปขายที่ลาน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ยังไม่รวม
รวมต้นทุน = 44,933 บาท
2,247 บาท/ไร่
ผลผลิต
ข้าวหอมมะลิ เกี่ยวแล้วขายเลยคิดเป็นน้ำหนักสด ประมาณ 330 กิโลกรัม/ไร่
ผลผลิต 20 ไร่ = 20x330 =6600 กิโลกรัม = 6.6 ตัน
ราคารับซื้อ 12000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% ขายได้เงิน 59,400 บาท 2,970 บาท/ไร่
ราคารับซื้อ 10000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% ขายได้เงิน 49,500 บาท 2,475 บาท/ไร่
ราคารับซื้อ 8000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% 39,600 บาท 1,980 บาท/ไร่
ราคารับซื้อ 6000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% 29,700 บาท 1,485 บาท/ไร่
สรุปปีนี้ถ้าราคารับซื้อต่ำกว่า 10000 บาท/ตัน ผมจะขาดทุน
***ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้วยกเว้น ค่ารถเกี่ยวและปริมาณผลผลิตที่เป็นการประมาณการ
โดยอ้างอิงข้อมูลปีที่แล้ว นาผมไม่เคยใช้สารเคมีอื่น นอกจากปุ๋ยเคมี ต้นทุนจริงอาจสูงกว่านี้เนื่องจากยังไม่ได้คิด
ค่าแรงงานค่าเดินทางของตัวเองและค่าอื่นๆ ภายในครอบครัวเนื่องจากผมถือว่าเป็นค่าดำเนินชีวิตในแต่ละวันอยู่แล้ว
1 .ค่าไถเตรียมดินสำหรับหว่านกล้า
- หว่านกล้าประมาณ 1 ไร่ (ไถดะ+ไถแปร) ไร่ละ 300 บาท = 600 บาท
2 .ค่าไถสำหรับนาดำ
- ไถแปรหรือตีดิน (ไถรอบเดียวเพื่อลดต้นทุน) ไร่ละ 300 บาท = 300x20 = 6,000 บาท
3 .ค่าจ้างดำนา
- ใช้คน 20 คน 2 วัน (ค่าแรงวันละ 300 บาท) = 20x2x300 = 12,000 บาท
4 .ค่าดูแลประมาณ 4 เดือน ไม่คิดใช้แรงงานคนในครอบครัว = 0 บาท
5 .ค่าปุ๋ย
- ปุ๋ยคอก 200 กระสอบ 3 ปีใส่ 1 ครั้ง = 200x35/3 = 2,333 บาท/ปี
- ปุ๋ยเคมี
46-0-0 5 กระสอบ 900 บาท/กระสอบ = 900x5 = 4,500 บาท
16-16-8 5 กระสอบ 1100 บาท/กระสอบ = 1100x5 = 5,500 บาท
6 .ค่าเกี่ยวใช้รถเกี่ยว ไร่ละ 700 บาท = 700x20 = 14,000 บาท
ค่าขนไปขายที่ลาน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ยังไม่รวม
รวมต้นทุน = 44,933 บาท
2,247 บาท/ไร่
ผลผลิต
ข้าวหอมมะลิ เกี่ยวแล้วขายเลยคิดเป็นน้ำหนักสด ประมาณ 330 กิโลกรัม/ไร่
ผลผลิต 20 ไร่ = 20x330 =6600 กิโลกรัม = 6.6 ตัน
ราคารับซื้อ 12000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% ขายได้เงิน 59,400 บาท 2,970 บาท/ไร่
ราคารับซื้อ 10000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% ขายได้เงิน 49,500 บาท 2,475 บาท/ไร่
ราคารับซื้อ 8000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% 39,600 บาท 1,980 บาท/ไร่
ราคารับซื้อ 6000 บาท/ตัน หักความชื้น 25% 29,700 บาท 1,485 บาท/ไร่
สรุปปีนี้ถ้าราคารับซื้อต่ำกว่า 10000 บาท/ตัน ผมจะขาดทุน
***ค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้นแล้วยกเว้น ค่ารถเกี่ยวและปริมาณผลผลิตที่เป็นการประมาณการ
โดยอ้างอิงข้อมูลปีที่แล้ว นาผมไม่เคยใช้สารเคมีอื่น นอกจากปุ๋ยเคมี ต้นทุนจริงอาจสูงกว่านี้เนื่องจากยังไม่ได้คิด
ค่าแรงงานค่าเดินทางของตัวเองและค่าอื่นๆ ภายในครอบครัวเนื่องจากผมถือว่าเป็นค่าดำเนินชีวิตในแต่ละวันอยู่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 18
ทางออกที่ดีที่สุดทางหนึ่ง คือการทำเกษตรโซนนิ่ง
โซนนิ่งที่ว่าเราต้องดูทั้งต้นน้ำและปลายน้ำให้เห็นภาพรวมทั้งประเทศ ว่าพื้นที่ไหนควรปลูกอะไรบ้างที่ให้ผลตอบแทนดี การขนส่งสะดวก รวมถึงเรื่องการตลาด ว่าทั้งประเทศมีปริมาณการบริโภคเท่าไหร่ มีปริมาณการส่งออกเท่าไหร่ และแนวโน้มการบริโภคมีทิศทางเปนอย่างไร เพื่อที่จะได้วางแผนการแผนการผลิตให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว
แต่การเกษตรรูปแบบดังกล่าว ใจต้องได้ วินัยต้องได้ ให้ผลิตเท่านั้นต้องผลิตเท่านั้น ให้ขายเวลานี้ต้องขายเวลานี้ ใก้ขายราคานี้ก็ต้องขายราคานี้ อาจจะฟังดูไม่ค่อยเสรีเท่าไหร่ แต่ผลที่ได้ มันยั่งยืนมากกว่าแน่นอนครับ
กับอีกประเด็น ผู้ที่จะเข้ามาจัดการตรงส่วนต่างๆของกระบวนการต้องจริงใจต้องโปร่งใสจริงๆครับ
จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับสองปัจจัยนี้
เดนมาร์ค พื้นตัวจากประเทศล้มละลาย ด้วยนโยบายการเกษตรแบบโซนนิ่ง ทั้งพืชและปศุสัตว์จะใช้ระบบเดียวกันผ่านสหกรณ์ จนกลายเปนประเทศที่มั่งคั่งที่สุดทั้งทางด้านเงินตราและความสุข
โซนนิ่งที่ว่าเราต้องดูทั้งต้นน้ำและปลายน้ำให้เห็นภาพรวมทั้งประเทศ ว่าพื้นที่ไหนควรปลูกอะไรบ้างที่ให้ผลตอบแทนดี การขนส่งสะดวก รวมถึงเรื่องการตลาด ว่าทั้งประเทศมีปริมาณการบริโภคเท่าไหร่ มีปริมาณการส่งออกเท่าไหร่ และแนวโน้มการบริโภคมีทิศทางเปนอย่างไร เพื่อที่จะได้วางแผนการแผนการผลิตให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว
แต่การเกษตรรูปแบบดังกล่าว ใจต้องได้ วินัยต้องได้ ให้ผลิตเท่านั้นต้องผลิตเท่านั้น ให้ขายเวลานี้ต้องขายเวลานี้ ใก้ขายราคานี้ก็ต้องขายราคานี้ อาจจะฟังดูไม่ค่อยเสรีเท่าไหร่ แต่ผลที่ได้ มันยั่งยืนมากกว่าแน่นอนครับ
กับอีกประเด็น ผู้ที่จะเข้ามาจัดการตรงส่วนต่างๆของกระบวนการต้องจริงใจต้องโปร่งใสจริงๆครับ
จะสำเร็จหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับสองปัจจัยนี้
เดนมาร์ค พื้นตัวจากประเทศล้มละลาย ด้วยนโยบายการเกษตรแบบโซนนิ่ง ทั้งพืชและปศุสัตว์จะใช้ระบบเดียวกันผ่านสหกรณ์ จนกลายเปนประเทศที่มั่งคั่งที่สุดทั้งทางด้านเงินตราและความสุข
ความคิดเห็นที่ 24
เอาข้อความหลังไมค์ ที่คุยกับสมาชิกท่านนงไว้ มาแปะเลยละกัน ข้อความอาจจะผิดบ้าง คงพออ่านเข้าใจนะครับ
............................
ดินตรงนั้น แถวบ้านผม มันเป็น ปากปล่องภูเขาไฟเก่าครับ เจอรอยเท้าไดโนเสาร์ด้วยนะ
การทำนาบ้านผม จะใช้วิธีพักดิน สลับดินปลูก
เช่น
ห้าแปลงนี้ ลงข้าวหนัก ถัดไปอีก ห้าแปลง เป็นข้าวกลาง และเบา ตามลำดับ
ปีถัดไป จะสลับที่กันครับ
และวิธีปลูกข้าวเหนียว และข้าวจ้าวให้ดี อย่าเอา ข้าว ที่ตั้งท้องพร้อมกัน มาปลูกใกล้กัน จะใช้วิธี เอาข้าวหนักมาคั่นกลางไว้ครับ ข้าวจ้าวจะเป็นข้าวกลาง คือ สุกก่อนข้าวเหนียวดอ (ข้าวเบา) แต่สุกก่อนข้าวเหนียวกข. (ข้าวหนัก)
ดินจะมีเวลาพักฟื้น นานขึ้น
ถ้าแปลงไหน ใกล้แหล่งน้ำ จะมการลงพืช ชนิดอื่น หลังจากเก็บเกี่ยว แล้ว สักเดือน หรือ สอเดือน เช่น ปลูกถั่วลิสง ยาสูบ หรือข้าวโพด ทำให้รายได้ ไม่หยุดชะงัก
การเก็บเกี่ยว เราจะใช้คนเกี่ยว นาดำ เกี่ยวง่าย เกี่ยวกองไว้บนยอดซัง กองละ 10 - 15 กำ แผ่ ตากแดด ไว้ 1-2 แล้วเอาตอกมามัด เป็นฟ่อนๆ
สมัยก่อนใช้คนนวด ตี ด้วยไม้ไผ้ ที่เอา ไม้สองอัน มาผูกโยงด้วยเชือก เหลือช่องว่างเป็นเือก ราวๆ 10 - 15 ซมใ เอาไว้ รัดหัวฟ่อนข้าว แล้ว ตี ฟาดลงลานดิน ที่ปูด้วย ตาข่ายเขียวหรือฟ้า
สมัยถัดมา เราใช้ ถังสองลิตร พ่วงรถไถนาเดินตาม ปั่น ทุกวันนี้ ใช้รถสี โดยโยน ฟ่อนข้าว เข้าไปในรถ ไหลออกมาเป็นเมล็ดข้าวเปลือก
ข้าวเราเลยไม่มีปัญหา เรื่องความชื้น
ถ้าเกิดปัญหา ข้าวไม่ได้ราคา เราก็จะทะยอยขาย โดยการเก็บไว้มียุ้งฉาง บ้านใคร บ้านมัน และ ยังมี ฉางข้าว ประจำหมุ่บ้าน ที่เราจะเอาไปฝาก รวมๆกันไว้เป็นเหมือนกองทุน (ทำมาตั้งแต่ สามสิบปีก่อนแล้ว ทุกวันนี้ บางบ้านก็ไม่ทำแล้ว) เหมือนเป็นการจำนำข้าวนั่นแหละ คือ ใครมีเยอะเอาไปไว้เยอะ ก็สามารถ กู้เงินกองทุนได้เยอะ คิดตามปริมาณหุ้น(ข้าว) พอครบรอบบัญชี กรรมการ ก็จะทำการขายข้าว และปันผลให้คนที่เอาข้าวมาฝาก ส่วนเงินต้น ก็เข้าบัญชีกองทุน ปีต่อไป เราก็เอาข้าวไปฝากใหม่ หรือใครจะถอนหมดก็ตามแต่
บ้านผมมียุ้งเสา 12 ต้น ขนาด ช่องเสา 3 เมตร แต่ทั่วๆไปเขาทำ กันตามข้าวที่ตัวเองมีก็ ประมาณเสา 4 ต้น กว้าง ยาว อาจจะ สาม คูณ สาม หรือ สี่ คูณสี่ แบ่ง สองห้อง ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว
เราไม่ขายหมด จะแบ่งไว้กิน และ เหลือเผื่อไว้ปีหน้านิดหน่อย กรณี ฝนแล้ง
ปีไหน เรามองดูแล้ว ผลผลิต น้อยกว่าปกติ ช่วง เก็บเกี่วเสร็จ พักดินแล้ว ประมาณ กุมภา เมษา เราจะเอา ขี้วัว ข้ควาย หรือ ขี้ไก่ ไปกองๆ ตาม ทุ่งนา สัก ปลายเมษา ต้นพฤษภา เราก็ จะไถกลบ ทั้งปุ๋ย ทั้งหญ้า รอ น้ำมา เราก็จะขังน้ำไว้ พอเราตกกล้าพันธ์ เสร็จ ปุ๋ยกับหญ้า ก็เน่าได้ที่ หญ้าไม่มีแล้ว ดินก็ดี ขึ้น
ที่นาแถวบ้าน จะไม่ทำเหมือนภาคกลาง
แปลงไหน ควรทำใหญ่ก็ใหญ่ แต่ส่วนมาก ก็ราว 6 x 10 เมตร ประมาณนี้ และทำเป็นระดับ อันใน ลุ่ม น้ำท่วมบ่อยก็ ดันจากแปลง ที่น้ำไม่ถึง ลงมาใส่ แต่ไม่ทำเสมอกันทุกแปลง เพราะ เวลา เราดำนาแล้ว ข้าวแตกกอ เราต้อง ปล่อยน้ำทิ้ง ถ้าน้ำเยอะ ไม่งั้น เราต้องเสียเงิน เติมน้ำมัน สูบน้ำออก แต่ถ้าเราทำแบบนี้ ไม่ต้องเสียเงิน สูบน้ำออก แค่ สูบตอนน้ำ ไม่พอ ดำนา หรือ ตกกล้าพันธ์ แค่นั้น
ถ้าเรา รู้จักวางแปลน วางผัง วางแผน ก็ลด ต้นทุนไปได้มากมายเลย นะครับ
ทำนาแบบพอเพียง หลักการของเรา ตรงไหน ควรใช้เครื่องจักรก็เอาเครื่อง ตรงไหน คนทำได้ ก็เอาคนทำ
หญ้า เราจะเริ่มถอน ตอนดำนาแล้ว ราวๆ15 วัน เพราะหญ้า กับ ต้นกล้า จะได้ปุ๋ย แล้วมันจะเริ่มแตกยอด แข่งกัน ต้องรีบเอาออก ตอนนั้น เดินวันละ 3-4 ชม. ถอนๆไป เดือนนึง ข้าวแตกกอพอดี หญ้าก็น้อยแล้วครับ พอข้าวแตกกอ แน่น หญ้า ก็ตายหมดเอง เพราะ ไม่มีแสงแดด ส่อง
ที่ขาดทุนกันเพราะพึ่งแต่เครื่องจักร ไม่ยอมเหนื่อย ทำนา จะเอาแต่สบายตัวเอง จ้างอย่างเดียว ก็แบบนี้แหละครับ
........
............................
ดินตรงนั้น แถวบ้านผม มันเป็น ปากปล่องภูเขาไฟเก่าครับ เจอรอยเท้าไดโนเสาร์ด้วยนะ
การทำนาบ้านผม จะใช้วิธีพักดิน สลับดินปลูก
เช่น
ห้าแปลงนี้ ลงข้าวหนัก ถัดไปอีก ห้าแปลง เป็นข้าวกลาง และเบา ตามลำดับ
ปีถัดไป จะสลับที่กันครับ
และวิธีปลูกข้าวเหนียว และข้าวจ้าวให้ดี อย่าเอา ข้าว ที่ตั้งท้องพร้อมกัน มาปลูกใกล้กัน จะใช้วิธี เอาข้าวหนักมาคั่นกลางไว้ครับ ข้าวจ้าวจะเป็นข้าวกลาง คือ สุกก่อนข้าวเหนียวดอ (ข้าวเบา) แต่สุกก่อนข้าวเหนียวกข. (ข้าวหนัก)
ดินจะมีเวลาพักฟื้น นานขึ้น
ถ้าแปลงไหน ใกล้แหล่งน้ำ จะมการลงพืช ชนิดอื่น หลังจากเก็บเกี่ยว แล้ว สักเดือน หรือ สอเดือน เช่น ปลูกถั่วลิสง ยาสูบ หรือข้าวโพด ทำให้รายได้ ไม่หยุดชะงัก
การเก็บเกี่ยว เราจะใช้คนเกี่ยว นาดำ เกี่ยวง่าย เกี่ยวกองไว้บนยอดซัง กองละ 10 - 15 กำ แผ่ ตากแดด ไว้ 1-2 แล้วเอาตอกมามัด เป็นฟ่อนๆ
สมัยก่อนใช้คนนวด ตี ด้วยไม้ไผ้ ที่เอา ไม้สองอัน มาผูกโยงด้วยเชือก เหลือช่องว่างเป็นเือก ราวๆ 10 - 15 ซมใ เอาไว้ รัดหัวฟ่อนข้าว แล้ว ตี ฟาดลงลานดิน ที่ปูด้วย ตาข่ายเขียวหรือฟ้า
สมัยถัดมา เราใช้ ถังสองลิตร พ่วงรถไถนาเดินตาม ปั่น ทุกวันนี้ ใช้รถสี โดยโยน ฟ่อนข้าว เข้าไปในรถ ไหลออกมาเป็นเมล็ดข้าวเปลือก
ข้าวเราเลยไม่มีปัญหา เรื่องความชื้น
ถ้าเกิดปัญหา ข้าวไม่ได้ราคา เราก็จะทะยอยขาย โดยการเก็บไว้มียุ้งฉาง บ้านใคร บ้านมัน และ ยังมี ฉางข้าว ประจำหมุ่บ้าน ที่เราจะเอาไปฝาก รวมๆกันไว้เป็นเหมือนกองทุน (ทำมาตั้งแต่ สามสิบปีก่อนแล้ว ทุกวันนี้ บางบ้านก็ไม่ทำแล้ว) เหมือนเป็นการจำนำข้าวนั่นแหละ คือ ใครมีเยอะเอาไปไว้เยอะ ก็สามารถ กู้เงินกองทุนได้เยอะ คิดตามปริมาณหุ้น(ข้าว) พอครบรอบบัญชี กรรมการ ก็จะทำการขายข้าว และปันผลให้คนที่เอาข้าวมาฝาก ส่วนเงินต้น ก็เข้าบัญชีกองทุน ปีต่อไป เราก็เอาข้าวไปฝากใหม่ หรือใครจะถอนหมดก็ตามแต่
บ้านผมมียุ้งเสา 12 ต้น ขนาด ช่องเสา 3 เมตร แต่ทั่วๆไปเขาทำ กันตามข้าวที่ตัวเองมีก็ ประมาณเสา 4 ต้น กว้าง ยาว อาจจะ สาม คูณ สาม หรือ สี่ คูณสี่ แบ่ง สองห้อง ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว
เราไม่ขายหมด จะแบ่งไว้กิน และ เหลือเผื่อไว้ปีหน้านิดหน่อย กรณี ฝนแล้ง
ปีไหน เรามองดูแล้ว ผลผลิต น้อยกว่าปกติ ช่วง เก็บเกี่วเสร็จ พักดินแล้ว ประมาณ กุมภา เมษา เราจะเอา ขี้วัว ข้ควาย หรือ ขี้ไก่ ไปกองๆ ตาม ทุ่งนา สัก ปลายเมษา ต้นพฤษภา เราก็ จะไถกลบ ทั้งปุ๋ย ทั้งหญ้า รอ น้ำมา เราก็จะขังน้ำไว้ พอเราตกกล้าพันธ์ เสร็จ ปุ๋ยกับหญ้า ก็เน่าได้ที่ หญ้าไม่มีแล้ว ดินก็ดี ขึ้น
ที่นาแถวบ้าน จะไม่ทำเหมือนภาคกลาง
แปลงไหน ควรทำใหญ่ก็ใหญ่ แต่ส่วนมาก ก็ราว 6 x 10 เมตร ประมาณนี้ และทำเป็นระดับ อันใน ลุ่ม น้ำท่วมบ่อยก็ ดันจากแปลง ที่น้ำไม่ถึง ลงมาใส่ แต่ไม่ทำเสมอกันทุกแปลง เพราะ เวลา เราดำนาแล้ว ข้าวแตกกอ เราต้อง ปล่อยน้ำทิ้ง ถ้าน้ำเยอะ ไม่งั้น เราต้องเสียเงิน เติมน้ำมัน สูบน้ำออก แต่ถ้าเราทำแบบนี้ ไม่ต้องเสียเงิน สูบน้ำออก แค่ สูบตอนน้ำ ไม่พอ ดำนา หรือ ตกกล้าพันธ์ แค่นั้น
ถ้าเรา รู้จักวางแปลน วางผัง วางแผน ก็ลด ต้นทุนไปได้มากมายเลย นะครับ
ทำนาแบบพอเพียง หลักการของเรา ตรงไหน ควรใช้เครื่องจักรก็เอาเครื่อง ตรงไหน คนทำได้ ก็เอาคนทำ
หญ้า เราจะเริ่มถอน ตอนดำนาแล้ว ราวๆ15 วัน เพราะหญ้า กับ ต้นกล้า จะได้ปุ๋ย แล้วมันจะเริ่มแตกยอด แข่งกัน ต้องรีบเอาออก ตอนนั้น เดินวันละ 3-4 ชม. ถอนๆไป เดือนนึง ข้าวแตกกอพอดี หญ้าก็น้อยแล้วครับ พอข้าวแตกกอ แน่น หญ้า ก็ตายหมดเอง เพราะ ไม่มีแสงแดด ส่อง
ที่ขาดทุนกันเพราะพึ่งแต่เครื่องจักร ไม่ยอมเหนื่อย ทำนา จะเอาแต่สบายตัวเอง จ้างอย่างเดียว ก็แบบนี้แหละครับ
........
แสดงความคิดเห็น
ผมว่าตอนนี้ได้เวลา "ปฏิรูป เกษตรกรรมไทย" ทั้งข้าว ข้าวโพด ผลไม้ ฯลฯ
ถ้าเป็นผมนะ ผมอยากเห็นตัวเลข ต้นทุนต่างๆ ในการปลูกข้าว เช่น ค่าเช่าที่ ค่าปุ๋ย ค่าดุแล และ รายได้จากการขาย มาเทียบ ใครพอมีมั้ยครับ
ทำไมขาดทุน แล้วถ้าขาดทุนยังฝืนทำ เพราะ ไม่มีอาชีพอื่นทำ อันนี้ต้องปฏิรูป แบบจีน ที่จัดการ เหล็กกับ ถ่านหิน ส่วนเกิน ให้ได้ แล้วราคาจะดีขึ้น ผู้ผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าไม่ยอมเปลี่ยน รัฐต้องส่งคนไปช่วย
ขอไม่แทกห้อง ราชดำเนิน