Retro Review : Back to the Future : ย้อนอดีต กลับอนาคต



ฺBack to the Future (1985)
Directed By Robert Zemeckis
Written By Robert Zemeckis and Bob Gale

ฺBy มาร์ตี้ แม็คฟลาย
หมายเหตุ บทความนี้เปิดเผยถึงเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์

ในยุคต้นกำเนิดหนังบล็อกบัสเตอร์อันรุ่งเรืองที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยมีหนังที่เป็นหัวเรือใหญ่ในยุคนั้นอย่าง Jaws ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก ตามมาด้วย Raiders of the Lost Ark และ Star Wars ของ จอร์จ ลูคัส ที่เป็นต้นกำเนิดไตรภาค รวมถึงภาคต่อหนังหลายต่อหลายเรื่องที่มีมูลค่ามหาศาลมากมายจนถึงปัจจุบัน มีภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องหนี่งที่เป็นหนึ่งในตำนานหนังไตรภาคที่เริ่มต้นในปี 1985 และเป็นหนังเรื่องแรก ๆที่เล่าเรื่อง ไทม์แมชชีน (เครื่องย้อนเวลา) และการเดินทางข้ามเวลาแบบจริงจัง หากแต่หนังไม่ได้เล่าในรูปแบบหนังไซไฟแอ็คชั่นหรือแฝงปรัชญาขั้นสูงใด ๆ แต่กลับเล่าออกมาเป็นหนังวัยรุ่น Pop culture ที่เน้นความคอมเมดี้ ผจญภัย และโรแมนติกแทน นั้นคือเรื่อง Back to the Future

หนังเล่าเรื่องในปี 1985 ในเมืองฮิลล์วัลเลย์ แคลิฟอร์เนีย มาร์ตี้ แม็คฟลาย หนุ่มวัยรุ่นที่มีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง ศาสตราจารย์ ดร.เอ็มเมตต์ บราวน์ หรือที่มาร์ตี้เรียกว่า ด็อก ที่ในวันหนึ่งด็อกเตอร์สามารถสร้างเครื่องย้อนเวลาได้สำเร็จ ซึ่งก็คือในภาพจำของหนังคือ รถเดอลอรีน นั้นเอง แต่ในการที่เครื่องไทม์แมชชีนจะทำงานได้จำเป็นต้องใช้พลังงานสูงมากที่ตามปกติแล้วไม่สามารถหาได้ ด็อกจึงไปขโมยพลังงานพลูโตเนียมพลังงานที่ก่อให้ปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดพลังงาน 1.21 จิ๊กกะวัตต์ ที่ตัวด็อกได้ไปขโมยมาจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวลิเบีย เรื่องเกิดในระหว่างที่ด็อกและมาร์ตี้กำลังทดลองเครื่องไทม์แมชชีนเมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายขับรถเข้ามาเพื่อจะสังหารด็อกเตอร์ ที่ไปขโมยพูลโตเนียมของพวกมันมา ในขณะที่มาร์ตี้กำลังหนีโดยการขับรถเดอลอรีน เครื่องไทม์แมชชีนก็ทำงานและพามาร์ตี้ย้อนเวลากลับไปในปี 1955

ในปี 1955 เป็นยุคที่พ่อและแม่ของเขายังคงเป็นวัยรุ่นและยังไม่ได้รู้จักกัน เมื่อมาร์ตี้ได้ไปถึง เขากลับไปทำให้เส้นเรื่องเวลาในอดีตผิดเพี้ยนไปด้วยการไปชัดขวางการพบกันของพ่อและแม่ตัวเอง และแทนที่แม่ของมาร์ตี้จะต้องชอบกับพ่อของมาร์ตี้ในเหตุการณ์หนึ่ง แม่ของมาร์ตี้กลับมาชอบมาร์ตี้แทน ซึ่งทำให้เกิดความผิดปกติในเส้นเรื่องของเวลา เพราะหากพ่อแม่ไม่ได้รักกัน ตัวมาร์ตี้เองก็จะไม่ได้เกิดมา นั้นทำให้สิ่งที่มาร์ตี้ต้องทำคือ ไปหาด็อกเตอร์ที่มีชีวิตอยู่ในปี 1955 เพื่อหาทางทำให้เครื่องไทม์แมชชีนทำงานได้และส่งเขากลับไปในปี 1985 นอกจากนั้น มาร์ตี้ยังต้องทำให้พ่อกับแม่เขารักกันก่อน มิฉะนั้นตัวเขาจะหายไปเสมือนไม่เคยมีตัวตน ก่อนที่จะกลับไปอนาคตได้


เรื่องราวที่ผสานหลายหลากแนวภาพยนตร์อย่างชาญฉลาด
ตามที่ได้ทราบข้อมูลว่าจุดเริ่มต้นของหนังเริ่มมาจากที่ บ็อบ เกล ฉุกคิดขึ้นมาว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเขาและพ่อของเขาได้เป็นเพื่อนกันและเรียนไฮสคูลด้วยกัน จากการที่เขาได้ไปเยี่ยมพ่อที่บ้านและพบหนังสือรุ่นของพ่อตัวเอง จึงนำไปเล่าให้ โรเบิร์ต เซเมกคิส (ผู้เขียนบทร่วมและผู้กำกับหนังเรื่องนี้) ให้ฟัง ก็พบว่าเซเมกคิสก็มีแนวคิดเกี่ยวกับแม่ของตัวเองที่เคยบอกเขาว่า แม่ไม่เคยจูบกับใครเลยสมัยไฮสคูล ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น (ฮา) ทั้งสองคนจึงเริ่มเขียนบทหนังเรื่องนี้ด้วยกัน

ผลคือทั้งสองได้ผสานแนวภาพยนตร์ บวกกับเรื่องราวชวนหัวที่น่าสนใจมาก เช่นในเรื่องความรักของพ่อแม่ มุกตลกต่าง ๆที่เสียดสีบุคคลสำคัญตามเส้นเรื่องเวลา เช่น มุกถนนจอห์น เอฟ เคนเนดี้ ในปี 1955 (ที่ในตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก จอห์น เอฟ เคนเนดี้) มุกประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ที่บอกใครในช่วงปี 1955 ก็หัวเราะแล้วบอกว่า ดาราหนังน่ะเรอะ (ในปี 1955 เรแกนยังคงเป็นดาราหนังที่ไร้วี่แววว่าจะเป็นประธานาธิบดีได้ในอนาคต)

และมุกเด็ดคือการที่มาร์ตี้ได้พบกับพ่อแม่ของตัวเองในตอนวัยรุ่น ที่มาร์ตี้ได้เจอพ่อแม่ในวัยหนุ่มสาวซึ่งต่างกับในปี 1985 โดยสิ้นเชิง เช่น จอร์จ แม็คฟลาย พ่อของมาร์ตี้ที่แม่เล่าให้ฟังว่าได้เจอพ่อเพราะพ่อปีนต้นไม้เพื่อส่องนก แต่พลาดตกลงมาในจังหวะที่ปู่ขับรถมาชนพอดี แต่ความจริงสิ่งที่มาร์ตี้เห็นในตอนนั้นคือพ่อของมาร์ตี้ขึ้นไปต้นไม้เพื่อส่องดูแม่ของมาร์ตี้กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าต่างหาก เท่ากับพ่อเขาเป็นพวกถ้ำมอง แต่ในจังหวะที่พ่อเขากำลังจะพลัดตกจากต้นไม้ มาร์ตี้กลับไปช่วยพ่อจากการถูกรถชน รถจึงชนมาร์ตี้แทน จากเดิมที่แม่ของมาร์ตี้ต้องชอบพ่อเขา ก็กลายเป็นชอบมาร์ตี้แทน

ส่วน ลอเรนน์ เบนส์ แม่ของมาร์ตี้ ที่ทั้งรูปร่าง หน้าตา ในปี 1955 ยังคงเป็นสาวสะพรั่งสุดสวยประจำโรงเรียน (ที่รับบทโดย ลีอา ธอมป์สัน ที่ต้องยอมรับว่าในเวลานั้น เธอมีใบหน้าที่งดงามแบบหญิงอเมริกันดั้งเดิมจริง ๆ) ที่ต่างกับในปี 1985 ที่อ้วนฉุและไม่เหลือมาดสาวเคยสวย และนิสัยของแม่ ที่แม่เคยพร่ำบอกมาร์ตี้ว่าให้หาผู้หญิงดี ๆ ที่รักนวลสงวนตัว เพราะแม่เป็นคนที่รักนวลสงวนตัวมาตลอด แต่สิ่งที่มาร์ตี้ได้เจอแม่ตัวเองตอนวัยรุ่น แม่กลับเป็นผู้หญิงที่ทอดสะพานให้ โดยเฉพาะกับมาร์ตี้ (ฮา) ที่หลงมาร์ตี้หัวปลักหัวปรำ จนมาร์ตี้ตะลึงนิสัยของแม่ตอนวัยสาวจนทำตัวไม่ถูก
ในจุดที่มาร์ตี้ต้องทำให้พ่อแม่รักกัน โดยส่วนตัวเป็นเส้นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเป็นเรื่องน่ารักชวนหัว ที่อมยิ้มทุกครั้งที่ได้เห็น ลองคิดดูเล่น ๆว่าหากเราบังเอิญได้ย้อนเวลากลับไป ได้เจอพ่อแม่ตัวเองในช่วงหนุ่มสาว และต้องทำให้พ่อแม่รักกันให้ได้ ไม่อย่างงั้นเราจะไม่ได้เกิดมา แค่นึกว่าเรากำลังจะได้ดูหนังที่มีพล็อตแบบนี้ แค่คิดก็สนุกแล้ว

โดยเฉพาะในฉากเต้นรำในงานพรอมขณะที่เพลง Earth Angle กำลังบรรเลงอยู่ มันช่างเป็นฉากที่ทั้งลุ้นระทึก ตลก ขณะเดียวกันก็สร้างความโรแมนติกได้ดีเหลือเกิน


หนังวัยรุ่นร่วมสมัยที่เป็นหมุดหมายสำคัญ
อย่างที่บอกไปว่าแม้จะเป็นหนังที่เล่นกับเรื่องราวการย้อนเวลา ที่เป็นแนวทางของหนังไซ-ไฟ ที่เน้นเรื่องหลักการทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร แต่หนังเลือกที่จะเล่าให้เป็นหนังบันเทิงวัยรุ่น จากการเลือกนักแสดงอย่าง ไมเคิล เจ ฟ็อกซ์ ดาราดาวรุ่งพุ่งแรงในสมัยนั้นมารับบทมาร์ตี้ แม็คฟลาย หรือในฉากที่มาร์ตี้เล่นดนตรีที่งานพรอมในปี 1955 คือเพลงที่กำลังจะฮิตช่วงเวลาหลังจากนั้นอย่าง Johnny B. Goode และอีกหลายอย่างที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์แห่งยุค 80 ทั้งการแต่งตัว การพูดจา สังคมและวัฒนธรรม ยังไม่รวมถึงเพลง The Power of Love เพลงประกอบของหนังที่ฮิตติดลมบนในช่วงที่หนังออกฉาย

จึงกล่าวสรุปได้ว่า นี่เป็นหนังที่เป็นเหมือนบันทึกแห่งยุคสมัยเรื่องหนึ่ง ที่มีจิตนาการและเรื่องราวที่อยู่เหนือกาลเวลา และสมบูรณ์แบบได้ด้วยตัวบทภาพยนตร์ ที่สำคัญหากมองในการดำเนินเรื่องและรายละเอียดของเรื่อง มันสามารถหยิบเป็นกรณีศึกษาสำหรับภาพยนตร์ในแง่ของการวางรายละเอียดปลีกย่อยของหนังและปมขัดแย้งของเรื่องโดยมีจุดประสงค์สำคัญ และสามารถหยิบเก็บมาใช้ในภายหลังได้ทั้งหมดอย่างแนบเนียนไร้ที่ติ (เช่นปมฟ้าผ่าที่หอนาฬิกาในเมืองฮิลล์วัลเลย์, ช็อตภาพที่ทำให้คนดูเห็นกล่องพูลโตเนียมในบ้านของด็อก และฉากที่แม่ของมาร์ตี้เล่าเรื่อง น้าโจอี้ติกคุก และเหตุการณ์ที่ทำให้แม่รู้สึกรักพ่อของมาร์ตี้นั้นเป็นเหตุการณ์ใด)

ที่ทำให้ไม่ว่าหยิบมาดูกี่ครั้งก็ยังดูสนุกและยังทึ่งในวิธีการเขียนบททุกครั้งไป

ในยุคสมัยนั้นที่หนังจำนวนยกขบวนกันเป็นตำนานของหนังบล็อกบัสเตอร์ที่สืบเนื่องจากจนถึงปัจจุบัน จุดกำเนิดไตรภาค เจาะเวลาหาอดีต เรื่องนี้ยังคงจารึกชื่อว่า เป็นหนึ่งในหนังแมสที่สมบูรณ์แบบที่สุดตลอดกาลอย่างไร้ข้อกังขา และได้แจ้งเกิดผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง โรเบิร์ต เซเมกคิส ที่ได้กลายเป็นพ่อมดผู้ทรงอิทธิพลของฮอลลิวูดอีกคนในเวลาต่อมา จวบจนถึงปัจจุบัน

หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์ทั้งเก่าและใหม่ได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่