เรื่อง คอเล็คชั่น นักเรียนชายผู้โชคร้าย
เรื่องเล่ามีอยู่ว่านานมาแล้ว มีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับไปในความมืด ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่า ทันใดนั้นเองคนขับแท็กซี่ก็เหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนชาย 2 คนซึ่งเป็นเด็กนักเรียนฝาแฝด กำลังยืนโบกรถอยู่ รูปร่างลักษณะของเด็กนักเรียน 2 คนนี้ถือเป็นนักเรียนที่มีลักษณะที่ดีเป็นอย่างมากดีมาก คือสูงประมาณ 170 ซม อายุราว 17 ปี ผิวค่อนข้างขาวไว้ผมรองทรงสูงอย่างเรียบร้อย อยู่เครื่องแบบนักเรียนเสื้อสีขาวสะอาดเหมือนใหม่ สะท้อนกับแสงของไฟรถ เผยให้เห็น เข็มกลัดและ อักษรย่อชื่อโรงเรียนสีแดงบนเสื้อนักเรียน(ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพแห่งหนึ่ง) กางเกงสีดำ โดยเสื้อนักเรียนก็อยู่ในกางเกงเป็นอย่างดี ลักษณะแขนขาก็เผยให้เห็นมัดกล้าม ถุงเท้าและรองเท้าก็ดูเรียบร้อย แม้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ตาม คนขับแท็กเลยคิดว่าอืมเป็นแค่เด็กนักเรียนคงไม่มีอะไรต้องกังวลเลยจอดรถรับนักเรียนหนุ่มทั้ง 2 คนนั้น นักเรียนทั้ง 2 นักเรียนทั้ง 2 คนเลยมานั้งในเบาะด้านซ้ายของคนขับ ระหว่างขับมาคนขับแท็กซี่เลยถามนักเรียนทั้ง 2 คน ขึ้นว่า “ นักเรียน เป็นนักเรียนโรงเรียนอะไร อยู่ชั้นไร และทำไมกลับดึกๆ แบบนี้ หล่ะ “ นักเรียนชายคนพี่เลยตอบว่า “ ผมชื่อบาส ส่วนน้องผมชื่อบอล ผมมีเรื่องอยากเล่าให้ลุงฟังขออนุญาตเล่านะครับ “ คนขับแท็กซี่ก็พยักหน้า เพราะคิดว่าขับรถดึกๆ แบบนี้มีเด็กนักเรียนมาเป็นเพื่อนคุยก็เป็นเรื่องที่ดี นักเรียนชายคนพี่ที่ชื่อบอล จึงเล่าต่อว่า “ พวกเรา เกิดในเวลาต่างกันเพียง 1 นาที จึงมีหน้าตาเหมือนกันมาก พวกเราเป็นนักเรียนโรงเรียน…………….…. อยู่ชั้นม.5 อายุ 17 ปี และเป็นนักกีฬาบาส และบอล มือหนึ่งของโรงเรียน เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์และสาวๆที่เห็นเพราะ นอกจากด้านกีฬาแล้ว ผลการเรียนในแต่ละเทอมก็อยู่ในเกณฑ์ดีคือ เกรดแต่ละเทอมของพวกเรา 2 คนไม่มีเทอมไหนที่ต่ำกว่า 3.25 เลย ผมเล่นบาสเก่ง ส่วน น้องเล่นบอลเก่ง ซึ่งกีฬาที่ถนัดนนี้ก็ตามชื่อของพวกเรา เพราะส่อแววมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่จึงตั้งชื่อนี้ให้ครับ” นักเรียนชายคนพี่เล่า คนขับแท็กซี่ฟังและพยักหน้า “ แต่เรื่องที่พวกเราต้องมาโบกรถตอนดึกๆ นี่มันมีที่มาอยู่ครับ “ นักเรียนคนน้องที่ชื่อบอลพูดขึ้น มันเรื่องอะไร หล่ะ คนขับแท็กซี่ฟัง บาสซึ่งเป็นนักเรียนคนพี่ จึงเล่าให้ฟังว่า “ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เป็นวันที่โรงเรียนมีการสอบปลายภาควันสุดท้าย ประมาณวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งพวกเราหลังจากสอบเสร็จแล้วพวกเรายังได้ทุนไปทัศนะศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษของโครงการ……… เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยเครื่องบินออกประมาณ 23.30 น ดังนั้นในวันที่ 14 พวกเราจึงนำกระเป๋าเดินทางมาฝากไว้กับเจ้าหน้าที่นำเที่ยวที่พวกเรารู้จัก จากนั้นในวันที่ 15 ซึ่งเป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้ายพวกเราจึงตื่นตั่งแต่ 04.30 กว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเวลาก็ปาไปเกือบ ตีห้า จากนั้นจึงอ่านหนังสือสักพักแล้วจึงเดินทางไปสอบที่โรงเรียน ซึ่งเมื่อสอบเสร็จเวลาก็ปาไป 16.30 น มีเวลาอีก 7 ชั่วโมงพวกเราเลยไปเดินเที่ยวห้างดูหนัง ซักพักแล้วจึงเดินทางไปยังสนามบิน ซึ่งก็ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน เพราะตามกฎของการไปทัศนศึกษาของโครงการนี้เน้นความเรียบร้อยต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียน พวกเราตอนเช้า-บ่ายสอบที่โรงเรียนก็อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนอยู่แล้ว จริงเดินทางมาได้เลยไม่คิดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยุ่งยาก เมื่อเครื่องบินออก เดินทางจากสนามบินไปยังประเทศอังกฤษ กว่าจะถึงก็เป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ของวันที่ 16 จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเที่ยวก็มารอรับพวกเราและเพื่อนๆ ต่างโรงเรียนที่มาเที่ยวด้วยกัน จากนั้นก็ได้พาพวกเราไปดูพิพิธพัณต์ ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ กว่าจะเที่ยวเสร็จกลับที่พักได้ก็กินเวลาไปเกือบ 4 ทุ่ม (โดยที่พักเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งพักห้องละ 2 คน) เรา 2 คนรู้สึกเหนื่อยเลย นอนหลับไปทั้งๆที่อยูในเครื่องแบบนักเรียน ตื่นมาตอนเช้าประมาณ 7 โมงเช้าพวกเราเห็นว่าสายแล้ว เลยแค่ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผมให้เรียบร้อยเท่านั้น แล้วรีบลงไปเตรียมตัวทานอาหารเช้าและไปเที่ยวต่อ โดยก็ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนชุดเดิม แต่ไม่ต้องห่วงเพราะตอนอาบน้ำก่อนไปโรงเรียนและขึ้นเครื่งบินมาพวกเราก็ทาดลออนระงับกลิ่นกายไว้แล้ว ซึ่งสามารถระงับได้ 3-4 วัน พร้อมกับที่ประเทศนี้อากาศแห้งจึงไม่ค่อยมีเหงื่อย พวกฝรั่งยังสามารถอยู่ได้เป็น สัปดาห์โดยไม่ต้องอาบน้ำเลย พวกเราจงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เท่าไหร่ และที่สำคัญก็ไม่มีใครรู้ด้วย เมื่อขึ้นรถก็เวลาประมาณ 9 โมงเช้าในวันนั้นกว่าจะไปทัศนศึกษาเสร็จเวลาประมาณ 21.30 น กว่าจะกลับเข้าที่พักก็ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัว แล้วนอน เพระเริ่มจะเหนื่อแล้ว แต่บังเอิญชายผมที่ชื่อบาสก็บอกว่า เรามาต่างประเทศแล้ว ลองออกไปเดินดูร้านเกมส์ ซักหน่อยก็คงดีเพราะเกมส์บางอย่างไม่มีขายในประเทศไทย พวกเราจึงตกลงกันออกไปข้างนอก เมื่อนั่งรถประจำทางไปถึงร้านเกมส์ต่างๆในระแวกนั้น ปรากฏว่ามีเกมส์ และการ์ดของเล่นต่างๆอยู่เต็มเลย และมีอยู่ร้านหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะมีของขายมากว่าปกติและราคาก็ถูกกว่า พวกเราจึงเข้าไปดู คนขายเป็นฝรั่งตัวอ้วนๆ หัวล้าน เค้าสังเกตเห็นพวกเรา 2 คนซึ่งอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน เค้าจึงถามเป็นภาษาอังกฤษ ว่าพวกเธอเป็นเด็กนักเรียนจากประเทศไทยใช่ไหม (แปลเป็นไทยแล้ว) พวกเราตอบว่า ใช่พวกผมเป็นนักเรียนจากประเทศไทย (พูดเป็นภาษาอังกฤษ) คนขายบอกว่าฉันชอบนักเรียนชายประเทศไทย จากนั้นคนขายก็บอกว่าสนใจขึ้นไปดูของเล่นชั้นบนไหม มีอีกเยอะเลย พวกผมก็ตอบตกลง โดยร้านเค้ามีลักษะเป็นบ้านที่เป็นตึกแถว เมื่อพวกผมตามเค้าขึ้นไปข้างบนพบว่าระหว่างทาง ก็มีของเล่นต่างๆวางไว้ตามแนวบันได แต่เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่ 4 ก็พบว่าเป็นห้องโถงปิดไฟมืด เห็นแค่เราสิ่งของต่างๆ แบบรางๆ แต่มีคนขายคนนั้นเปิดไฟในห้องโถงนั้นพวกเราก็ต้อง ตกใจอย่างหนัก เพราะสิ่งที่พบเห็นนั้น เป็นร่างของเด็กนักเรียนชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผมนับสิบคน ถูกสตาฟตั้งโชว์อยู่ในตู้โชว์ซึ่งเป็นกระจกใจ ตู้ละ 1 คน โดยเด็กนักเรียนที่ถูกจับมาทุกเป็นเด็กนักนักเรียนชายระดับมัธยมของประเทศไทยและส่วนใหญ่เป็น นักเรียน ม.ปลาย มีทั้งแบบกางเกงสีดำ น้ำเงิน และสีน้ำตาล พวกเรารู้ได้ทันทีว่า คนขายคนนี้พาพวกเราขึ้นมาทำไม พวกเราคิดจะหนีแต่ช้าไป ซะแล้วเพราะคนขายคนนั้นได้อ้อมมาที่ดันหลังและจับพกเรา 2 คนล็อคคอและโป๊ะยาสลบ พวกเราพยามยามดิ้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนสุดท้ายก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยาสลบ ร่างของพวกเรา 2 คน ได้ถูกคนขายนำมากอดมาหอมซักระยะหนึ่งจากนั้น มันก็นำร่างของพวกผมมาฉีดยาด้วยน้ำยาที่มีคุณสมบัติคล้าย ฟอร์มาลีน มันไม่มีกลิ่น แต่ฤทธิ์ของมันเมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทรมานมาก เมื่อพวกผมตื่นข้น แต่ ถูกฉีดยาสำหรับสตาฟ เข้าไปแล้วก็ก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้ ทั้งๆที่ได้ยินและมองเห็นทุกอย่าง คนขายนำร่างของพวกเรามาเซ็ทอยู่ในท่ายืน ไว้ข้างประตูทั้ง 2 ข้างในห้องนอน พวกเราต้องทุกทรมานมาก เพราะขยับตัวไปไหนไม่ได้ แม้จะไม่รู้สึกหิวเพราะฤทธิ์ยาไปยับยั้งการทำงานต่างๆของร่างกายให้หยุดนึ่ง 4-5 วัน ต่อมา มีนักธุรกิจรายหนึ่งรู้สึกจะเป็นพี่ชายของคนขาย มาของซื้อพวกเราไปตั้งโชว์ข้างโต๊ะทำงานในที่ทำงานเค้าซึ่งอยู่ที่อเมริกา เค้าจ่ายเงินให้คนขายเป็นราคาซึ่งตีเป็นเงินไทยแล้วประมาณ 9 ล้านบาท พวกเราถูกนำไปตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานโดยพวกเราถูกจับเซ็ทท่าใหม่โดยผมเก่งเล่นบอลถูกสตาฟอยู่ในท่าเตะบอล น้องผลเก่งเล่นบาสถูกสตาฟอยู่ในท่าวิ่งถือบาส (พวกมันรู้ข้อมูลของพวกจากอักษรย่อชื่อโรงเรียน และรหัสประจำตัวนักเรียนที่ปักอยู่บนเสื้อ) เมื่อเวลาผ่านไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์พวกเราก็หมดลมหายใจในที่สุด แต่ร่างนั้นยังถูกสตาฟอยู่ไม่ผุสลายไปไหน ซึ่งจากวันนั้นเป็นต้นมา เมื่อพวกมันหรือใครมาที่ห้องทำงานนี้ก็จะเห็นเด็กนักเรียน 2 คนถูกสตาฟอยู่ในถ้าเล่นบอล และบาส เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องอย่างหนึ่ง “ จบการเล่าคนขับแท็กซี่ก็ต้องตะลึ่งและสงสัยว่าแล้วนักเรียน 2 คนนี้รอดมาได้ไง จึงถามออกไป แต่นักเรียนทั้ง 2 คนกลับตอบกลับมาว่าพวกผมตายแล้วครับ ที่พวกผมเล่าก็เพื่อให้ลุงช่วย สวดมนต์และทำบุญให้พวกผมด้วย เมื่อคนขับแท็กซี่หันกลับมาก็ต้องตะลึงเพราะร่างของเด็กนักเรียนทั้ง 2 คนได้หายวับไปกับตา และไปปรากฏอย่างหน้ารถห่างออกไปซัก 3 เมตรจากนั้นก็อันตรทานหายไปต้องหน้าต่อตาอย่างไร้ร่องรอย คนขับแท็กซี่ได้แต่หยุดรถนั่งทำใจให้สบายสักพักก่อน ขับรถกลับบ้าน และได้ทำบุญตามที่ตามที่วิญญาณ เด็กนักเรียน 2 คนนั้นได้ขอไว้ ไม่นานนัก เรื่องนี้ก็ได้ถูกเล่าต่อ กันออกไปปากต่อปากจนมาถึงปัจจุบันนี้
……………………………………….….…………………..จบบริบูรณ์……………………………………………………………………….
เรื่องนักเรียนชายผู้โชคร้าย
เรื่องเล่ามีอยู่ว่านานมาแล้ว มีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับไปในความมืด ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่า ทันใดนั้นเองคนขับแท็กซี่ก็เหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนชาย 2 คนซึ่งเป็นเด็กนักเรียนฝาแฝด กำลังยืนโบกรถอยู่ รูปร่างลักษณะของเด็กนักเรียน 2 คนนี้ถือเป็นนักเรียนที่มีลักษณะที่ดีเป็นอย่างมากดีมาก คือสูงประมาณ 170 ซม อายุราว 17 ปี ผิวค่อนข้างขาวไว้ผมรองทรงสูงอย่างเรียบร้อย อยู่เครื่องแบบนักเรียนเสื้อสีขาวสะอาดเหมือนใหม่ สะท้อนกับแสงของไฟรถ เผยให้เห็น เข็มกลัดและ อักษรย่อชื่อโรงเรียนสีแดงบนเสื้อนักเรียน(ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพแห่งหนึ่ง) กางเกงสีดำ โดยเสื้อนักเรียนก็อยู่ในกางเกงเป็นอย่างดี ลักษณะแขนขาก็เผยให้เห็นมัดกล้าม ถุงเท้าและรองเท้าก็ดูเรียบร้อย แม้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ตาม คนขับแท็กเลยคิดว่าอืมเป็นแค่เด็กนักเรียนคงไม่มีอะไรต้องกังวลเลยจอดรถรับนักเรียนหนุ่มทั้ง 2 คนนั้น นักเรียนทั้ง 2 นักเรียนทั้ง 2 คนเลยมานั้งในเบาะด้านซ้ายของคนขับ ระหว่างขับมาคนขับแท็กซี่เลยถามนักเรียนทั้ง 2 คน ขึ้นว่า “ นักเรียน เป็นนักเรียนโรงเรียนอะไร อยู่ชั้นไร และทำไมกลับดึกๆ แบบนี้ หล่ะ “ นักเรียนชายคนพี่เลยตอบว่า “ ผมชื่อบาส ส่วนน้องผมชื่อบอล ผมมีเรื่องอยากเล่าให้ลุงฟังขออนุญาตเล่านะครับ “ คนขับแท็กซี่ก็พยักหน้า เพราะคิดว่าขับรถดึกๆ แบบนี้มีเด็กนักเรียนมาเป็นเพื่อนคุยก็เป็นเรื่องที่ดี นักเรียนชายคนพี่ที่ชื่อบอล จึงเล่าต่อว่า “ พวกเรา เกิดในเวลาต่างกันเพียง 1 นาที จึงมีหน้าตาเหมือนกันมาก พวกเราเป็นนักเรียนโรงเรียน…………….…. อยู่ชั้นม.5 อายุ 17 ปี และเป็นนักกีฬาบาส และบอล มือหนึ่งของโรงเรียน เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์และสาวๆที่เห็นเพราะ นอกจากด้านกีฬาแล้ว ผลการเรียนในแต่ละเทอมก็อยู่ในเกณฑ์ดีคือ เกรดแต่ละเทอมของพวกเรา 2 คนไม่มีเทอมไหนที่ต่ำกว่า 3.25 เลย ผมเล่นบาสเก่ง ส่วน น้องเล่นบอลเก่ง ซึ่งกีฬาที่ถนัดนนี้ก็ตามชื่อของพวกเรา เพราะส่อแววมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่จึงตั้งชื่อนี้ให้ครับ” นักเรียนชายคนพี่เล่า คนขับแท็กซี่ฟังและพยักหน้า “ แต่เรื่องที่พวกเราต้องมาโบกรถตอนดึกๆ นี่มันมีที่มาอยู่ครับ “ นักเรียนคนน้องที่ชื่อบอลพูดขึ้น มันเรื่องอะไร หล่ะ คนขับแท็กซี่ฟัง บาสซึ่งเป็นนักเรียนคนพี่ จึงเล่าให้ฟังว่า “ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เป็นวันที่โรงเรียนมีการสอบปลายภาควันสุดท้าย ประมาณวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งพวกเราหลังจากสอบเสร็จแล้วพวกเรายังได้ทุนไปทัศนะศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษของโครงการ……… เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยเครื่องบินออกประมาณ 23.30 น ดังนั้นในวันที่ 14 พวกเราจึงนำกระเป๋าเดินทางมาฝากไว้กับเจ้าหน้าที่นำเที่ยวที่พวกเรารู้จัก จากนั้นในวันที่ 15 ซึ่งเป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้ายพวกเราจึงตื่นตั่งแต่ 04.30 กว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเวลาก็ปาไปเกือบ ตีห้า จากนั้นจึงอ่านหนังสือสักพักแล้วจึงเดินทางไปสอบที่โรงเรียน ซึ่งเมื่อสอบเสร็จเวลาก็ปาไป 16.30 น มีเวลาอีก 7 ชั่วโมงพวกเราเลยไปเดินเที่ยวห้างดูหนัง ซักพักแล้วจึงเดินทางไปยังสนามบิน ซึ่งก็ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน เพราะตามกฎของการไปทัศนศึกษาของโครงการนี้เน้นความเรียบร้อยต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียน พวกเราตอนเช้า-บ่ายสอบที่โรงเรียนก็อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนอยู่แล้ว จริงเดินทางมาได้เลยไม่คิดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยุ่งยาก เมื่อเครื่องบินออก เดินทางจากสนามบินไปยังประเทศอังกฤษ กว่าจะถึงก็เป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ของวันที่ 16 จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเที่ยวก็มารอรับพวกเราและเพื่อนๆ ต่างโรงเรียนที่มาเที่ยวด้วยกัน จากนั้นก็ได้พาพวกเราไปดูพิพิธพัณต์ ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ กว่าจะเที่ยวเสร็จกลับที่พักได้ก็กินเวลาไปเกือบ 4 ทุ่ม (โดยที่พักเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งพักห้องละ 2 คน) เรา 2 คนรู้สึกเหนื่อยเลย นอนหลับไปทั้งๆที่อยูในเครื่องแบบนักเรียน ตื่นมาตอนเช้าประมาณ 7 โมงเช้าพวกเราเห็นว่าสายแล้ว เลยแค่ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผมให้เรียบร้อยเท่านั้น แล้วรีบลงไปเตรียมตัวทานอาหารเช้าและไปเที่ยวต่อ โดยก็ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนชุดเดิม แต่ไม่ต้องห่วงเพราะตอนอาบน้ำก่อนไปโรงเรียนและขึ้นเครื่งบินมาพวกเราก็ทาดลออนระงับกลิ่นกายไว้แล้ว ซึ่งสามารถระงับได้ 3-4 วัน พร้อมกับที่ประเทศนี้อากาศแห้งจึงไม่ค่อยมีเหงื่อย พวกฝรั่งยังสามารถอยู่ได้เป็น สัปดาห์โดยไม่ต้องอาบน้ำเลย พวกเราจงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เท่าไหร่ และที่สำคัญก็ไม่มีใครรู้ด้วย เมื่อขึ้นรถก็เวลาประมาณ 9 โมงเช้าในวันนั้นกว่าจะไปทัศนศึกษาเสร็จเวลาประมาณ 21.30 น กว่าจะกลับเข้าที่พักก็ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัว แล้วนอน เพระเริ่มจะเหนื่อแล้ว แต่บังเอิญชายผมที่ชื่อบาสก็บอกว่า เรามาต่างประเทศแล้ว ลองออกไปเดินดูร้านเกมส์ ซักหน่อยก็คงดีเพราะเกมส์บางอย่างไม่มีขายในประเทศไทย พวกเราจึงตกลงกันออกไปข้างนอก เมื่อนั่งรถประจำทางไปถึงร้านเกมส์ต่างๆในระแวกนั้น ปรากฏว่ามีเกมส์ และการ์ดของเล่นต่างๆอยู่เต็มเลย และมีอยู่ร้านหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะมีของขายมากว่าปกติและราคาก็ถูกกว่า พวกเราจึงเข้าไปดู คนขายเป็นฝรั่งตัวอ้วนๆ หัวล้าน เค้าสังเกตเห็นพวกเรา 2 คนซึ่งอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน เค้าจึงถามเป็นภาษาอังกฤษ ว่าพวกเธอเป็นเด็กนักเรียนจากประเทศไทยใช่ไหม (แปลเป็นไทยแล้ว) พวกเราตอบว่า ใช่พวกผมเป็นนักเรียนจากประเทศไทย (พูดเป็นภาษาอังกฤษ) คนขายบอกว่าฉันชอบนักเรียนชายประเทศไทย จากนั้นคนขายก็บอกว่าสนใจขึ้นไปดูของเล่นชั้นบนไหม มีอีกเยอะเลย พวกผมก็ตอบตกลง โดยร้านเค้ามีลักษะเป็นบ้านที่เป็นตึกแถว เมื่อพวกผมตามเค้าขึ้นไปข้างบนพบว่าระหว่างทาง ก็มีของเล่นต่างๆวางไว้ตามแนวบันได แต่เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่ 4 ก็พบว่าเป็นห้องโถงปิดไฟมืด เห็นแค่เราสิ่งของต่างๆ แบบรางๆ แต่มีคนขายคนนั้นเปิดไฟในห้องโถงนั้นพวกเราก็ต้อง ตกใจอย่างหนัก เพราะสิ่งที่พบเห็นนั้น เป็นร่างของเด็กนักเรียนชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผมนับสิบคน ถูกสตาฟตั้งโชว์อยู่ในตู้โชว์ซึ่งเป็นกระจกใจ ตู้ละ 1 คน โดยเด็กนักเรียนที่ถูกจับมาทุกเป็นเด็กนักนักเรียนชายระดับมัธยมของประเทศไทยและส่วนใหญ่เป็น นักเรียน ม.ปลาย มีทั้งแบบกางเกงสีดำ น้ำเงิน และสีน้ำตาล พวกเรารู้ได้ทันทีว่า คนขายคนนี้พาพวกเราขึ้นมาทำไม พวกเราคิดจะหนีแต่ช้าไป ซะแล้วเพราะคนขายคนนั้นได้อ้อมมาที่ดันหลังและจับพกเรา 2 คนล็อคคอและโป๊ะยาสลบ พวกเราพยามยามดิ้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนสุดท้ายก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยาสลบ ร่างของพวกเรา 2 คน ได้ถูกคนขายนำมากอดมาหอมซักระยะหนึ่งจากนั้น มันก็นำร่างของพวกผมมาฉีดยาด้วยน้ำยาที่มีคุณสมบัติคล้าย ฟอร์มาลีน มันไม่มีกลิ่น แต่ฤทธิ์ของมันเมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทรมานมาก เมื่อพวกผมตื่นข้น แต่ ถูกฉีดยาสำหรับสตาฟ เข้าไปแล้วก็ก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้ ทั้งๆที่ได้ยินและมองเห็นทุกอย่าง คนขายนำร่างของพวกเรามาเซ็ทอยู่ในท่ายืน ไว้ข้างประตูทั้ง 2 ข้างในห้องนอน พวกเราต้องทุกทรมานมาก เพราะขยับตัวไปไหนไม่ได้ แม้จะไม่รู้สึกหิวเพราะฤทธิ์ยาไปยับยั้งการทำงานต่างๆของร่างกายให้หยุดนึ่ง 4-5 วัน ต่อมา มีนักธุรกิจรายหนึ่งรู้สึกจะเป็นพี่ชายของคนขาย มาของซื้อพวกเราไปตั้งโชว์ข้างโต๊ะทำงานในที่ทำงานเค้าซึ่งอยู่ที่อเมริกา เค้าจ่ายเงินให้คนขายเป็นราคาซึ่งตีเป็นเงินไทยแล้วประมาณ 9 ล้านบาท พวกเราถูกนำไปตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานโดยพวกเราถูกจับเซ็ทท่าใหม่โดยผมเก่งเล่นบอลถูกสตาฟอยู่ในท่าเตะบอล น้องผลเก่งเล่นบาสถูกสตาฟอยู่ในท่าวิ่งถือบาส (พวกมันรู้ข้อมูลของพวกจากอักษรย่อชื่อโรงเรียน และรหัสประจำตัวนักเรียนที่ปักอยู่บนเสื้อ) เมื่อเวลาผ่านไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์พวกเราก็หมดลมหายใจในที่สุด แต่ร่างนั้นยังถูกสตาฟอยู่ไม่ผุสลายไปไหน ซึ่งจากวันนั้นเป็นต้นมา เมื่อพวกมันหรือใครมาที่ห้องทำงานนี้ก็จะเห็นเด็กนักเรียน 2 คนถูกสตาฟอยู่ในถ้าเล่นบอล และบาส เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องอย่างหนึ่ง “ จบการเล่าคนขับแท็กซี่ก็ต้องตะลึ่งและสงสัยว่าแล้วนักเรียน 2 คนนี้รอดมาได้ไง จึงถามออกไป แต่นักเรียนทั้ง 2 คนกลับตอบกลับมาว่าพวกผมตายแล้วครับ ที่พวกผมเล่าก็เพื่อให้ลุงช่วย สวดมนต์และทำบุญให้พวกผมด้วย เมื่อคนขับแท็กซี่หันกลับมาก็ต้องตะลึงเพราะร่างของเด็กนักเรียนทั้ง 2 คนได้หายวับไปกับตา และไปปรากฏอย่างหน้ารถห่างออกไปซัก 3 เมตรจากนั้นก็อันตรทานหายไปต้องหน้าต่อตาอย่างไร้ร่องรอย คนขับแท็กซี่ได้แต่หยุดรถนั่งทำใจให้สบายสักพักก่อน ขับรถกลับบ้าน และได้ทำบุญตามที่ตามที่วิญญาณ เด็กนักเรียน 2 คนนั้นได้ขอไว้ ไม่นานนัก เรื่องนี้ก็ได้ถูกเล่าต่อ กันออกไปปากต่อปากจนมาถึงปัจจุบันนี้
……………………………………….….…………………..จบบริบูรณ์……………………………………………………………………….