เรื่องนักเรียนชายผู้โชคร้าย

กระทู้คำถาม
เรื่อง     คอเล็คชั่น นักเรียนชายผู้โชคร้าย
เรื่องเล่ามีอยู่ว่านานมาแล้ว มีรถแท็กซี่คันหนึ่งขับไปในความมืด ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 5 ทุ่มกว่า ทันใดนั้นเองคนขับแท็กซี่ก็เหลือบไปเห็นเด็กนักเรียนชาย 2 คนซึ่งเป็นเด็กนักเรียนฝาแฝด กำลังยืนโบกรถอยู่ รูปร่างลักษณะของเด็กนักเรียน 2 คนนี้ถือเป็นนักเรียนที่มีลักษณะที่ดีเป็นอย่างมากดีมาก คือสูงประมาณ 170 ซม อายุราว 17 ปี ผิวค่อนข้างขาวไว้ผมรองทรงสูงอย่างเรียบร้อย อยู่เครื่องแบบนักเรียนเสื้อสีขาวสะอาดเหมือนใหม่ สะท้อนกับแสงของไฟรถ เผยให้เห็น  เข็มกลัดและ อักษรย่อชื่อโรงเรียนสีแดงบนเสื้อนักเรียน(ซึ่งเป็นโรงเรียนชื่อดังในกรุงเทพแห่งหนึ่ง)  กางเกงสีดำ โดยเสื้อนักเรียนก็อยู่ในกางเกงเป็นอย่างดี ลักษณะแขนขาก็เผยให้เห็นมัดกล้าม  ถุงเท้าและรองเท้าก็ดูเรียบร้อย แม้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนก็ตาม  คนขับแท็กเลยคิดว่าอืมเป็นแค่เด็กนักเรียนคงไม่มีอะไรต้องกังวลเลยจอดรถรับนักเรียนหนุ่มทั้ง 2 คนนั้น นักเรียนทั้ง 2 นักเรียนทั้ง 2 คนเลยมานั้งในเบาะด้านซ้ายของคนขับ  ระหว่างขับมาคนขับแท็กซี่เลยถามนักเรียนทั้ง 2 คน ขึ้นว่า  “ นักเรียน    เป็นนักเรียนโรงเรียนอะไร    อยู่ชั้นไร   และทำไมกลับดึกๆ แบบนี้ หล่ะ   “   นักเรียนชายคนพี่เลยตอบว่า    “ ผมชื่อบาส  ส่วนน้องผมชื่อบอล ผมมีเรื่องอยากเล่าให้ลุงฟังขออนุญาตเล่านะครับ  “  คนขับแท็กซี่ก็พยักหน้า  เพราะคิดว่าขับรถดึกๆ แบบนี้มีเด็กนักเรียนมาเป็นเพื่อนคุยก็เป็นเรื่องที่ดี   นักเรียนชายคนพี่ที่ชื่อบอล จึงเล่าต่อว่า  “ พวกเรา เกิดในเวลาต่างกันเพียง 1 นาที จึงมีหน้าตาเหมือนกันมาก  พวกเราเป็นนักเรียนโรงเรียน…………….…. อยู่ชั้นม.5  อายุ 17 ปี และเป็นนักกีฬาบาส และบอล  มือหนึ่งของโรงเรียน  เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์และสาวๆที่เห็นเพราะ นอกจากด้านกีฬาแล้ว ผลการเรียนในแต่ละเทอมก็อยู่ในเกณฑ์ดีคือ เกรดแต่ละเทอมของพวกเรา 2 คนไม่มีเทอมไหนที่ต่ำกว่า  3.25   เลย ผมเล่นบาสเก่ง  ส่วน น้องเล่นบอลเก่ง ซึ่งกีฬาที่ถนัดนนี้ก็ตามชื่อของพวกเรา เพราะส่อแววมาตั้งแต่เด็กๆ  พ่อแม่จึงตั้งชื่อนี้ให้ครับ”   นักเรียนชายคนพี่เล่า  คนขับแท็กซี่ฟังและพยักหน้า   “ แต่เรื่องที่พวกเราต้องมาโบกรถตอนดึกๆ นี่มันมีที่มาอยู่ครับ   “  นักเรียนคนน้องที่ชื่อบอลพูดขึ้น   มันเรื่องอะไร หล่ะ    คนขับแท็กซี่ฟัง  บาสซึ่งเป็นนักเรียนคนพี่ จึงเล่าให้ฟังว่า  “ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เป็นวันที่โรงเรียนมีการสอบปลายภาควันสุดท้าย ประมาณวันที่ 5 มีนาคม ซึ่งพวกเราหลังจากสอบเสร็จแล้วพวกเรายังได้ทุนไปทัศนะศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษของโครงการ……… เป็นเวลา 1 สัปดาห์   โดยเครื่องบินออกประมาณ 23.30 น ดังนั้นในวันที่ 14 พวกเราจึงนำกระเป๋าเดินทางมาฝากไว้กับเจ้าหน้าที่นำเที่ยวที่พวกเรารู้จัก  จากนั้นในวันที่ 15 ซึ่งเป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้ายพวกเราจึงตื่นตั่งแต่ 04.30  กว่าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเวลาก็ปาไปเกือบ ตีห้า  จากนั้นจึงอ่านหนังสือสักพักแล้วจึงเดินทางไปสอบที่โรงเรียน  ซึ่งเมื่อสอบเสร็จเวลาก็ปาไป 16.30 น  มีเวลาอีก 7  ชั่วโมงพวกเราเลยไปเดินเที่ยวห้างดูหนัง ซักพักแล้วจึงเดินทางไปยังสนามบิน ซึ่งก็ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน เพราะตามกฎของการไปทัศนศึกษาของโครงการนี้เน้นความเรียบร้อยต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียน พวกเราตอนเช้า-บ่ายสอบที่โรงเรียนก็อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนอยู่แล้ว จริงเดินทางมาได้เลยไม่คิดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ยุ่งยาก   เมื่อเครื่องบินออก เดินทางจากสนามบินไปยังประเทศอังกฤษ กว่าจะถึงก็เป็นเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ของวันที่ 16 จากนั้นเจ้าหน้าที่นำเที่ยวก็มารอรับพวกเราและเพื่อนๆ ต่างโรงเรียนที่มาเที่ยวด้วยกัน   จากนั้นก็ได้พาพวกเราไปดูพิพิธพัณต์ ทางประวัติศาสตร์ต่างๆ  กว่าจะเที่ยวเสร็จกลับที่พักได้ก็กินเวลาไปเกือบ 4 ทุ่ม (โดยที่พักเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งพักห้องละ 2 คน) เรา 2 คนรู้สึกเหนื่อยเลย นอนหลับไปทั้งๆที่อยูในเครื่องแบบนักเรียน  ตื่นมาตอนเช้าประมาณ 7 โมงเช้าพวกเราเห็นว่าสายแล้ว เลยแค่ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผมให้เรียบร้อยเท่านั้น แล้วรีบลงไปเตรียมตัวทานอาหารเช้าและไปเที่ยวต่อ โดยก็ยังอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนชุดเดิม  แต่ไม่ต้องห่วงเพราะตอนอาบน้ำก่อนไปโรงเรียนและขึ้นเครื่งบินมาพวกเราก็ทาดลออนระงับกลิ่นกายไว้แล้ว ซึ่งสามารถระงับได้ 3-4 วัน   พร้อมกับที่ประเทศนี้อากาศแห้งจึงไม่ค่อยมีเหงื่อย พวกฝรั่งยังสามารถอยู่ได้เป็น สัปดาห์โดยไม่ต้องอาบน้ำเลย พวกเราจงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เท่าไหร่  และที่สำคัญก็ไม่มีใครรู้ด้วย  เมื่อขึ้นรถก็เวลาประมาณ 9 โมงเช้าในวันนั้นกว่าจะไปทัศนศึกษาเสร็จเวลาประมาณ 21.30 น   กว่าจะกลับเข้าที่พักก็ประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง   ตอนแรกผมก็คิดว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัว แล้วนอน  เพระเริ่มจะเหนื่อแล้ว แต่บังเอิญชายผมที่ชื่อบาสก็บอกว่า เรามาต่างประเทศแล้ว ลองออกไปเดินดูร้านเกมส์ ซักหน่อยก็คงดีเพราะเกมส์บางอย่างไม่มีขายในประเทศไทย   พวกเราจึงตกลงกันออกไปข้างนอก   เมื่อนั่งรถประจำทางไปถึงร้านเกมส์ต่างๆในระแวกนั้น ปรากฏว่ามีเกมส์ และการ์ดของเล่นต่างๆอยู่เต็มเลย  และมีอยู่ร้านหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะมีของขายมากว่าปกติและราคาก็ถูกกว่า พวกเราจึงเข้าไปดู คนขายเป็นฝรั่งตัวอ้วนๆ หัวล้าน   เค้าสังเกตเห็นพวกเรา 2 คนซึ่งอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน เค้าจึงถามเป็นภาษาอังกฤษ ว่าพวกเธอเป็นเด็กนักเรียนจากประเทศไทยใช่ไหม (แปลเป็นไทยแล้ว)  พวกเราตอบว่า   ใช่พวกผมเป็นนักเรียนจากประเทศไทย (พูดเป็นภาษาอังกฤษ) คนขายบอกว่าฉันชอบนักเรียนชายประเทศไทย จากนั้นคนขายก็บอกว่าสนใจขึ้นไปดูของเล่นชั้นบนไหม มีอีกเยอะเลย พวกผมก็ตอบตกลง โดยร้านเค้ามีลักษะเป็นบ้านที่เป็นตึกแถว เมื่อพวกผมตามเค้าขึ้นไปข้างบนพบว่าระหว่างทาง ก็มีของเล่นต่างๆวางไว้ตามแนวบันได  แต่เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่ 4  ก็พบว่าเป็นห้องโถงปิดไฟมืด เห็นแค่เราสิ่งของต่างๆ แบบรางๆ แต่มีคนขายคนนั้นเปิดไฟในห้องโถงนั้นพวกเราก็ต้อง ตกใจอย่างหนัก  เพราะสิ่งที่พบเห็นนั้น เป็นร่างของเด็กนักเรียนชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผมนับสิบคน ถูกสตาฟตั้งโชว์อยู่ในตู้โชว์ซึ่งเป็นกระจกใจ ตู้ละ 1 คน โดยเด็กนักเรียนที่ถูกจับมาทุกเป็นเด็กนักนักเรียนชายระดับมัธยมของประเทศไทยและส่วนใหญ่เป็น นักเรียน ม.ปลาย  มีทั้งแบบกางเกงสีดำ  น้ำเงิน  และสีน้ำตาล     พวกเรารู้ได้ทันทีว่า คนขายคนนี้พาพวกเราขึ้นมาทำไม   พวกเราคิดจะหนีแต่ช้าไป ซะแล้วเพราะคนขายคนนั้นได้อ้อมมาที่ดันหลังและจับพกเรา 2 คนล็อคคอและโป๊ะยาสลบ พวกเราพยามยามดิ้นแต่ก็ไม่สามารถทำได้ จนสุดท้ายก็หลับไปด้วยฤทธิ์ยาสลบ  ร่างของพวกเรา 2 คน ได้ถูกคนขายนำมากอดมาหอมซักระยะหนึ่งจากนั้น มันก็นำร่างของพวกผมมาฉีดยาด้วยน้ำยาที่มีคุณสมบัติคล้าย ฟอร์มาลีน มันไม่มีกลิ่น  แต่ฤทธิ์ของมันเมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะทรมานมาก  เมื่อพวกผมตื่นข้น แต่ ถูกฉีดยาสำหรับสตาฟ เข้าไปแล้วก็ก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้  ทั้งๆที่ได้ยินและมองเห็นทุกอย่าง คนขายนำร่างของพวกเรามาเซ็ทอยู่ในท่ายืน ไว้ข้างประตูทั้ง 2 ข้างในห้องนอน พวกเราต้องทุกทรมานมาก เพราะขยับตัวไปไหนไม่ได้ แม้จะไม่รู้สึกหิวเพราะฤทธิ์ยาไปยับยั้งการทำงานต่างๆของร่างกายให้หยุดนึ่ง  4-5 วัน ต่อมา  มีนักธุรกิจรายหนึ่งรู้สึกจะเป็นพี่ชายของคนขาย  มาของซื้อพวกเราไปตั้งโชว์ข้างโต๊ะทำงานในที่ทำงานเค้าซึ่งอยู่ที่อเมริกา เค้าจ่ายเงินให้คนขายเป็นราคาซึ่งตีเป็นเงินไทยแล้วประมาณ 9 ล้านบาท  พวกเราถูกนำไปตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานโดยพวกเราถูกจับเซ็ทท่าใหม่โดยผมเก่งเล่นบอลถูกสตาฟอยู่ในท่าเตะบอล  น้องผลเก่งเล่นบาสถูกสตาฟอยู่ในท่าวิ่งถือบาส (พวกมันรู้ข้อมูลของพวกจากอักษรย่อชื่อโรงเรียน และรหัสประจำตัวนักเรียนที่ปักอยู่บนเสื้อ) เมื่อเวลาผ่านไปอีกประมาณ 1 สัปดาห์พวกเราก็หมดลมหายใจในที่สุด แต่ร่างนั้นยังถูกสตาฟอยู่ไม่ผุสลายไปไหน   ซึ่งจากวันนั้นเป็นต้นมา  เมื่อพวกมันหรือใครมาที่ห้องทำงานนี้ก็จะเห็นเด็กนักเรียน 2 คนถูกสตาฟอยู่ในถ้าเล่นบอล และบาส       เหมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับห้องอย่างหนึ่ง  “  จบการเล่าคนขับแท็กซี่ก็ต้องตะลึ่งและสงสัยว่าแล้วนักเรียน 2 คนนี้รอดมาได้ไง  จึงถามออกไป แต่นักเรียนทั้ง 2 คนกลับตอบกลับมาว่าพวกผมตายแล้วครับ  ที่พวกผมเล่าก็เพื่อให้ลุงช่วย สวดมนต์และทำบุญให้พวกผมด้วย   เมื่อคนขับแท็กซี่หันกลับมาก็ต้องตะลึงเพราะร่างของเด็กนักเรียนทั้ง 2 คนได้หายวับไปกับตา  และไปปรากฏอย่างหน้ารถห่างออกไปซัก 3 เมตรจากนั้นก็อันตรทานหายไปต้องหน้าต่อตาอย่างไร้ร่องรอย    คนขับแท็กซี่ได้แต่หยุดรถนั่งทำใจให้สบายสักพักก่อน ขับรถกลับบ้าน   และได้ทำบุญตามที่ตามที่วิญญาณ เด็กนักเรียน 2 คนนั้นได้ขอไว้  ไม่นานนัก  เรื่องนี้ก็ได้ถูกเล่าต่อ   กันออกไปปากต่อปากจนมาถึงปัจจุบันนี้

……………………………………….….…………………..จบบริบูรณ์……………………………………………………………………….
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่