สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแชร์ 7 ข้อควรรู้ สำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนในต่างประเทศหรือนักเรียนที่จะไปซัมเมอร์ต่างประเทศค่ะ จากมุมของคนที่ดูแลนักเรียนเหล่านี้ค่ะ ส่วนตัวมีประสบการณ์กับเด็กๆ เหล่านี้เยอะพอสมควร และเราลองอ่านเกี่ยวกับคำแนะนำนักเรียนแลกเปลี่ยนจากกูเกิลก็รู้สึกว่าส่วนนี้มันขาดไป มีแต่แนะนำการสอบ แนะนำการแพคกระเป๋า ซึ่งจริงๆแล้วเราคิดว่าส่วนที่เราเขียนถึงนี้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้นักเรียนไปอย่างมีความสุขหรือประสบความสำเร็จในการเรียนกลับมาค่ะ
การไปเรียนต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติในการไปด้วย อย่างที่เราบอกกับเด็กๆ ทุกครั้ง ว่าแต่ละทริปนั้นจะสนุกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาเอาไปด้วย ถ้าเขาไปด้วยความสุข เขาก็จะมีความสุข แต่ถ้าเขาไม่อยากไป ถึงทริปมันจะดีแค่ไหน เขาก็ไม่มีความสุขค่ะ หลายๆ ครั้งการปรับตัวและการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึก หรือจัดการปัญหาทั่วๆไปก็เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการไปเรียนต่างประเทศค่ะ เราเคยเห็นนักเรียนที่ไปแล้วมีปัญหากับชีวิตประจำวัน เช่น ปัญหากับเพื่อนร่วมหอ/ร่วมห้อง จนเรียนไม่รู้เรื่องมาแล้ว
(หมายเหตุ : ข้อมูลที่เราพูดถึง โฮส, โรงเรียน ในบทความนี้ แทน โฮสที่ดีและโรงเรียนที่ดีในอเมริกานะคะ)
1. หาเพื่อนให้ได้

หลายๆ ครั้งที่เรามักโฟกัสแต่เรื่องการเรียนจนลืมเรื่องการเข้าสังคม เพราะคิดว่าจะต้องเรียนให้ได้ดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วการเข้าสังคมมีส่วนช่วยให้การเรียนดีขึ้นอย่างมาก เพราะเมื่อเรามีเพื่อน เราก็จะมีที่ปรึกษา มีคนสำหรับขอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เพิ่งไปอยู่ ถ้าเราสามารถหาเพื่อนได้ทันที เราก็จะมีเพื่อนทำกิจกรรม มีเพื่อนช่วยแนะแนว สอนเทคนิคต่างๆ ทำให้การเรียนของเราราบรื่นขึ้น แล้วก็ทำให้เราผ่านพ้นช่วงคิดถึงบ้านได้ดีขึ้นค่ะ
บางครั้งเราก็ต้องเป็นคนเข้าหาเพื่อนเองนะคะ จะรอให้คนอื่นเข้าหาอย่างเดียวไม่ได้ การเข้าร่วมชมรมหรือทีมกีฬาช่วยได้ค่ะ ถ้าไม่รู้จะไปหาเพื่อนจากไหน ิอย่างมีน้องคนหนึ่ง พอไปถึงอเมริกาปุ๊บ น้องเข้าร่วมทีมกีฬาอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนทันที ซึ่งทำให้น้องได้เพื่อนทั้งกลุ่มทันที ซึ่งส่งผลดีต่อตัวน้อง คือ 1. ได้เพื่อนทันทีหลายคนทั้งกลุ่ม 2. ได้ทำกิจกรรม ใช้เวลาว่างให้หมดไป ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับคิดถึงบ้าน
2. รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ

น้องๆ หลายคนที่เจอชอบเงียบ ไม่กล้าที่จะบอกว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่กล้าที่จะบอกว่าตัวเองมีปัญหา หรือรู้สึกเกรงใจที่จะขอความช่วยเหลือจากโฮสแฟมิลี่หรือเพื่อน ซึ่งเมื่อเราไม่พูดไม่บอกว่าเรามีปัญหา คนอเมริกันเขาจะไม่ค่อยเข้ามาถามไถ่หรือเสนอความช่วยเหลือเองนะคะ ไม่ใช่ว่าเขาเย็นชาหรืออะไร แต่เขาคิดว่าถ้าเรามีปัญหาเราก็คงมาบอก คนอเมริกันไม่รู้จักคำว่าเกรงใจนะคะ และคำศัพท์คำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีปัญหา เราต้องการความช่วยเหลือ เราต้องพูด ต้องบอกค่ะ จะเงียบไว้แล้วรอให้ครู โฮส หรือเพื่อนใช้พลังจิตรู้เอง แล้วเสนอตัวมาช่วยเหลือเองไม่ได้ ยิ่งขอความช่วยเหลือได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับตัวเองเท่านั้น เช่น เรียนไม่รู้เรื่อง เรียนไม่ทัน ไม่รู้จะเข้าหาเพื่อนอย่างไร คิดถึงบ้าน ไม่มีสมาธิ เป็นต้น ขอแล้วเขาช่วยได้ไม่ได้อย่างไรก็ค่อยว่ากันค่ะ
แต่ก็มีหลายๆ ครั้งที่เด็กๆ มาขอความช่วยเหลือจากเราในเรื่องเล็กๆ ที่เด็กสามารถจัดการเองได้ เช่น ไม่ชอบให้หมาเข้ามาในห้องนอน หรือไม่ชอบอาหารที่โฮสทำให้กิน แต่ยังไม่เคยบอกกับโฮสเองเลย จะให้เราบอกให้ อันนี้เราก็จะแนะนำให้น้องพูดกับโฮสเองก่อนค่ะ เพราะนี้คือสเต็ปหนึ่งของการเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าอะไรนิดหน่อยเราจะเข้าไปยุ่มย่าม จัดการให้เลยทันที น้องต้องเรียนรู้ที่จะจัดการปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตัวเองก่อน อ่อ อีกอย่างค่ะ ให้ขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้ก่อน เช่น ถ้าครูหรือโฮสช่วยได้ก็บอกเขาก่อน เพราะถ้าน้องบอกพ่อแม่ที่ไทย นอกจากพ่อแม่จะช่วยไม่ได้แล้ว ระยะทางไกลๆ ยังทำให้พ่อแม่ขยายปัญหานั้นให้ยิ่งใหญ่เข้าไปอีกเพราะความเป็นห่วงลูกค่ะ
3. เอาความคิด “ทำไมเขาไม่ทำอย่างโน่น ทำไมเขาไม่ทำแบบนี้” ออกจากหัว

อันนี้เจอบ่อยสำหรับนักเรียนหรือเพื่อนต่างชาติที่เจอกับคัลเจอร์ช็อค เพื่อนต่างชาติที่ตั้งใจจะมาอยู่ไทยนานๆ ถ้าคนไหนเริ่มบ่นเกี่ยวกับทำไมประเทศไทยทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ เพื่อนคนนั้นมักจะอยู่ไทยได้ไม่นานเท่าที่หวังทุกที เพราะนอกจากบ่นไม่จบแล้ว เขายังคาดหวังให้ทั้งประเทศเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเขาคนเดียว ดังนั้นสำหรับเด็กแลกเปลี่ยนก็เหมือนกัน ถ้าเห็นอะไรก็ขัดหูขัดตา เริ่มรู้สึกว่าทำไมไม่ทำให้เหมือนที่ไทย ทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ แน่นอนว่าเรามีความเห็นต่อสิ่งต่างๆได้ แต่สิ่งถัดไปที่ต้องทำคือ ปรับตัวค่ะ เช่น ถ้ารู้สึกแปลกๆ เมื่อต้องกินน้ำจากก๊อก ก็เอากระติกน้ำมาใส่น้ำแล้วแช่ตู้เย็นก็ได้ค่ะ หรืออาหารไม่ถูกปากก็ลองเติมโน่นเติมนี้เข้าไปจนพบรสชาติที่ตัวเองต้องการ เพราะโฮสคงไม่สามารถทำไข่เจียว ไข่ดาว ให้กินได้ทุกวัน
นอกจากนี้ก็มีเรื่องความคาดหวัง มีนักเรียนหลายๆ คนที่คาดหวังว่าโฮสแฟมิลี่จะพาท่องเที่ยวเหมือนไกด์ทัวร์ แต่จริงๆ แล้วเรามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตวิถีแบบคนท้องถิ่น ซึ่งเขาก็มีงานมีการต้องรับผิดชอบ จะให้เขาพาเที่ยวตลอดเวลาหรือเอนเตอร์เทนเราให้สนุกตลอดเวลาคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตัวน้องเองก็ต้องรู้จักปรับตัว ถ้าอยู่บ้านเบื่อก็ออกไปหาอะไรทำ เพราะจะนั่งเบื่ออยู่ที่เดิมก็คงไม่ทำให้หายเบื่อได้ อย่างถ้าได้อยู่เมืองที่เงียบสงบปลอดภัย เด็กสามารถเดินไปบ้านเพื่อนเองได้เลยค่ะ ไปเล่นคิกบอลหรือเล่นบอร์ดเกมบ้านเพื่อนก็ได้ หรือจะอยู่โรงเรียนทำกิจกรรมที่โรงเรียนก็ได้ (แต่อย่าลืมบอกโฮสก่อนด้วยนะคะ) เพราะฉะนั้นจะวนกลับมาที่น้องต้องหาเพื่อนให้ได้อีกแล้วค่ะ
4. รู้เท่าทัน Homesickness

หลายๆ คนอาจจะคิดว่าโฮมซิกนี่คือการร้องไห้คิดถึงพ่อแม่ แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เราเจอมาหลากหลายวิธีการมากค่ะ การแสดงออกของเด็กแต่ละคนแต่ละวัยไม่เหมือนกัน อย่างเด็กเล็กๆ นี่นอกจากจะมีแบบร้องไห้คิดถึงแล้วก็มีแบบไม่อาบน้ำ ไม่สระผมเป็นอาทิตย์ค่ะ สำหรับพวกเหล่าวัยรุ่นก็จะเป็นประมาณหมกตัวอยู่ในห้อง เราได้ทำเช็คลิสต์ให้ ถ้ามีอาการดังนี้ ให้รู้ตัวว่าเราอาจจะกำลังโฮมซิกค่ะ
□ ไม่อาบน้ำ ไม่สระผมหลายวันติด (ไม่ดูแลตัวเอง)
□ ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์
□ ไม่มีความรู้สึกอยากพูดคุยกับเพื่อน หรือครอบครัวอุปถัมป์
□ อยากอยู่คนเดียว ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องคนเดียว
□ ใช้เวลาส่วนใหญ่คุย/แชทกับเพื่อนที่ไทย
□ คุยกับพ่อแม่นานกว่า 30 นาทีต่อวัน/ทุกวัน
□ มีความรู้สึกทุรนทุรายเวลาไม่ได้ใช้อินเตอร์เนต ไม่ได้แชทกับเพื่อนหรือคนที่ไทย
□ เรื่องเล็กน้อยแต่ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนมันยิ่งใหญ่มาก
(ทำไปทำมาคล้ายอาการคนซึมเศร้า) ถ้ารู้ตัวว่าเรากำลังใช้เวลาส่วนใหญ่ทำแบบที่ลิสต์มา ให้รู้ตัวเองค่ะ หยุดทำแล้วพยายามออกไปข้างนอก พาตัวเองออกไปนอกห้องนอน ไปคุยกับโฮส ระบายให้โฮสหรือเพื่อนฟัง รู้ว่ามันยาก แต่อยากให้พยายามทำนะคะ เราต้องยอมรับความจริงที่ว่าตอนนี้เราอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อยู่ที่ไทย การคุยกลับประเทศไทย คิดถึงและโฟกัสสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไทย ไม่ทำให้เรามีความสุขขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่น้องไปอยู่ในระยะสั้นๆ สิ่งที่ควรทำคือโฟกัสในที่ๆ น้องอยู่ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด
สำหรับน้องๆที่ไปเมืองหนาว อันนี้บางทีความหนาวและความหมนๆ ของฟ้าในช่วงฤดูหนาวอาจทำให้น้องคิดถึงบ้านได้ ถ้าน้องเริ่มมีอาการเหมือนจะซึมเศร้า จริงๆ มันจะมีพวก UV Lamp สามารถเอาเปิดในห้องอาจจะช่วยได้ค่ะ
5. อย่าเข้าไปยุ่งกับอบายมุข, สิ่งผิดกฎหมาย, สถานที่ที่ไม่ควรอยู่ หรือทำพฤติกรรมแย่ๆ

เรื่องนี้เคยเจอตอนเริ่มทำงานแรกๆ ตอนนั้นยังไม่ประสีประสา เจอเด็กสูบบุหรี่ที่โรงเรียนเข้าไป โดนไล่ออกเลยค่ะ โดยไล่ออกแล้วไปไหน? ก็ต้องกลับไทยทันทีน่ะสิคะ เพราะว่าโฮสคงไม่ไหวใจให้เด็กที่สูบบุหรี่ที่โรงเรียนอยู่บ้านเขาคนเดียวระหว่างที่เขาไปทำงานแน่นอน
หลังจากนั้นก็เป็นพิธีที่เราจะต้องอบรมเด็กๆ ก่อน คือบางทีเด็กอยู่ที่ไทยก็เป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ไม่มีแววเลยค่ะ แต่พอได้ไปต่างประเทศปุ๊บ ได้อิสระแล้วยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร คิดว่าโรงเรียนอเมริกันที่เขาเห็นในหนังมันคือเรื่องจริง มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ส่วนตัวไม่รู้ว่าโรงเรียนรัฐอื่นเป็นยังไง แต่โรงเรียนรัฐและเมื่องที่เรารู้จักเขารักครูและเขารักเรียนค่ะ เขาไม่มีการไปด่าครูแบบในหนังฮอลิวูดนะคะ เผลอๆเราไปด่าครูของเขา เราเองจะโดนต่อยเอาค่ะ และอย่าลืมว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยน ไม่ใช่พลเมืองบ้านเขา ถ้าเขาห้ามไม่ให้ดื่มของมึนเมาก่อนอายุ 20 เราก็ห้ามยุ่งเด็ดขาดค่ะ อาจจะมีที่เราไปปาร์ตี้แล้วไปเจอเพื่อนดื่มอยู่ เพื่อนเขาไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ถ้าเขาโดนจับ เขาก็มีวิธีจัดการอะไรของเขาไปนะคะ แต่ถ้าเราไปทำบ้าง ผลกระทบที่เราจะได้รับนั้นแตกต่างและเสียหายมากกว่าเยอะค่ะ เผลอๆ โดยส่งกลับประเทศค่ะ
แล้วถ้าเพื่อนไซโค กดดันให้ดื่ม ให้เสพย์ละ? ช่างหัวเพื่อนนะคะ บอกตามตรงจากประสบการณ์ว่าเพื่อนดีๆ เมื่อเราปฏิเสธแล้ว เขาจะไม่กดดันให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำค่ะ ถ้าเราไม่ทำแล้วจะเสียเพื่อน ก็เสียไปค่ะ เพราะเพื่อนแบบนี้ไม่ใช่เพื่อนที่ดีอยู่แล้ว อย่าไปเสียดาย ชีวิตเรายังได้เจอเพื่อนที่ดีอีกเยอะค่ะ
อีกเรื่องคืออย่าไปอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ ถ้าพลาดท่าไปอยู่ในสถานที่ๆ เรารู้อยู่แล้ว เราไม่ควรอยู่ อยู่แล้วน่าจะมีปัญหา ให้รีบออกมาจากที่นั่นค่ะ ถึงแม้ว่าต้องโทรบอกโฮสให้โฮสมารับ อาจจะโดนดุ แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าดีกว่าอยู่ต่อแล้วมีปัญหาแน่นอน โดยเฉพาะรถที่ขับโดยเพื่อนที่ดื่มของมึนเมา ห้ามขึ้นเด็ดขาด ถ้าเพื่อนเมาแล้วจะไปส่งเรา ให้โทรหาโฮสทันทีค่ะถึงแม้จะดึกดื่นมืดค่ำขนาดไหน หรือแอบหนีออกไป แต่อย่ากลับกับคนเมาเด็ดขาด อย่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายค่ะ
6. ให้ระวังค่าใช้จ่ายเล็กน้อย

เพราะมันรวมกันออกมาแล้วมันจะมากค่ะ โดยเฉพาะคนที่พยายามจะประหยัดงบนะคะ ส่วนตัวมีนักเรียนทั้งสองแบบ แบบที่ใช้จ่ายได้ไม่อั้นนี่ถ้าพ่อแม่มีก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรค่ะ แต่ถ้าเราต้องช่วยพ่อแม่ประหยัดก็ต้องระวังค่ะ บางอย่างไม่ได้นึกถึงแต่พอถึงเวลามันก็ต้องจ่าย เช่น พวกค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่าขนมที่หยอดตู้ที่โรงเรียน จริงๆแล้วแพงนะคะ ไอ้พวกตู้หยอดพวกนี้ ถ้าหยอดทุกวันวันละ 5 เหรียญ (ขนม 1 ถุง น้ำอัดลม 1 ขวด) รวมกันทั้งเดือนก็เป็นร้อยเหรียญต่อเดือนแล้วค่ะ สามารถประหยัดได้โดยการซื้อขนมเป็นแพคๆ ที่ซูเปอร์แล้วเอาไปโรงเรียนแทนค่ะ
(มีต่ออีก 1 ข้อค่ะ)
7 ข้อควรรู้ สำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนในต่างประเทศ
การไปเรียนต่างประเทศให้ประสบความสำเร็จและมีความสุข ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะภาษาอังกฤษอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติในการไปด้วย อย่างที่เราบอกกับเด็กๆ ทุกครั้ง ว่าแต่ละทริปนั้นจะสนุกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาเอาไปด้วย ถ้าเขาไปด้วยความสุข เขาก็จะมีความสุข แต่ถ้าเขาไม่อยากไป ถึงทริปมันจะดีแค่ไหน เขาก็ไม่มีความสุขค่ะ หลายๆ ครั้งการปรับตัวและการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึก หรือจัดการปัญหาทั่วๆไปก็เป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการไปเรียนต่างประเทศค่ะ เราเคยเห็นนักเรียนที่ไปแล้วมีปัญหากับชีวิตประจำวัน เช่น ปัญหากับเพื่อนร่วมหอ/ร่วมห้อง จนเรียนไม่รู้เรื่องมาแล้ว
(หมายเหตุ : ข้อมูลที่เราพูดถึง โฮส, โรงเรียน ในบทความนี้ แทน โฮสที่ดีและโรงเรียนที่ดีในอเมริกานะคะ)
1. หาเพื่อนให้ได้
หลายๆ ครั้งที่เรามักโฟกัสแต่เรื่องการเรียนจนลืมเรื่องการเข้าสังคม เพราะคิดว่าจะต้องเรียนให้ได้ดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วการเข้าสังคมมีส่วนช่วยให้การเรียนดีขึ้นอย่างมาก เพราะเมื่อเรามีเพื่อน เราก็จะมีที่ปรึกษา มีคนสำหรับขอความช่วยเหลือ โดยเฉพาะช่วงแรกๆ ที่เพิ่งไปอยู่ ถ้าเราสามารถหาเพื่อนได้ทันที เราก็จะมีเพื่อนทำกิจกรรม มีเพื่อนช่วยแนะแนว สอนเทคนิคต่างๆ ทำให้การเรียนของเราราบรื่นขึ้น แล้วก็ทำให้เราผ่านพ้นช่วงคิดถึงบ้านได้ดีขึ้นค่ะ
บางครั้งเราก็ต้องเป็นคนเข้าหาเพื่อนเองนะคะ จะรอให้คนอื่นเข้าหาอย่างเดียวไม่ได้ การเข้าร่วมชมรมหรือทีมกีฬาช่วยได้ค่ะ ถ้าไม่รู้จะไปหาเพื่อนจากไหน ิอย่างมีน้องคนหนึ่ง พอไปถึงอเมริกาปุ๊บ น้องเข้าร่วมทีมกีฬาอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียนทันที ซึ่งทำให้น้องได้เพื่อนทั้งกลุ่มทันที ซึ่งส่งผลดีต่อตัวน้อง คือ 1. ได้เพื่อนทันทีหลายคนทั้งกลุ่ม 2. ได้ทำกิจกรรม ใช้เวลาว่างให้หมดไป ทำให้ไม่มีเวลาสำหรับคิดถึงบ้าน
2. รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อต้องการ
น้องๆ หลายคนที่เจอชอบเงียบ ไม่กล้าที่จะบอกว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่กล้าที่จะบอกว่าตัวเองมีปัญหา หรือรู้สึกเกรงใจที่จะขอความช่วยเหลือจากโฮสแฟมิลี่หรือเพื่อน ซึ่งเมื่อเราไม่พูดไม่บอกว่าเรามีปัญหา คนอเมริกันเขาจะไม่ค่อยเข้ามาถามไถ่หรือเสนอความช่วยเหลือเองนะคะ ไม่ใช่ว่าเขาเย็นชาหรืออะไร แต่เขาคิดว่าถ้าเรามีปัญหาเราก็คงมาบอก คนอเมริกันไม่รู้จักคำว่าเกรงใจนะคะ และคำศัพท์คำนี้ไม่มีในภาษาอังกฤษด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีปัญหา เราต้องการความช่วยเหลือ เราต้องพูด ต้องบอกค่ะ จะเงียบไว้แล้วรอให้ครู โฮส หรือเพื่อนใช้พลังจิตรู้เอง แล้วเสนอตัวมาช่วยเหลือเองไม่ได้ ยิ่งขอความช่วยเหลือได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีกับตัวเองเท่านั้น เช่น เรียนไม่รู้เรื่อง เรียนไม่ทัน ไม่รู้จะเข้าหาเพื่อนอย่างไร คิดถึงบ้าน ไม่มีสมาธิ เป็นต้น ขอแล้วเขาช่วยได้ไม่ได้อย่างไรก็ค่อยว่ากันค่ะ
แต่ก็มีหลายๆ ครั้งที่เด็กๆ มาขอความช่วยเหลือจากเราในเรื่องเล็กๆ ที่เด็กสามารถจัดการเองได้ เช่น ไม่ชอบให้หมาเข้ามาในห้องนอน หรือไม่ชอบอาหารที่โฮสทำให้กิน แต่ยังไม่เคยบอกกับโฮสเองเลย จะให้เราบอกให้ อันนี้เราก็จะแนะนำให้น้องพูดกับโฮสเองก่อนค่ะ เพราะนี้คือสเต็ปหนึ่งของการเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าอะไรนิดหน่อยเราจะเข้าไปยุ่มย่าม จัดการให้เลยทันที น้องต้องเรียนรู้ที่จะจัดการปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ด้วยตัวเองก่อน อ่อ อีกอย่างค่ะ ให้ขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้ก่อน เช่น ถ้าครูหรือโฮสช่วยได้ก็บอกเขาก่อน เพราะถ้าน้องบอกพ่อแม่ที่ไทย นอกจากพ่อแม่จะช่วยไม่ได้แล้ว ระยะทางไกลๆ ยังทำให้พ่อแม่ขยายปัญหานั้นให้ยิ่งใหญ่เข้าไปอีกเพราะความเป็นห่วงลูกค่ะ
3. เอาความคิด “ทำไมเขาไม่ทำอย่างโน่น ทำไมเขาไม่ทำแบบนี้” ออกจากหัว
อันนี้เจอบ่อยสำหรับนักเรียนหรือเพื่อนต่างชาติที่เจอกับคัลเจอร์ช็อค เพื่อนต่างชาติที่ตั้งใจจะมาอยู่ไทยนานๆ ถ้าคนไหนเริ่มบ่นเกี่ยวกับทำไมประเทศไทยทำไมไม่ทำแบบนั้นแบบนี้ เพื่อนคนนั้นมักจะอยู่ไทยได้ไม่นานเท่าที่หวังทุกที เพราะนอกจากบ่นไม่จบแล้ว เขายังคาดหวังให้ทั้งประเทศเปลี่ยนแปลงเพื่อตัวเขาคนเดียว ดังนั้นสำหรับเด็กแลกเปลี่ยนก็เหมือนกัน ถ้าเห็นอะไรก็ขัดหูขัดตา เริ่มรู้สึกว่าทำไมไม่ทำให้เหมือนที่ไทย ทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ แน่นอนว่าเรามีความเห็นต่อสิ่งต่างๆได้ แต่สิ่งถัดไปที่ต้องทำคือ ปรับตัวค่ะ เช่น ถ้ารู้สึกแปลกๆ เมื่อต้องกินน้ำจากก๊อก ก็เอากระติกน้ำมาใส่น้ำแล้วแช่ตู้เย็นก็ได้ค่ะ หรืออาหารไม่ถูกปากก็ลองเติมโน่นเติมนี้เข้าไปจนพบรสชาติที่ตัวเองต้องการ เพราะโฮสคงไม่สามารถทำไข่เจียว ไข่ดาว ให้กินได้ทุกวัน
นอกจากนี้ก็มีเรื่องความคาดหวัง มีนักเรียนหลายๆ คนที่คาดหวังว่าโฮสแฟมิลี่จะพาท่องเที่ยวเหมือนไกด์ทัวร์ แต่จริงๆ แล้วเรามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตวิถีแบบคนท้องถิ่น ซึ่งเขาก็มีงานมีการต้องรับผิดชอบ จะให้เขาพาเที่ยวตลอดเวลาหรือเอนเตอร์เทนเราให้สนุกตลอดเวลาคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นตัวน้องเองก็ต้องรู้จักปรับตัว ถ้าอยู่บ้านเบื่อก็ออกไปหาอะไรทำ เพราะจะนั่งเบื่ออยู่ที่เดิมก็คงไม่ทำให้หายเบื่อได้ อย่างถ้าได้อยู่เมืองที่เงียบสงบปลอดภัย เด็กสามารถเดินไปบ้านเพื่อนเองได้เลยค่ะ ไปเล่นคิกบอลหรือเล่นบอร์ดเกมบ้านเพื่อนก็ได้ หรือจะอยู่โรงเรียนทำกิจกรรมที่โรงเรียนก็ได้ (แต่อย่าลืมบอกโฮสก่อนด้วยนะคะ) เพราะฉะนั้นจะวนกลับมาที่น้องต้องหาเพื่อนให้ได้อีกแล้วค่ะ
4. รู้เท่าทัน Homesickness
หลายๆ คนอาจจะคิดว่าโฮมซิกนี่คือการร้องไห้คิดถึงพ่อแม่ แต่จริงๆ ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ เราเจอมาหลากหลายวิธีการมากค่ะ การแสดงออกของเด็กแต่ละคนแต่ละวัยไม่เหมือนกัน อย่างเด็กเล็กๆ นี่นอกจากจะมีแบบร้องไห้คิดถึงแล้วก็มีแบบไม่อาบน้ำ ไม่สระผมเป็นอาทิตย์ค่ะ สำหรับพวกเหล่าวัยรุ่นก็จะเป็นประมาณหมกตัวอยู่ในห้อง เราได้ทำเช็คลิสต์ให้ ถ้ามีอาการดังนี้ ให้รู้ตัวว่าเราอาจจะกำลังโฮมซิกค่ะ
□ ไม่อาบน้ำ ไม่สระผมหลายวันติด (ไม่ดูแลตัวเอง)
□ ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์
□ ไม่มีความรู้สึกอยากพูดคุยกับเพื่อน หรือครอบครัวอุปถัมป์
□ อยากอยู่คนเดียว ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องคนเดียว
□ ใช้เวลาส่วนใหญ่คุย/แชทกับเพื่อนที่ไทย
□ คุยกับพ่อแม่นานกว่า 30 นาทีต่อวัน/ทุกวัน
□ มีความรู้สึกทุรนทุรายเวลาไม่ได้ใช้อินเตอร์เนต ไม่ได้แชทกับเพื่อนหรือคนที่ไทย
□ เรื่องเล็กน้อยแต่ทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนมันยิ่งใหญ่มาก
(ทำไปทำมาคล้ายอาการคนซึมเศร้า) ถ้ารู้ตัวว่าเรากำลังใช้เวลาส่วนใหญ่ทำแบบที่ลิสต์มา ให้รู้ตัวเองค่ะ หยุดทำแล้วพยายามออกไปข้างนอก พาตัวเองออกไปนอกห้องนอน ไปคุยกับโฮส ระบายให้โฮสหรือเพื่อนฟัง รู้ว่ามันยาก แต่อยากให้พยายามทำนะคะ เราต้องยอมรับความจริงที่ว่าตอนนี้เราอยู่ที่นี่ ไม่ใช่อยู่ที่ไทย การคุยกลับประเทศไทย คิดถึงและโฟกัสสิ่งที่เกิดขึ้นที่ไทย ไม่ทำให้เรามีความสุขขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่น้องไปอยู่ในระยะสั้นๆ สิ่งที่ควรทำคือโฟกัสในที่ๆ น้องอยู่ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุด
สำหรับน้องๆที่ไปเมืองหนาว อันนี้บางทีความหนาวและความหมนๆ ของฟ้าในช่วงฤดูหนาวอาจทำให้น้องคิดถึงบ้านได้ ถ้าน้องเริ่มมีอาการเหมือนจะซึมเศร้า จริงๆ มันจะมีพวก UV Lamp สามารถเอาเปิดในห้องอาจจะช่วยได้ค่ะ
5. อย่าเข้าไปยุ่งกับอบายมุข, สิ่งผิดกฎหมาย, สถานที่ที่ไม่ควรอยู่ หรือทำพฤติกรรมแย่ๆ
เรื่องนี้เคยเจอตอนเริ่มทำงานแรกๆ ตอนนั้นยังไม่ประสีประสา เจอเด็กสูบบุหรี่ที่โรงเรียนเข้าไป โดนไล่ออกเลยค่ะ โดยไล่ออกแล้วไปไหน? ก็ต้องกลับไทยทันทีน่ะสิคะ เพราะว่าโฮสคงไม่ไหวใจให้เด็กที่สูบบุหรี่ที่โรงเรียนอยู่บ้านเขาคนเดียวระหว่างที่เขาไปทำงานแน่นอน
หลังจากนั้นก็เป็นพิธีที่เราจะต้องอบรมเด็กๆ ก่อน คือบางทีเด็กอยู่ที่ไทยก็เป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ไม่มีแววเลยค่ะ แต่พอได้ไปต่างประเทศปุ๊บ ได้อิสระแล้วยังไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร คิดว่าโรงเรียนอเมริกันที่เขาเห็นในหนังมันคือเรื่องจริง มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ ส่วนตัวไม่รู้ว่าโรงเรียนรัฐอื่นเป็นยังไง แต่โรงเรียนรัฐและเมื่องที่เรารู้จักเขารักครูและเขารักเรียนค่ะ เขาไม่มีการไปด่าครูแบบในหนังฮอลิวูดนะคะ เผลอๆเราไปด่าครูของเขา เราเองจะโดนต่อยเอาค่ะ และอย่าลืมว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยน ไม่ใช่พลเมืองบ้านเขา ถ้าเขาห้ามไม่ให้ดื่มของมึนเมาก่อนอายุ 20 เราก็ห้ามยุ่งเด็ดขาดค่ะ อาจจะมีที่เราไปปาร์ตี้แล้วไปเจอเพื่อนดื่มอยู่ เพื่อนเขาไม่ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ถ้าเขาโดนจับ เขาก็มีวิธีจัดการอะไรของเขาไปนะคะ แต่ถ้าเราไปทำบ้าง ผลกระทบที่เราจะได้รับนั้นแตกต่างและเสียหายมากกว่าเยอะค่ะ เผลอๆ โดยส่งกลับประเทศค่ะ
แล้วถ้าเพื่อนไซโค กดดันให้ดื่ม ให้เสพย์ละ? ช่างหัวเพื่อนนะคะ บอกตามตรงจากประสบการณ์ว่าเพื่อนดีๆ เมื่อเราปฏิเสธแล้ว เขาจะไม่กดดันให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำค่ะ ถ้าเราไม่ทำแล้วจะเสียเพื่อน ก็เสียไปค่ะ เพราะเพื่อนแบบนี้ไม่ใช่เพื่อนที่ดีอยู่แล้ว อย่าไปเสียดาย ชีวิตเรายังได้เจอเพื่อนที่ดีอีกเยอะค่ะ
อีกเรื่องคืออย่าไปอยู่ในที่ๆ ไม่ควรอยู่ ถ้าพลาดท่าไปอยู่ในสถานที่ๆ เรารู้อยู่แล้ว เราไม่ควรอยู่ อยู่แล้วน่าจะมีปัญหา ให้รีบออกมาจากที่นั่นค่ะ ถึงแม้ว่าต้องโทรบอกโฮสให้โฮสมารับ อาจจะโดนดุ แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าดีกว่าอยู่ต่อแล้วมีปัญหาแน่นอน โดยเฉพาะรถที่ขับโดยเพื่อนที่ดื่มของมึนเมา ห้ามขึ้นเด็ดขาด ถ้าเพื่อนเมาแล้วจะไปส่งเรา ให้โทรหาโฮสทันทีค่ะถึงแม้จะดึกดื่นมืดค่ำขนาดไหน หรือแอบหนีออกไป แต่อย่ากลับกับคนเมาเด็ดขาด อย่าเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายค่ะ
6. ให้ระวังค่าใช้จ่ายเล็กน้อย
เพราะมันรวมกันออกมาแล้วมันจะมากค่ะ โดยเฉพาะคนที่พยายามจะประหยัดงบนะคะ ส่วนตัวมีนักเรียนทั้งสองแบบ แบบที่ใช้จ่ายได้ไม่อั้นนี่ถ้าพ่อแม่มีก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรค่ะ แต่ถ้าเราต้องช่วยพ่อแม่ประหยัดก็ต้องระวังค่ะ บางอย่างไม่ได้นึกถึงแต่พอถึงเวลามันก็ต้องจ่าย เช่น พวกค่าโทรศัพท์รายเดือน ค่าขนมที่หยอดตู้ที่โรงเรียน จริงๆแล้วแพงนะคะ ไอ้พวกตู้หยอดพวกนี้ ถ้าหยอดทุกวันวันละ 5 เหรียญ (ขนม 1 ถุง น้ำอัดลม 1 ขวด) รวมกันทั้งเดือนก็เป็นร้อยเหรียญต่อเดือนแล้วค่ะ สามารถประหยัดได้โดยการซื้อขนมเป็นแพคๆ ที่ซูเปอร์แล้วเอาไปโรงเรียนแทนค่ะ
(มีต่ออีก 1 ข้อค่ะ)