[๒๒] ๑. ถ้าบุคคลทราบตนว่าเป็นที่รัก พึงรักษาตนนั้น
ให้เป็นอันรักษาด้วยดี บัณฑิตพึงประคับประคอง(ตน)
ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง.
๒. บัณฑิตพึงตั้งตนนั่นแล ในคุณอันสมควร
ก่อนพึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง จะไม่พึงเศร้าหมอง.
๓. ถ้าผู้อื่นพร่ำสอนผู้อื่นอยู่ฉันใด พึงทำตาม
ฉันนั้น บุคคลผู้มีตนฝึกดีแล้วหนอ (จึง) ควรฝึก
(ผู้อื่น) เพราะว่าได้ยินว่า ตนฝึกฝนได้โดยยาก.
๔. ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่าพึง
เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้
ที่พึ่งที่บุคคลได้โดยยาก.
๕. บาปอันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็น
แดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชร
ย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น.
" ภิกษุทั้งหลาย เพราะบุคคลอาศัยคน
อื่น ไม่สามารถเพื่อจะมีสวรรค์หรือมรรคเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้, ฉะนั้น
ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน, คนอื่นจะทำอะไรได้ " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า:-
๔. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน. บุคคลอื่นใครเล่า พึง
เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคล มีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้
พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก. "
เรื่องมีอยู่ว่า
๕. เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล [๑๓๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกผู้
โสดาบันคนหนึ่งชื่อมหากาล ตรัสพระธรรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตนา หิ
กตํ ปาปํ " เป็นต้น.
มหากาลถูกหาว่าเป็นโจรเลยถูกทุบตาย
ได้ยินว่า มหากาลนั้นเป็นผู้รักษาอุโบสถ ๘ วันต่อเดือน (เดือน
ละ ๘ วัน) ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร. ครั้งนั้นพวกโจรตัด
ที่ต่อในเรือนหลังหนึ่งในเวลากลางคืน ถือเอาห่อภัณฑะไป ถูกพวก
เจ้าของตื่นขึ้น เพราะเสียงภาชนะโลหะ (กระทบกัน) ติดตามแล้ว ทิ้งสิ่ง
ของที่ตนถือไว้แล้วก็หลบหนีไป.
ฝ่ายพวกเจ้าของ ติดตามโจรเหล่านั้นเรื่อยไป. พวกโจรเหล่านั้น
กระจัดกระจายหนีกันไปทั่วทิศ. ส่วนโจรคนหนึ่ง ถือเอาทางที่ไปยังวิหาร
ทิ้งห่อภัณฑะไว้ข้างหน้ามหากาล ผู้ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง ล้างหน้า
อยู่ริมสระโบกขรณีแต่เช้าตรู่แล้ว หลบหนีไป.
พวกมนุษย์ติดตามหมู่โจรมา พบห่อภัณฑะแล้ว จึงจับมหากาลนั้น
ไว้ ด้วยกล่าวว่า " แกตัดที่ต่อในเรือนของพวกฉัน ลักห่อภัณฑะไปแล้ว
เที่ยวเดินเหมือนฟังธรรมอยู่ " ได้ทุบให้ตายแล้วก็ทิ้งไว้เลยไป.
มหากาลตายสมแก่บุรพกรรม
ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายถือหม้อน้ำดื่มไปแต่เช้าตรู่
พบมหากาลนั้น กล่าวว่า " อุบาสกฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ได้มรณะ
ไม่สมควร " ดังนี้แล้ว จึงได้กราบทูลแด่พระศาสดา.
พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย นายกาล๑ ได้มรณะไม่
สมควรในอัตภาพนี้, แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่ทำไว้แล้วในกาล
ก่อนนั่นแล " อันภิกษุหนุ่มและสามเณรเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงตรัส
บุรพกรรมของมหากาลนั้นว่า:-
บุรพกรรมของมหากาล
ดังได้สดับมา ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงแห่งปัจจันตคาม๒
แห่งหนึ่ง ในแคว้นของพระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงตั้งราชภัฏคน๓
หนึ่งไว้ที่ปากดง. ราชภัฏนั้นรับค่าจ้างแล้ว ก็นำคนไปจากฟากข้างนี้ สู่
ฟากข้างโน้น. นำคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้.
ต่อมนุษย์คนหนึ่ง พาภริยารูปสวยของตนขึ้นสู่ยานน้อยแล้ว ได้
ไปถึงที่นั้น. ราชภัฏพอเห็นหญิงนั้น ก็เกิดสิเนหา เมื่อมนุษย์นั้น
แม้กล่าวว่า " นาย ขอท่านจงช่วยกระผมทั้งสองให้ผ่านพ้นดงเถิด. " ก็ตอบ
ว่า " บัดนี้ ค่ำมืดเสียแล้ว. เช้าตรู่เถอะ เราจักช่วยให้ท่านพ้นไป. "
มนุษย์. นาย ยังมีเวลา, ขอโปรดนำกระผมทั้งสอง ไปเดี๋ยวนี้เถอะ.
ราชภัฏ. กลับเถิดท่านผู้เจริญ อาหารและที่พักอาศัยจักมีในเรือน
ของเราทีเดียว.
มนุษย์นั้นไม่ปรารถนากลับเลย. ฝ่ายราชภัฏนอกนี้ ให้สัญญาแก่
พวกบุรุษ ยังยานน้อยให้กลับแล้ว ให้ที่พักอาศัยที่ซุ้มประตู ให้ตระเตรียม
อาหารแก่เขาผู้ไม่ปรารถนาเลย. ก็ในเรือนราชภัฏนั้นมีเเก้วมณีดวงหนึ่ง.
เขาให้เอาแก้วมณีนั้นซ่อนไว้ในซอกแห่งยานน้อย ของมนุษย์ผู้นั้นแล้ว
ในเวลาจวนรุ่ง ให้ทำเสียงเป็นพวกโจรเข้าไป (บ้าน).
๑. น่ามีมหาด้วย. ๒. บ้านตั้งอยู่ริมเขตแดน. ๓. คนอันพระราชาชุบเลี้ยง ได้แก่ข้าราชการ
ลำดับนั้น พวกบุรุษแจ้งแก่เขาว่า " นาย แก้วมณีถูกพวกโจรลัก
เอาไปแล้ว. " เขาสั่งว่า " พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านทั้งหลาย
ตรวจค้นคนผู้ออกไปจากภายในบ้าน. " ฝ่ายมนุษย์นอกนี้ จัดยานน้อย
เสร็จแล้วก็ขับไปแต่เช้าตรู่. ทีนั้น พวกคนใช้ของราชภัฏ จึงค้นยานน้อย
ของมนุษย์นั้น พบแก้วมณีที่ตนซ่อนไว้จึงขู่พูดว่า " เจ้าลักเอาแก้วมณี
หนีไป " ดังนี้แล้ว ก็โบย แสดงแก่นายบ้านว่า " นาย พวกผมจับตัว
ได้เเล้ว." เขาพูดว่า " ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏ ให้พักอาศัยในเรือน
ให้ภัตแล้ว. มันยังลักแก้วมณีไปได้. พวกเจ้าจงจับอ้ายบุรุษชั่วช้านั้น "
ดังนี้แล้ว ให้ช่วยกันทุบตายแล้วให้ทิ้งเสีย. นี้เป็นบุรพกรรมของมหากาล
นั้น. ราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจี
นั้นสิ้นกาลนาน ถูกทุบถึงความตายอย่างนั้นแล ใน ๑๐๐ อัตภาพ เพราะ
วิบากที่ยังเหลืออยู่.
บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมของมหากาลอย่างนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้
ในอบาย ๔ อย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
๕. อตฺตนา กตํ ปาปํ อตฺตชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ วชิรํวมฺหยํ มณึ.
" บาป อันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็น
แดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชร
ย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น. "
ว่าด้วยเรื่องตน
ให้เป็นอันรักษาด้วยดี บัณฑิตพึงประคับประคอง(ตน)
ตลอดยามทั้งสาม ยามใดยามหนึ่ง.
๒. บัณฑิตพึงตั้งตนนั่นแล ในคุณอันสมควร
ก่อนพึงสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง จะไม่พึงเศร้าหมอง.
๓. ถ้าผู้อื่นพร่ำสอนผู้อื่นอยู่ฉันใด พึงทำตาม
ฉันนั้น บุคคลผู้มีตนฝึกดีแล้วหนอ (จึง) ควรฝึก
(ผู้อื่น) เพราะว่าได้ยินว่า ตนฝึกฝนได้โดยยาก.
๔. ตนแลเป็นที่พึ่งของตน บุคคลอื่นใครเล่าพึง
เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคลมีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้
ที่พึ่งที่บุคคลได้โดยยาก.
๕. บาปอันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็น
แดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชร
ย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น.
" ภิกษุทั้งหลาย เพราะบุคคลอาศัยคน
อื่น ไม่สามารถเพื่อจะมีสวรรค์หรือมรรคเป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้, ฉะนั้น
ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน, คนอื่นจะทำอะไรได้ " ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า:-
๔. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ.
" ตนแลเป็นที่พึ่งของตน. บุคคลอื่นใครเล่า พึง
เป็นที่พึ่งได้ เพราะบุคคล มีตนฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้
พึ่ง ที่บุคคลได้โดยยาก. "
เรื่องมีอยู่ว่า
๕. เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล [๑๓๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกผู้
โสดาบันคนหนึ่งชื่อมหากาล ตรัสพระธรรรมเทศนานี้ว่า " อตฺตนา หิ
กตํ ปาปํ " เป็นต้น.
มหากาลถูกหาว่าเป็นโจรเลยถูกทุบตาย
ได้ยินว่า มหากาลนั้นเป็นผู้รักษาอุโบสถ ๘ วันต่อเดือน (เดือน
ละ ๘ วัน) ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่งในวิหาร. ครั้งนั้นพวกโจรตัด
ที่ต่อในเรือนหลังหนึ่งในเวลากลางคืน ถือเอาห่อภัณฑะไป ถูกพวก
เจ้าของตื่นขึ้น เพราะเสียงภาชนะโลหะ (กระทบกัน) ติดตามแล้ว ทิ้งสิ่ง
ของที่ตนถือไว้แล้วก็หลบหนีไป.
ฝ่ายพวกเจ้าของ ติดตามโจรเหล่านั้นเรื่อยไป. พวกโจรเหล่านั้น
กระจัดกระจายหนีกันไปทั่วทิศ. ส่วนโจรคนหนึ่ง ถือเอาทางที่ไปยังวิหาร
ทิ้งห่อภัณฑะไว้ข้างหน้ามหากาล ผู้ฟังธรรมกถาตลอดคืนยังรุ่ง ล้างหน้า
อยู่ริมสระโบกขรณีแต่เช้าตรู่แล้ว หลบหนีไป.
พวกมนุษย์ติดตามหมู่โจรมา พบห่อภัณฑะแล้ว จึงจับมหากาลนั้น
ไว้ ด้วยกล่าวว่า " แกตัดที่ต่อในเรือนของพวกฉัน ลักห่อภัณฑะไปแล้ว
เที่ยวเดินเหมือนฟังธรรมอยู่ " ได้ทุบให้ตายแล้วก็ทิ้งไว้เลยไป.
มหากาลตายสมแก่บุรพกรรม
ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายถือหม้อน้ำดื่มไปแต่เช้าตรู่
พบมหากาลนั้น กล่าวว่า " อุบาสกฟังธรรมกถาอยู่ในวิหาร ได้มรณะ
ไม่สมควร " ดังนี้แล้ว จึงได้กราบทูลแด่พระศาสดา.
พระศาสดา ตรัสว่า " อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย นายกาล๑ ได้มรณะไม่
สมควรในอัตภาพนี้, แต่เขาได้มรณะสมควรแก่กรรมที่ทำไว้แล้วในกาล
ก่อนนั่นแล " อันภิกษุหนุ่มและสามเณรเหล่านั้นทูลอาราธนา จึงตรัส
บุรพกรรมของมหากาลนั้นว่า:-
บุรพกรรมของมหากาล
ดังได้สดับมา ในอดีตกาลพวกโจรซุ่มอยู่ที่ปากดงแห่งปัจจันตคาม๒
แห่งหนึ่ง ในแคว้นของพระเจ้าพาราณสี. พระราชาทรงตั้งราชภัฏคน๓
หนึ่งไว้ที่ปากดง. ราชภัฏนั้นรับค่าจ้างแล้ว ก็นำคนไปจากฟากข้างนี้ สู่
ฟากข้างโน้น. นำคนจากฟากข้างโน้นมาสู่ฟากข้างนี้.
ต่อมนุษย์คนหนึ่ง พาภริยารูปสวยของตนขึ้นสู่ยานน้อยแล้ว ได้
ไปถึงที่นั้น. ราชภัฏพอเห็นหญิงนั้น ก็เกิดสิเนหา เมื่อมนุษย์นั้น
แม้กล่าวว่า " นาย ขอท่านจงช่วยกระผมทั้งสองให้ผ่านพ้นดงเถิด. " ก็ตอบ
ว่า " บัดนี้ ค่ำมืดเสียแล้ว. เช้าตรู่เถอะ เราจักช่วยให้ท่านพ้นไป. "
มนุษย์. นาย ยังมีเวลา, ขอโปรดนำกระผมทั้งสอง ไปเดี๋ยวนี้เถอะ.
ราชภัฏ. กลับเถิดท่านผู้เจริญ อาหารและที่พักอาศัยจักมีในเรือน
ของเราทีเดียว.
มนุษย์นั้นไม่ปรารถนากลับเลย. ฝ่ายราชภัฏนอกนี้ ให้สัญญาแก่
พวกบุรุษ ยังยานน้อยให้กลับแล้ว ให้ที่พักอาศัยที่ซุ้มประตู ให้ตระเตรียม
อาหารแก่เขาผู้ไม่ปรารถนาเลย. ก็ในเรือนราชภัฏนั้นมีเเก้วมณีดวงหนึ่ง.
เขาให้เอาแก้วมณีนั้นซ่อนไว้ในซอกแห่งยานน้อย ของมนุษย์ผู้นั้นแล้ว
ในเวลาจวนรุ่ง ให้ทำเสียงเป็นพวกโจรเข้าไป (บ้าน).
๑. น่ามีมหาด้วย. ๒. บ้านตั้งอยู่ริมเขตแดน. ๓. คนอันพระราชาชุบเลี้ยง ได้แก่ข้าราชการ
ลำดับนั้น พวกบุรุษแจ้งแก่เขาว่า " นาย แก้วมณีถูกพวกโจรลัก
เอาไปแล้ว. " เขาสั่งว่า " พวกเจ้าจงตั้งกองรักษาไว้ที่ประตูบ้านทั้งหลาย
ตรวจค้นคนผู้ออกไปจากภายในบ้าน. " ฝ่ายมนุษย์นอกนี้ จัดยานน้อย
เสร็จแล้วก็ขับไปแต่เช้าตรู่. ทีนั้น พวกคนใช้ของราชภัฏ จึงค้นยานน้อย
ของมนุษย์นั้น พบแก้วมณีที่ตนซ่อนไว้จึงขู่พูดว่า " เจ้าลักเอาแก้วมณี
หนีไป " ดังนี้แล้ว ก็โบย แสดงแก่นายบ้านว่า " นาย พวกผมจับตัว
ได้เเล้ว." เขาพูดว่า " ตัวเราเป็นถึงนายราชภัฏ ให้พักอาศัยในเรือน
ให้ภัตแล้ว. มันยังลักแก้วมณีไปได้. พวกเจ้าจงจับอ้ายบุรุษชั่วช้านั้น "
ดังนี้แล้ว ให้ช่วยกันทุบตายแล้วให้ทิ้งเสีย. นี้เป็นบุรพกรรมของมหากาล
นั้น. ราชภัฏนั้นเคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี ไหม้อยู่ในอเวจี
นั้นสิ้นกาลนาน ถูกทุบถึงความตายอย่างนั้นแล ใน ๑๐๐ อัตภาพ เพราะ
วิบากที่ยังเหลืออยู่.
บาปย่อมย่ำยีผู้ทำ
พระศาสดา ครั้นทรงแสดงบุรพกรรมของมหากาลอย่างนั้นแล้ว
ตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย บาปกรรมอันตนทำไว้นั่นแล ย่อมย่ำยีสัตว์เหล่านี้
ในอบาย ๔ อย่างนี้ " ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-
๕. อตฺตนา กตํ ปาปํ อตฺตชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ วชิรํวมฺหยํ มณึ.
" บาป อันตนทำไว้เอง เกิดในตน มีตนเป็น
แดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคลผู้มีปัญญาทราม ดุจเพชร
ย่ำยีแก้วมณี อันเกิดแต่หินฉะนั้น. "