ถ้าถูก (อดีต) เพื่อนหน้าด้านอย่างงี้มายืมเงินเเละยังหนีหนี้ไปอีก เป็นท่านจะทำยังไงครับ ?
ครับ เรื่องนี้จริงๆมันผ่านมาหลายปีเเล้ว เเละผมก็ได้เงินคืนเเล้วนะครับ เเต่ทุกครั้งที่หวนคิดถึงเรื่องนี้ขี้นมา (มันอดไม่ได้ที่จะต้องมีเรื่องนี้เเว้บขึ้นมาในหัว) เเล้วมันก็ยังอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้น่ะครับ
คือ ผมมี (อดีต) เพื่อนคนนึง ซึ่งก็ไม่ได้สนิทอะไรมากมาย เเบบว่าเรียนกันคนละคณะ เเต่ก็รู้จักเพราะเคยเรียนวิชาเดียวกันตอนเรียนมหาลัย ตอนที่ผมจบจากคณะนึงเเล้วมาเรียนต่ออีกคณะนึงเป็นปริญญาตรีใบที่สอง (จบรัฐศาสตร์มาก่อนเเล้วมาเรียนนิติ) ผมก็เห็นไอ้หมอนี่มันมานั่งเรียนอยู่ด้วย (เพราะมันเรียนกฎหมายอยู่ด้วยที่รามฯ) มันก็มาตีสนิทกับลุงภารโรงประจำห้องเเละกับตัวผมเอง (ที่มันรู้จักอยู่ก่อนเเล้ว) เเล้วก็กึ่งยืมกึ่งไถเงินจากลุงภารโรง 1000 บาทจากผมอีกครั้งละ 1000 2 ครั้งก่อนหน้า มาครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะหายหัวไปนี่มันมายืนตื๊อผมอยู่หน้าตู้เอทีเอ็มเลยครับ บอกว่า เฮ้ย ไม่ได้จริงๆ (ไม่ได้ได้ไง นี่มันเงินกูรึเปล่าวะ ?????) ไม่ไหวเเล้วจริงๆ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าญาติโอนตังมาให้ เเล้วคืนให้เเน่ๆ เเล้วมันก็มาทำโอบกอดผม (หน้าตู้เอทีเอ็มนั้นเเหล่ะครับ) ผมเลยกดตังให้มันไปอีก 1000 (รวมเป็น 3000) โดยทำหลักฐานเป็นกนังสือไว้ตามกฏหมาย เสร็จเเล้ว... เชื่อมั้ยครับว่าหลังจากวันนั้นมาผมไม่เคยเห็นเเม้เเต่เงาหัวของมันอีกเลย (คือไม่โหล่หัวมาเเอบนั่งเรียนที่คณะนิติอีกเลย) เวลาผ่านไปเป็นปีเเล้ว ตอนเเรกผมก็ยังคิดเเบบโลกสวยอยู่ ผมก็บอกลุงภารโรงไปว่า เราสองคนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของมัน ยังไงถ้ามันอยากได้ตังอยู่มันก็คงโผล่หัวมาซักวัน เเต่จนเเล้วจนรอดมันก็ไม่โผล่หัวมาจนกระทั่งผมเรียนจบไป... ผมจึงมาตระหนักได้ว่าในระหว่างนี้มันคงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจร ยืมตังคนอื่น (เท่าที่จะมีคนให้ยืมได้) เเละก็หนีหนี้ไปเรื่อย (เพราะมันเป็นคนที่ใช่จ่ายเกินตัวอยู่เเล้ว จากที่ผมเคยคุยกับมัน) หลักฐานที่ผมมีอยู่มันก็ไม่ต่างการที่มันทิ้งเศษกระดาษไว้ให้ผมดูต่างหน้าเลยครับ
อยู่มาวันนึง ตอนนั้นผมเปลี่ยนเสิร์ชเอนจิ้นตัวใหม่พอดี เเละลองพิมพ์ชื่อ-นามสกุลมันลงไปเผื่อว่าจะเจออะไรบ้าง (จากที่เคยลองพิมพ์หาในกุ๊กเกิ้ลมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก่นหน้าเเล้วก็ไม่เจอร่องรอยของมันเลย) ก็เห็นว่ามันไปสอบได้เป็นนิติกรที่ศาลจังหวัดเเห่งนึงทางภาคอีสาน ผมก็รีบเเจ้นไปบอกลุงภารโรงเลยว่าผมเจอตัวมันเเล้ว จะช่วยทวงเงินคืนให้ขอให้ลุงอย่าเพิ่งถอดใจ
ตอนนั้น... ผมเองก็ไม่อยากเเหวกหญ้าให้งูติ่นเลยถามลุงภารโรงไปว่ามัน (ลูกหนี้) เคยเล่าให้ลุงฟังมั้ยว่ามันมีญาติพี่น้องที่ไหนมั่ง ผมจะไปลองหาดู เผื่อว่าเขาจะยอมช่วย (ซึ่งผมก็เจอจริงๆ คนนามสกุลเดียวกัน เเละก็เป็นฐาติมันด้วย) ผมก็โทรไปหาญาติมันซึ่งตอนเเรกเขาก็บิกว่าไม่มีเบอร์มัน (เเต่เขาจะยอมให้ทีหลังนะครับ เพราะเขาบอกว่าตอนเเรกก็ไม่รู้ว่าใครโทรมา) อีกทางหนึ่งผมให้ลุงภารโรงโทรไปหาที่ศาลจังหวัดที่มันทำงานอยู่ เเต่มันก็ให้เบอร์ปลอมมา
จนผมไม่ไหวกับมันเเล้วครับ เลยต้องส่งจดหมายทวงหนี้ไปหามันเเละขู่มันว่าผมจะร้องเรียนผ.บ. มัน จนมันตกลงยอมคืนเงินให้ ตอนที่มันคืนให้มันยังมา

ว่ามันเห็นใจผมกลัวผมไม่มีเงินใช้ (หน้าด้านซะไม่มี ถ้าเห็นใจกูจริงคงไม่หนีหนี้กูไปตั้งเเต่เเรกเเล้ว) ส่วนลุงภารโรงนั้นบอกว่า ลุงยกหนี้ให้มันไปเเล้ว ถือว่าให้ทานไป...
ส่วนตัวผมถึงเเม้ว่าไม่มีเงิน 3000 นี้ผมจะไม่เดือดร้อนก็ตาม เเต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่มีรายได้เป็นของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งเงินที่ให้มันยืมไปก็คือเงินที่พ่อเเม่ผมให้เป็นค่าขนมนั่นเอง ส่วนลุงภารโรงนั้นผมเห็นใจเเก เพราะเป็นคนหัวอกเดียวกัน เเละฐานะเเกก็ไม่ดีอยู่เเล้วยังมาถูกไอ้หน้าด้านตัวนี้ มาหลอกเอาตังไปอีก...
เลยอยากถามว่าหากท่านทั้งหลายอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้จะคิดยังไง เเละจะทำยังไงครับ เพราะ (ต่อไป) ไม่เเน่ว่าผมยังต้องเจอเหตการณ์ทำนองเดียวกันนี้อีก ?
ถ้าถูก (อดีต) เพื่อนหน้าด้านอย่างงี้มายืมเงินเเละยังหนีหนี้ไปอีก เป็นท่านจะทำยังไงครับ ?
ครับ เรื่องนี้จริงๆมันผ่านมาหลายปีเเล้ว เเละผมก็ได้เงินคืนเเล้วนะครับ เเต่ทุกครั้งที่หวนคิดถึงเรื่องนี้ขี้นมา (มันอดไม่ได้ที่จะต้องมีเรื่องนี้เเว้บขึ้นมาในหัว) เเล้วมันก็ยังอดตะขิดตะขวงใจไม่ได้น่ะครับ
คือ ผมมี (อดีต) เพื่อนคนนึง ซึ่งก็ไม่ได้สนิทอะไรมากมาย เเบบว่าเรียนกันคนละคณะ เเต่ก็รู้จักเพราะเคยเรียนวิชาเดียวกันตอนเรียนมหาลัย ตอนที่ผมจบจากคณะนึงเเล้วมาเรียนต่ออีกคณะนึงเป็นปริญญาตรีใบที่สอง (จบรัฐศาสตร์มาก่อนเเล้วมาเรียนนิติ) ผมก็เห็นไอ้หมอนี่มันมานั่งเรียนอยู่ด้วย (เพราะมันเรียนกฎหมายอยู่ด้วยที่รามฯ) มันก็มาตีสนิทกับลุงภารโรงประจำห้องเเละกับตัวผมเอง (ที่มันรู้จักอยู่ก่อนเเล้ว) เเล้วก็กึ่งยืมกึ่งไถเงินจากลุงภารโรง 1000 บาทจากผมอีกครั้งละ 1000 2 ครั้งก่อนหน้า มาครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะหายหัวไปนี่มันมายืนตื๊อผมอยู่หน้าตู้เอทีเอ็มเลยครับ บอกว่า เฮ้ย ไม่ได้จริงๆ (ไม่ได้ได้ไง นี่มันเงินกูรึเปล่าวะ ?????) ไม่ไหวเเล้วจริงๆ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าญาติโอนตังมาให้ เเล้วคืนให้เเน่ๆ เเล้วมันก็มาทำโอบกอดผม (หน้าตู้เอทีเอ็มนั้นเเหล่ะครับ) ผมเลยกดตังให้มันไปอีก 1000 (รวมเป็น 3000) โดยทำหลักฐานเป็นกนังสือไว้ตามกฏหมาย เสร็จเเล้ว... เชื่อมั้ยครับว่าหลังจากวันนั้นมาผมไม่เคยเห็นเเม้เเต่เงาหัวของมันอีกเลย (คือไม่โหล่หัวมาเเอบนั่งเรียนที่คณะนิติอีกเลย) เวลาผ่านไปเป็นปีเเล้ว ตอนเเรกผมก็ยังคิดเเบบโลกสวยอยู่ ผมก็บอกลุงภารโรงไปว่า เราสองคนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของมัน ยังไงถ้ามันอยากได้ตังอยู่มันก็คงโผล่หัวมาซักวัน เเต่จนเเล้วจนรอดมันก็ไม่โผล่หัวมาจนกระทั่งผมเรียนจบไป... ผมจึงมาตระหนักได้ว่าในระหว่างนี้มันคงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจร ยืมตังคนอื่น (เท่าที่จะมีคนให้ยืมได้) เเละก็หนีหนี้ไปเรื่อย (เพราะมันเป็นคนที่ใช่จ่ายเกินตัวอยู่เเล้ว จากที่ผมเคยคุยกับมัน) หลักฐานที่ผมมีอยู่มันก็ไม่ต่างการที่มันทิ้งเศษกระดาษไว้ให้ผมดูต่างหน้าเลยครับ
อยู่มาวันนึง ตอนนั้นผมเปลี่ยนเสิร์ชเอนจิ้นตัวใหม่พอดี เเละลองพิมพ์ชื่อ-นามสกุลมันลงไปเผื่อว่าจะเจออะไรบ้าง (จากที่เคยลองพิมพ์หาในกุ๊กเกิ้ลมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก่นหน้าเเล้วก็ไม่เจอร่องรอยของมันเลย) ก็เห็นว่ามันไปสอบได้เป็นนิติกรที่ศาลจังหวัดเเห่งนึงทางภาคอีสาน ผมก็รีบเเจ้นไปบอกลุงภารโรงเลยว่าผมเจอตัวมันเเล้ว จะช่วยทวงเงินคืนให้ขอให้ลุงอย่าเพิ่งถอดใจ
ตอนนั้น... ผมเองก็ไม่อยากเเหวกหญ้าให้งูติ่นเลยถามลุงภารโรงไปว่ามัน (ลูกหนี้) เคยเล่าให้ลุงฟังมั้ยว่ามันมีญาติพี่น้องที่ไหนมั่ง ผมจะไปลองหาดู เผื่อว่าเขาจะยอมช่วย (ซึ่งผมก็เจอจริงๆ คนนามสกุลเดียวกัน เเละก็เป็นฐาติมันด้วย) ผมก็โทรไปหาญาติมันซึ่งตอนเเรกเขาก็บิกว่าไม่มีเบอร์มัน (เเต่เขาจะยอมให้ทีหลังนะครับ เพราะเขาบอกว่าตอนเเรกก็ไม่รู้ว่าใครโทรมา) อีกทางหนึ่งผมให้ลุงภารโรงโทรไปหาที่ศาลจังหวัดที่มันทำงานอยู่ เเต่มันก็ให้เบอร์ปลอมมา
จนผมไม่ไหวกับมันเเล้วครับ เลยต้องส่งจดหมายทวงหนี้ไปหามันเเละขู่มันว่าผมจะร้องเรียนผ.บ. มัน จนมันตกลงยอมคืนเงินให้ ตอนที่มันคืนให้มันยังมา
ส่วนตัวผมถึงเเม้ว่าไม่มีเงิน 3000 นี้ผมจะไม่เดือดร้อนก็ตาม เเต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่มีรายได้เป็นของตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งเงินที่ให้มันยืมไปก็คือเงินที่พ่อเเม่ผมให้เป็นค่าขนมนั่นเอง ส่วนลุงภารโรงนั้นผมเห็นใจเเก เพราะเป็นคนหัวอกเดียวกัน เเละฐานะเเกก็ไม่ดีอยู่เเล้วยังมาถูกไอ้หน้าด้านตัวนี้ มาหลอกเอาตังไปอีก...
เลยอยากถามว่าหากท่านทั้งหลายอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้จะคิดยังไง เเละจะทำยังไงครับ เพราะ (ต่อไป) ไม่เเน่ว่าผมยังต้องเจอเหตการณ์ทำนองเดียวกันนี้อีก ?