เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสนั่ง “รถจักรไอน้ำ” ซึ่งเป็นรถไฟแบบโบราณ ใช้แรงดันไอน้ำทำให้รถเคลื่อนที่ หัวรถจักรประเภทนี้ยกเลิกใช้ไปตั้งแต่ปี 2517 และได้นำกลับใช้อีกครั้งในวันที่ 26 มีนาคม 2529 เป็นวันคล้ายวันสถาปนาการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงจัดรถจักรไอน้ำ 953 พหุ 962 เดินขบวนพิเศษจากสถานีกรุงเทพ - อยุธยา - กรุงเทพ นับเป็นครั้งแรกที่มีการเดินรถจักรไอน้ำในโอกาสพิเศษ
โดยใน 1 ปีรถไฟขบวนพิเศษนี้จะวิ่งเพียง 3 วัน คือ วันสถาปนากิจการรถไฟ (26 มีนาคม) วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) และวันเฉลิมพระชนมพรรษา (5 ธันวาคม)
รถไฟออกจากหัวลำโพงประมาณ 8 โมงกว่าๆ เราไปถึงสถานีรถไฟเร็ว เลยได้ถ่ายรถหัวรถจักรนิดนึง ได้ภาพมาประมาณนึงค่ะ สวยงาม คลาสสิคสุดๆ เราชอบมากๆ วันนี้นางยิ่งกว่าพระเอกร้อยล้านซะอีก เพราะคนรุมกดชัตเตอร์กันรัวๆ เลยแหละ
พอรถไฟค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯ ก็ทำให้รู้แล้วว่าการนั่งรถจักรไอน้ำมันเป็นอย่างนี้นี่เอง รถไฟปกติว่าช้าแล้ว เจอรถจักรไอน้ำเข้าไป ช้าไปอีก แต่ก็เข้าใจอ่ะนะ เพราะรถจักรไอน้ำไม่สามารถเร่งความเร็วได้ แต่อาศัยแรงดันไอน้ำในการทำให้รถไฟวิ่งไปได้ เราจึงเคลื่อนตัวไปย่างช้าๆ ชมวิวท้องทุ่งนา อะไรไปเรื่อยเปื่อย อ้อ...ลืมบอกไปนิด ทริปนี้เค้ามีแจกน้ำดื่ม ข้าวเหนียวหมูทอด และขนมหวานด้วยนะ เริ่ดป่ะล่ะ
ประมาณ 11 โมง รถจักรไอน้ำก็พาเรามาถึงอยุธยา โดยเรามีเวลาเที่ยวประมาณ 5 ชั่วโมง เพราะต้องมาถึงสถานีประมาณ 4 โมงเย็น ขอเริ่มต้นทริปด้วยการกินก๋วยเตี๋ยวเรือร้าน “ป้าเล็ก” ใกล้ๆ วัดมหาธาตุก่อนจะไปเที่ยววัดนี้ต่อ
“วัดมหาธาตุ” เป็นหนึ่งในวัดที่จัดอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในกรุงศรีอยุธยา เพราะนอกจากเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุกลางเมืองแล้ว ยังเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสีอีกด้วย และวัดมหาธาตุนี้ก็ได้ถูกทำลายลงหลังจากสงครามการเสียกรุงในครั้งที่ 2 นั่นเอง
แม้จะถูกทำลายไปถึง 2 ครั้ง แต่ก็ยังมีเจดีย์บางองค์ที่ยังคงสภาพสวยงามไว้อยู่บ้าง เราชอบสีของอิฐตามโบราณสถานมากๆ เลย มันให้ความรู้สึกย้อนยุคยังไงไม่รู้สิ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นกำแพง เราว่ามันมีเสน่ห์ดีอ่ะ มาถึงวันนี้แล้วต้องไม่พลาดไปชม “เศียรพระพุทธรูปในรากไม้” เป็นเศียรพระพุทธรูปหินทราย เหลือแค่เศียร สำหรับตัวองค์พระนั้นหายไป เป็นเศียรพระพุทธรูปสมัยอยุธยา วางอยู่ในรากต้นโพธิ์ข้างวิหารราม กลายเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นอันมาก
จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยัง “วัดธรรมิกราช” วัดสวยอีกแห่งของจังหวัด เป็นอีกวัดของอยุธยาที่ถูกพม่าเผา เหลือเพียงพระเศียร ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา พระพุทธรูปสำริดองค์นี้ยังถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะอู่ทอง หรือศิลปะยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา คือพระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม แลดูเคร่งเครียด พระพักตร์ถทึง จนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “หล่วงพ่อแก่”
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นสิงห์ล้อมรอบถึง 20 ตัวซึ่งแม้จะหักพังไปตามกาลเวลาอันเนิ่นนานมาถึง 900 ปี แต่ก็ยังหลงเหลือที่สมบูรณ์อีกหลายตัว
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการไปชมซุ้มประตูของ “วัดพระงาม” ที่ถูกโอบล้อมด้วยต้นโพธิ์ ซึ่งเรียกกันว่า ประตูแห่งกาลเวลา พร้อมชมเจดีย์ 8 เหลี่ยม
เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้ว ขอพักเติมพลังก้นหน่อยที่ร้าน “Wiwa House” ร้านกาแฟน่านั่งบนถนนอู่ทอง เรานั่งพักเหนื่อย กินน้ำจนถึงเวลาราวๆ เกือบ 4 โมงก็ไปถึงสถานีอยุธยา เพื่อรอถ่ายรูป “รถจักรไอน้ำ” นั่นเอง คราวนี้ได้ภาพตอนรถไฟกำลังออกมา ควันลอยฟุ้งเลย แค่นี้ก็พอใจมากแล้วสำหรับทริปนี้ (อิอิ) รถไฟพาเรามาถึงหัวลำโพงประมาณ 1 ทุ่ม
บ๊าย บายอยุธยาจนกว่าเราจะพบกันใหม่ “รักนะ..ประเทศไทย”
สรุปค่าใช้จ่าย
1. ค่ารถไฟ (ไป-กลับ) 250 บาท
2. ค่าก๋วยเตี๋ยว 50 บาท
3. ค่าน้ำ 65 บาท
4. ค่ารถตุ๊กๆ 800 บาท หาร 7 คน คนละ 115 บาท
รวม 480 บาท
สุดท้ายนี้ ฝากเพจเล็กๆ ของเราด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/EatAndTravelWithTT/
ขอบคุณค่ะ
[CR] ท่องไปในกรุงเก่าด้วย “รถจักรไอน้ำ”
โดยใน 1 ปีรถไฟขบวนพิเศษนี้จะวิ่งเพียง 3 วัน คือ วันสถาปนากิจการรถไฟ (26 มีนาคม) วันปิยมหาราช (23 ตุลาคม) และวันเฉลิมพระชนมพรรษา (5 ธันวาคม)
รถไฟออกจากหัวลำโพงประมาณ 8 โมงกว่าๆ เราไปถึงสถานีรถไฟเร็ว เลยได้ถ่ายรถหัวรถจักรนิดนึง ได้ภาพมาประมาณนึงค่ะ สวยงาม คลาสสิคสุดๆ เราชอบมากๆ วันนี้นางยิ่งกว่าพระเอกร้อยล้านซะอีก เพราะคนรุมกดชัตเตอร์กันรัวๆ เลยแหละ
พอรถไฟค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากกรุงเทพฯ ก็ทำให้รู้แล้วว่าการนั่งรถจักรไอน้ำมันเป็นอย่างนี้นี่เอง รถไฟปกติว่าช้าแล้ว เจอรถจักรไอน้ำเข้าไป ช้าไปอีก แต่ก็เข้าใจอ่ะนะ เพราะรถจักรไอน้ำไม่สามารถเร่งความเร็วได้ แต่อาศัยแรงดันไอน้ำในการทำให้รถไฟวิ่งไปได้ เราจึงเคลื่อนตัวไปย่างช้าๆ ชมวิวท้องทุ่งนา อะไรไปเรื่อยเปื่อย อ้อ...ลืมบอกไปนิด ทริปนี้เค้ามีแจกน้ำดื่ม ข้าวเหนียวหมูทอด และขนมหวานด้วยนะ เริ่ดป่ะล่ะ
ประมาณ 11 โมง รถจักรไอน้ำก็พาเรามาถึงอยุธยา โดยเรามีเวลาเที่ยวประมาณ 5 ชั่วโมง เพราะต้องมาถึงสถานีประมาณ 4 โมงเย็น ขอเริ่มต้นทริปด้วยการกินก๋วยเตี๋ยวเรือร้าน “ป้าเล็ก” ใกล้ๆ วัดมหาธาตุก่อนจะไปเที่ยววัดนี้ต่อ
“วัดมหาธาตุ” เป็นหนึ่งในวัดที่จัดอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญที่สุดในกรุงศรีอยุธยา เพราะนอกจากเป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุกลางเมืองแล้ว ยังเป็นที่พำนักของ สมเด็จพระสังฆราช ฝ่ายคามวาสีอีกด้วย และวัดมหาธาตุนี้ก็ได้ถูกทำลายลงหลังจากสงครามการเสียกรุงในครั้งที่ 2 นั่นเอง
แม้จะถูกทำลายไปถึง 2 ครั้ง แต่ก็ยังมีเจดีย์บางองค์ที่ยังคงสภาพสวยงามไว้อยู่บ้าง เราชอบสีของอิฐตามโบราณสถานมากๆ เลย มันให้ความรู้สึกย้อนยุคยังไงไม่รู้สิ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นกำแพง เราว่ามันมีเสน่ห์ดีอ่ะ มาถึงวันนี้แล้วต้องไม่พลาดไปชม “เศียรพระพุทธรูปในรากไม้” เป็นเศียรพระพุทธรูปหินทราย เหลือแค่เศียร สำหรับตัวองค์พระนั้นหายไป เป็นเศียรพระพุทธรูปสมัยอยุธยา วางอยู่ในรากต้นโพธิ์ข้างวิหารราม กลายเป็นที่น่าสนใจของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นอันมาก
จากนั้นเรามุ่งหน้าไปยัง “วัดธรรมิกราช” วัดสวยอีกแห่งของจังหวัด เป็นอีกวัดของอยุธยาที่ถูกพม่าเผา เหลือเพียงพระเศียร ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา พระพุทธรูปสำริดองค์นี้ยังถือเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะอู่ทอง หรือศิลปะยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา คือพระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม แลดูเคร่งเครียด พระพักตร์ถทึง จนชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “หล่วงพ่อแก่”
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ทรงกลมที่มีปูนปั้นสิงห์ล้อมรอบถึง 20 ตัวซึ่งแม้จะหักพังไปตามกาลเวลาอันเนิ่นนานมาถึง 900 ปี แต่ก็ยังหลงเหลือที่สมบูรณ์อีกหลายตัว
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการไปชมซุ้มประตูของ “วัดพระงาม” ที่ถูกโอบล้อมด้วยต้นโพธิ์ ซึ่งเรียกกันว่า ประตูแห่งกาลเวลา พร้อมชมเจดีย์ 8 เหลี่ยม
เที่ยวกันจนเหนื่อยแล้ว ขอพักเติมพลังก้นหน่อยที่ร้าน “Wiwa House” ร้านกาแฟน่านั่งบนถนนอู่ทอง เรานั่งพักเหนื่อย กินน้ำจนถึงเวลาราวๆ เกือบ 4 โมงก็ไปถึงสถานีอยุธยา เพื่อรอถ่ายรูป “รถจักรไอน้ำ” นั่นเอง คราวนี้ได้ภาพตอนรถไฟกำลังออกมา ควันลอยฟุ้งเลย แค่นี้ก็พอใจมากแล้วสำหรับทริปนี้ (อิอิ) รถไฟพาเรามาถึงหัวลำโพงประมาณ 1 ทุ่ม
บ๊าย บายอยุธยาจนกว่าเราจะพบกันใหม่ “รักนะ..ประเทศไทย”
สรุปค่าใช้จ่าย
1. ค่ารถไฟ (ไป-กลับ) 250 บาท
2. ค่าก๋วยเตี๋ยว 50 บาท
3. ค่าน้ำ 65 บาท
4. ค่ารถตุ๊กๆ 800 บาท หาร 7 คน คนละ 115 บาท
รวม 480 บาท
สุดท้ายนี้ ฝากเพจเล็กๆ ของเราด้วยนะคะ https://www.facebook.com/EatAndTravelWithTT/
ขอบคุณค่ะ