เนื่องด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ได้มีแฟนบอลตั้งกระทู้มากมายวิจารณ์ถึงทัศนคติในการคุมทีมของโค้ชซิโก้ผู้เป็น(อดีต)ขวัญใจแฟนบอลสายโปรไลเซนส์คีย์บอร์ด และบรรดาเหล่ากุนซือน้อยใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในการคุมทีมฟุตบอลจากดินแดนอันไกลโพ้นนามว่าลีกยุโรป
ไอ้กระผมเองผู้มีความรู้ต่ำต้อยเรี่ยดินในทางฟุตบอลมันก็เกิดอาการคันมือยิกๆอยากจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้บ้าง จากกระแสที่ออกมาต่อต้านโค้ชซิโก้ในเรื่องของแทคติกและการเรียกตัวผู้เล่นจนมีวลีเด็ดในหลายเดือนที่ผ่านมานี้กับคำว่า "ไม่เข้าระบบ" ที่ฟังไปแล้วมันเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงขั้วหัวใจของเหล่าแฟนบอลชาวไทยโดยก่อนหน้าที่ทีมชาติไทยจะผ่านเข้ารอบคัดเลือกฟุตบอลโลกโซนเอเชีย 12 ทีมสุดท้ายนั้นคำๆนี้ยังไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นที่ดราม่าสักเท่าไหร่ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยไม่แพ้ใครเข้าวินมาเป็นที่ 1 ของสายโดยโค้ชซิโก้ในเวลานั้นได้ถูกยกย่องนำไปเปรียบกับยอดกุนซือระดับโลกหลายคนเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วความจริงก็คือความจริง เมื่อทีมชาติไทยเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียในรอบที่ 3 กลับทำผลงานได้น่าผิดหวังไอ้ความผิดหวังที่ว่านั้นไม่ใช่ผลการแข่งขัน แต่มันกลับเป็นแทคติกวิธีการเล่นเดิมๆที่ยอดโค้ชอย่าง เกรีเซ่ มูรินโก้ ใช้ซ้ำไปมาจนคู่แข่งเริ่มจะจับทางได้ประกอบกับทางทีมชาติอิรักที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยอันดับ 2 ตามหลังทีมชาติไทยได้ปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นและโค้ชจนมีสภาพทีมเปลี่ยนแปลงจากหน้าตีนเป็นหลังมือ
จากเนื้อหาข้างต้นที่ได้อธิบายไปคร่าวๆแล้ว กระผมคิดว่าโค้ชซิโก้ควรจะต้องพิจารณากับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้โดยส่วนตัวแล้วผมยังเชื่อว่าในประเทศไทยโค้ชซิโก้ถือเป็นยอดโค้ชระดับต้นๆของประเทศที่เก่งเรื่องจิตวิทยาชนิดที่หาจับตัวยาก แต่ด้วยกาลเวลาหรือเหตุอื่นใดไม่อาจทราบโค้ชซิโก้เริ่มไม่เหมือนเดิม ในช่วงหลังไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อต่างๆคำพูดของเขาเริ่มเปลี่ยนไปจิตวิทยาที่เคยมีสูงกลับลดลงอย่างน่าใจหาย มันทำให้ตัวผมอดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะมีงานนอกอย่างอื่นเข้ามากระทบหรือเปล่า?? กระแสสนับสนุนในอดีตทำให้เหลิงจนลืมหรือเปล่า ?? การเข้ารอบ 12 ทีมถือเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายโดยโค้ชซิโก้ได้เคยให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว จึงเกิดอีโก้ขึ้นมาในใจทำให้น้ำที่ไม่เคยเต็มแก้วกลับกลายเป็นน้ำล้นแก้วที่ไม่สามารถเติมอะไรเข้าไปได้อีกนับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วตัวกระผมเองก็ยังคงเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งโค้ชซิโก้จะกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้ง แต่ก่อนจะกลับมาได้นั้นคนเราเมื่อล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นได้เพราะฉะนั้นจึงอยากจะให้โค้ชซิโก้ได้พิจารณาถึงบทบาทของตนเองว่าควรจะจากไปอย่างพระเอกหรือจะไปในแบบของตัวร้ายที่ไม่มีใครอยากจะจดจำคุณในฐานะฮีโร่ของทีมชาติไทยผู้ที่ฉุดทีมชาติไทยจากยุคมืดเข้าสู่หนทางแห่งแสงสว่าง แต่ทว่าเส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบผมเองก็จะขอเป็นกำลังใจขอให้โค้ชซิโก้คนเดิมที่เคยทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วกลับมาเป็นเหมือนคนเก่าที่เคยสร้างรอยยิ้มให้กับแฟนบอลไทยอีกครั้งหนึ่ง
และเมื่อได้วิเคราะห์ต่อไปในเวลานี้จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแม่ทัพกลางศึกนั้นอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในเวลานี้ ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือจะเป็นคำตอบในตัวมันเองว่าโค้ชซิโก้ควรจะอยู่หรือไป หากไม่มีอะไรดีขึ้นแทคติกยังคงเหมือนเดิมผู้เล่นที่ฟอร์มตกก็ถูกเรียกมาใช้งานอยู่เหมือนเดิมผมเองก็เคารพในการตัดสินใจในการเลือกตัวกับแทคติกของโค้ช และแน่นอนตัวโค้ชเองก็ต้องเคารพในความคิดเห็นของแฟนบอลที่ตอบกลับมาในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นการกดดันโดยตั้งกระทู้ตามเว็บบอร์ด คอมเม้นในเฟสบุ๊ค ผมเองก็เข้าใจว่าทั้งนักบอลและโค้ชเองก็ทำงานหนักมากแต่การที่ทำอะไรไปโดยไม่แคร์กระแสแฟนบอลหากวันหนึ่งไม่มีคนเข้าไปเชียร์ในสนาม(ทีมชาติ ไม่ใช่สโมสร)จนถึงวันนั้นเองมันจะกลายเป็นวันหายนะและกลับสู่ยุคมืดของวงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง ตัวนักเตะเองก็เข้าใจอยู่แล้วว่าการรับใช้ชาติถือเป็นเกียรติอันสูงสุดในการเล่นฟุตบอล และรวมไปถึงผลพลอยได้ของค่าตัวนักเตะที่มีมูลค่ามากขึ้นหากได้ติดทีมชาติไทยเรื่องปากท้องก็สำคัญเช่นกันดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ได้เกิดผลกระทบกับโค้ชแค่คนเดียวแน่นอน
เอาล่ะครับหลังจากที่เยิ่นเย้อมานาน.. มาพูดถึงประเด็นที่ว่า " หากไม่ใช่ซิโก้แล้วจะเอาใครมาคุม มีใครเก่งกว่านี้อีกไหม ?? " ในความเห็นส่วนตัวของผมตอบได้เลยว่า " มี " แต่ไม่ใช่คนไทยแน่นอนเพราะถ้าเป็นคนไทยฝีมือก็จะไม่ห่างกันมากเผลอๆจะด้อยกว่าด้วยซ้ำโดยเฉพาะในเรื่องจิตวิทยารวมไปถึงโค้ชจากญี่ปุ่นเกาหลีด้วยแม้จะเก่งกว่าคนไทยแต่ก็ไม่ได้เหนือกว่าพวกที่เคยทำงานในยุโรปหรืออเมริกาใต้ ผมขอเสนอโค้ชที่เคยทำงานในทีมชาติหรือสโมสรจาก " สเปน,เยอรมัน,ฮอลแลนด์,บราซิล,อาร์เจนติน่า,เม็กซิโก,อื่นๆในยุโรป " โดยโค้ชอาจจะเคยคุมทีมชุดเยาวชนมีผลงานที่ดีหรือเคยเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชุดใหญ่ที่กำลังร้อนวิชาอยากจะปล่อยของ ไม่จำเป็นต้องไปหาโค้ชที่มีชื่อเสียงโด่งดังดีกรีสูงเพราะสมาคมคงไม่มีเงินมากพอที่จะไปจ้าง แต่สมาคมต้องไปค้นหาโค้ชดาวรุ่งที่เขากำลังร้อนวิชาอยากจะปล่อยของต้องการความท้าทายคุณลองหลับตาแล้วนึกภาพตามดูครับหากมีโค้ชโนเนมสักคนที่พาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกได้ไม่ต้องห่วงเลยครับถ้าเป็นเช่นนั้นจริงโค้ชคนนั้นคงไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้วเพราะคงมีทีมดังๆมาติดต่อเขาไปคุมทีมที่ชื่อชั้นสูงกว่าทีมชาติไทย แต่ถึงอย่างไรก็ตามผลที่ตามมาคือนักเตะไทยพัฒนาขึ้นมีชื่อเสียงมากขึ้นสปอนเซอร์จะทุ่มทุนในการสนับสนุนมากขึ้น(ในตอนนี้ก็เริ่มเยอะแล้ว)จนถึงเวลานั้นเราก็จะมีโอกาสได้จ้างโค้ชที่เก่งกว่าเดิมได้เพราะเรามีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยมาจากสปอนเซอร์ที่รุมกันสนับสนุนเพราะกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่น วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช โค้ชทีมชาติญี่ปุ่น รับค่าเหนื่อยอยู่ประมาณปีละ 66 ล้านบาท
กล่าวถึงโค้ชก็เยอะแล้ว.. มาวิเคราะห์ถึงเรื่องของประธานเทคนิคที่มีโค้ชเฮงคุมบังเหียนกันบ้างครับบางคนอาจจะพึ่งเริ่มติดตามฟุตบอลไทยจึงเกิดความสงสัยว่าโค้ชเฮงคือใครกัน ทำไมประธานเทคนิคถึงต้องเป็นโค้ชเฮงตามที่หลายคนสนับสนุนความคิดเห็นนี้
ชื่อเต็มๆของท่านก็คือ " วิทยา เลาหกุล " หรือที่แฟนบอลเรียกติดปากกันว่า " โค้ชเฮง " เจ้าของส่วนสูง 181 ซม. ถนัดเล่นในตำแหน่ง กองกลาง
สโมสรอาชีพ
ปี สโมสร
2516-2517 ฮากกา
2518-2519 ราชประชา
2520-2521 ยันมาร์ดีเซล
2522-2524 แฮร์ธาเบอร์ลิน
2525-2527 ซาร์บรุคเคน
2527-2528 ราชประชา
2529-2530 มัตซึชิตะ (กัมบะ โอซาก้า)
บริหารทีม
2531-2538 มัตซึชิตะ (กัมบะ โอซากะ)
2539-2540 ธนาคารกรุงเทพ
2540 ทีมชาติไทย
2543 ทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน16ปี
2545-2546 เซมบาวัง เรนเจอร์ส (ชุดเยาวชน)
2547 เซมบาวัง เรนเจอร์ส
2547-2549 ชลบุรี เอฟซี
2550-2552 โตโตริ
2552 - 2559 ชลบุรี เอฟซี
2559-ปัจจุบัน ทีมชาติไทย (ประธานพัฒนาเทคนิค)
ข้อมูลจาก (ไปค้นเพิ่มเติมได้ที่นี่)
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2_%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5
หากวิเคราะห์จากประวัติของโค้ชเฮงแล้วในฐานะตอนเป็นนักเตะอาชีพถือได้ว่าโค้ชเฮงคือนักเตะไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนักฟุตบอลไทยเพราะได้ไปค้าแข้งที่ยุโรปโดยเฉพาะในลีกของเยอรมันที่มีชื่อว่า " บุนเดสลีกา "
แต่เมื่อมองลึกลงไปถึงในเรื่องการบริหารทีมแล้ว แม้ว่าโค้ชเฮงจะเคยคุมทีมชื่อดังอย่าง " มัตซึชิตะ (กัมบะ โอซากะ) " แต่มันก็เกิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2538ซึ่งผ่านมากว่า21ปีแล้ว ถือว่านานมากเกินไปเพราะในเวลานี้ฟุตบอลญี่ปุ่นได้พัฒนาไปไกลมากจนเราแทบมองไม่เห็นฝุ่นไม่ว่าจะเป็นแทคติกวิธีการเล่นต่างๆในการพัฒนาเยาวชน ถึงอย่างไรก็ตามในพ.ศ.2550 - 2552 โค้ชเฮงก็ได้กลับไปคุมทีมโตโตริในญี่ปุ่นอีกครั้งแต่ก็เป็นเพียงทีมในลีกดิวิชั่นระดับ3เท่านั้นยังไม่ถือเป็นทีมชั้นนำที่สามารถนำมาปรับปรุงใช้พัฒนากับทีมชาติไทยได้เท่าที่ควร
ดังนั้นผมจึงคิดว่าหากวันหนึ่งโค้ชเฮงมีเหตุที่ต้องลงจากตำแหน่งประธานเทคนิคแล้ว คนที่จะเข้ามาแทนที่ก็ควรจะเป็นชาวต่างชาติที่เคยร่วมงานกับทีมชาติหรือสโมสรใน สเปน,เยอรมัน,ฮอลแลนด์,อื่นๆในยุโรป โดยบุคคลคนนั้นจะต้องเคยมีประสบการณ์ในการทำงานด้านเทคนิคมาก่อน ถามว่าทำไมถึงไม่ต้องการคนที่ทำงานในเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ก็เพราะว่าขนาดสองชาติมหาอำนาจลูกหนังในเอเชียเองก็ยังต้องพึ่งโค้ชจากต่างชาติ เช่น ทีมชาติญี่ปุ่น วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช จากบอสเนีย หรือ เกาหลีใต้ อูลี สตีลีค จากเยอรมัน ดังนั้นแล้วหากไม่อยากเป็นลูกไล่ของสองยักษ์ใหญ่ในเอเชียตลอดไปสมาคมเองก็จะต้องมีวิสัยทัศน์ในการเลือกคนที่จะเข้ามาบริหารงานในตำแหน่งนี้ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้ว หรือจะให้โค้ชเฮงเป็นคนเลือกคนที่จะมาแทนตัวเองก็ได้ผมเชื่อว่าโค้ชเฮงไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวถ้ามีคนเก่งกว่าแกยังไงโค้ชเฮงก็ต้องถอยให้อยู่ดีครับ
ปล.หากท่านอ่านครบทั้ง 2 ประเด็นจะเป็นพระคุณต่อตัวกระผมมากๆ เพราะในบทความที่ผมเขียนจะเป็นตัวขยายหัวข้อคำถาม
โค้ชทีมชาติชุดใหญ่ ประธานเทคนิค ต้องมาจากชาติมหาอำนาจทางฟุตบอลเท่านั้น ท่านคิดเห็นกันอย่างไรบ้าง
ไอ้กระผมเองผู้มีความรู้ต่ำต้อยเรี่ยดินในทางฟุตบอลมันก็เกิดอาการคันมือยิกๆอยากจะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้บ้าง จากกระแสที่ออกมาต่อต้านโค้ชซิโก้ในเรื่องของแทคติกและการเรียกตัวผู้เล่นจนมีวลีเด็ดในหลายเดือนที่ผ่านมานี้กับคำว่า "ไม่เข้าระบบ" ที่ฟังไปแล้วมันเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงขั้วหัวใจของเหล่าแฟนบอลชาวไทยโดยก่อนหน้าที่ทีมชาติไทยจะผ่านเข้ารอบคัดเลือกฟุตบอลโลกโซนเอเชีย 12 ทีมสุดท้ายนั้นคำๆนี้ยังไม่ก่อให้เกิดเป็นประเด็นที่ดราม่าสักเท่าไหร่ จากผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยไม่แพ้ใครเข้าวินมาเป็นที่ 1 ของสายโดยโค้ชซิโก้ในเวลานั้นได้ถูกยกย่องนำไปเปรียบกับยอดกุนซือระดับโลกหลายคนเลยทีเดียว
แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วความจริงก็คือความจริง เมื่อทีมชาติไทยเข้าสู่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียในรอบที่ 3 กลับทำผลงานได้น่าผิดหวังไอ้ความผิดหวังที่ว่านั้นไม่ใช่ผลการแข่งขัน แต่มันกลับเป็นแทคติกวิธีการเล่นเดิมๆที่ยอดโค้ชอย่าง เกรีเซ่ มูรินโก้ ใช้ซ้ำไปมาจนคู่แข่งเริ่มจะจับทางได้ประกอบกับทางทีมชาติอิรักที่ผ่านเข้ารอบมาด้วยอันดับ 2 ตามหลังทีมชาติไทยได้ปรับเปลี่ยนตัวผู้เล่นและโค้ชจนมีสภาพทีมเปลี่ยนแปลงจากหน้าตีนเป็นหลังมือ
จากเนื้อหาข้างต้นที่ได้อธิบายไปคร่าวๆแล้ว กระผมคิดว่าโค้ชซิโก้ควรจะต้องพิจารณากับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้โดยส่วนตัวแล้วผมยังเชื่อว่าในประเทศไทยโค้ชซิโก้ถือเป็นยอดโค้ชระดับต้นๆของประเทศที่เก่งเรื่องจิตวิทยาชนิดที่หาจับตัวยาก แต่ด้วยกาลเวลาหรือเหตุอื่นใดไม่อาจทราบโค้ชซิโก้เริ่มไม่เหมือนเดิม ในช่วงหลังไม่ว่าจะเป็นการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อต่างๆคำพูดของเขาเริ่มเปลี่ยนไปจิตวิทยาที่เคยมีสูงกลับลดลงอย่างน่าใจหาย มันทำให้ตัวผมอดคิดไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะมีงานนอกอย่างอื่นเข้ามากระทบหรือเปล่า?? กระแสสนับสนุนในอดีตทำให้เหลิงจนลืมหรือเปล่า ?? การเข้ารอบ 12 ทีมถือเป็นความสำเร็จตามเป้าหมายโดยโค้ชซิโก้ได้เคยให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้ว จึงเกิดอีโก้ขึ้นมาในใจทำให้น้ำที่ไม่เคยเต็มแก้วกลับกลายเป็นน้ำล้นแก้วที่ไม่สามารถเติมอะไรเข้าไปได้อีกนับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วตัวกระผมเองก็ยังคงเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งโค้ชซิโก้จะกลับมายืนอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้ง แต่ก่อนจะกลับมาได้นั้นคนเราเมื่อล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นได้เพราะฉะนั้นจึงอยากจะให้โค้ชซิโก้ได้พิจารณาถึงบทบาทของตนเองว่าควรจะจากไปอย่างพระเอกหรือจะไปในแบบของตัวร้ายที่ไม่มีใครอยากจะจดจำคุณในฐานะฮีโร่ของทีมชาติไทยผู้ที่ฉุดทีมชาติไทยจากยุคมืดเข้าสู่หนทางแห่งแสงสว่าง แต่ทว่าเส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบผมเองก็จะขอเป็นกำลังใจขอให้โค้ชซิโก้คนเดิมที่เคยทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วกลับมาเป็นเหมือนคนเก่าที่เคยสร้างรอยยิ้มให้กับแฟนบอลไทยอีกครั้งหนึ่ง
และเมื่อได้วิเคราะห์ต่อไปในเวลานี้จะเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแม่ทัพกลางศึกนั้นอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในเวลานี้ ดังนั้นในช่วงเวลาที่เหลือจะเป็นคำตอบในตัวมันเองว่าโค้ชซิโก้ควรจะอยู่หรือไป หากไม่มีอะไรดีขึ้นแทคติกยังคงเหมือนเดิมผู้เล่นที่ฟอร์มตกก็ถูกเรียกมาใช้งานอยู่เหมือนเดิมผมเองก็เคารพในการตัดสินใจในการเลือกตัวกับแทคติกของโค้ช และแน่นอนตัวโค้ชเองก็ต้องเคารพในความคิดเห็นของแฟนบอลที่ตอบกลับมาในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นการกดดันโดยตั้งกระทู้ตามเว็บบอร์ด คอมเม้นในเฟสบุ๊ค ผมเองก็เข้าใจว่าทั้งนักบอลและโค้ชเองก็ทำงานหนักมากแต่การที่ทำอะไรไปโดยไม่แคร์กระแสแฟนบอลหากวันหนึ่งไม่มีคนเข้าไปเชียร์ในสนาม(ทีมชาติ ไม่ใช่สโมสร)จนถึงวันนั้นเองมันจะกลายเป็นวันหายนะและกลับสู่ยุคมืดของวงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง ตัวนักเตะเองก็เข้าใจอยู่แล้วว่าการรับใช้ชาติถือเป็นเกียรติอันสูงสุดในการเล่นฟุตบอล และรวมไปถึงผลพลอยได้ของค่าตัวนักเตะที่มีมูลค่ามากขึ้นหากได้ติดทีมชาติไทยเรื่องปากท้องก็สำคัญเช่นกันดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ได้เกิดผลกระทบกับโค้ชแค่คนเดียวแน่นอน
เอาล่ะครับหลังจากที่เยิ่นเย้อมานาน.. มาพูดถึงประเด็นที่ว่า " หากไม่ใช่ซิโก้แล้วจะเอาใครมาคุม มีใครเก่งกว่านี้อีกไหม ?? " ในความเห็นส่วนตัวของผมตอบได้เลยว่า " มี " แต่ไม่ใช่คนไทยแน่นอนเพราะถ้าเป็นคนไทยฝีมือก็จะไม่ห่างกันมากเผลอๆจะด้อยกว่าด้วยซ้ำโดยเฉพาะในเรื่องจิตวิทยารวมไปถึงโค้ชจากญี่ปุ่นเกาหลีด้วยแม้จะเก่งกว่าคนไทยแต่ก็ไม่ได้เหนือกว่าพวกที่เคยทำงานในยุโรปหรืออเมริกาใต้ ผมขอเสนอโค้ชที่เคยทำงานในทีมชาติหรือสโมสรจาก " สเปน,เยอรมัน,ฮอลแลนด์,บราซิล,อาร์เจนติน่า,เม็กซิโก,อื่นๆในยุโรป " โดยโค้ชอาจจะเคยคุมทีมชุดเยาวชนมีผลงานที่ดีหรือเคยเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชุดใหญ่ที่กำลังร้อนวิชาอยากจะปล่อยของ ไม่จำเป็นต้องไปหาโค้ชที่มีชื่อเสียงโด่งดังดีกรีสูงเพราะสมาคมคงไม่มีเงินมากพอที่จะไปจ้าง แต่สมาคมต้องไปค้นหาโค้ชดาวรุ่งที่เขากำลังร้อนวิชาอยากจะปล่อยของต้องการความท้าทายคุณลองหลับตาแล้วนึกภาพตามดูครับหากมีโค้ชโนเนมสักคนที่พาทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลกได้ไม่ต้องห่วงเลยครับถ้าเป็นเช่นนั้นจริงโค้ชคนนั้นคงไม่ได้อยู่กับเราอีกต่อไปแล้วเพราะคงมีทีมดังๆมาติดต่อเขาไปคุมทีมที่ชื่อชั้นสูงกว่าทีมชาติไทย แต่ถึงอย่างไรก็ตามผลที่ตามมาคือนักเตะไทยพัฒนาขึ้นมีชื่อเสียงมากขึ้นสปอนเซอร์จะทุ่มทุนในการสนับสนุนมากขึ้น(ในตอนนี้ก็เริ่มเยอะแล้ว)จนถึงเวลานั้นเราก็จะมีโอกาสได้จ้างโค้ชที่เก่งกว่าเดิมได้เพราะเรามีต้นทุนที่สูงขึ้นโดยมาจากสปอนเซอร์ที่รุมกันสนับสนุนเพราะกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง เช่น วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช โค้ชทีมชาติญี่ปุ่น รับค่าเหนื่อยอยู่ประมาณปีละ 66 ล้านบาท
กล่าวถึงโค้ชก็เยอะแล้ว.. มาวิเคราะห์ถึงเรื่องของประธานเทคนิคที่มีโค้ชเฮงคุมบังเหียนกันบ้างครับบางคนอาจจะพึ่งเริ่มติดตามฟุตบอลไทยจึงเกิดความสงสัยว่าโค้ชเฮงคือใครกัน ทำไมประธานเทคนิคถึงต้องเป็นโค้ชเฮงตามที่หลายคนสนับสนุนความคิดเห็นนี้
ชื่อเต็มๆของท่านก็คือ " วิทยา เลาหกุล " หรือที่แฟนบอลเรียกติดปากกันว่า " โค้ชเฮง " เจ้าของส่วนสูง 181 ซม. ถนัดเล่นในตำแหน่ง กองกลาง
สโมสรอาชีพ
ปี สโมสร
2516-2517 ฮากกา
2518-2519 ราชประชา
2520-2521 ยันมาร์ดีเซล
2522-2524 แฮร์ธาเบอร์ลิน
2525-2527 ซาร์บรุคเคน
2527-2528 ราชประชา
2529-2530 มัตซึชิตะ (กัมบะ โอซาก้า)
บริหารทีม
2531-2538 มัตซึชิตะ (กัมบะ โอซากะ)
2539-2540 ธนาคารกรุงเทพ
2540 ทีมชาติไทย
2543 ทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน16ปี
2545-2546 เซมบาวัง เรนเจอร์ส (ชุดเยาวชน)
2547 เซมบาวัง เรนเจอร์ส
2547-2549 ชลบุรี เอฟซี
2550-2552 โตโตริ
2552 - 2559 ชลบุรี เอฟซี
2559-ปัจจุบัน ทีมชาติไทย (ประธานพัฒนาเทคนิค)
ข้อมูลจาก (ไปค้นเพิ่มเติมได้ที่นี่) https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2_%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5
หากวิเคราะห์จากประวัติของโค้ชเฮงแล้วในฐานะตอนเป็นนักเตะอาชีพถือได้ว่าโค้ชเฮงคือนักเตะไทยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของนักฟุตบอลไทยเพราะได้ไปค้าแข้งที่ยุโรปโดยเฉพาะในลีกของเยอรมันที่มีชื่อว่า " บุนเดสลีกา "
แต่เมื่อมองลึกลงไปถึงในเรื่องการบริหารทีมแล้ว แม้ว่าโค้ชเฮงจะเคยคุมทีมชื่อดังอย่าง " มัตซึชิตะ (กัมบะ โอซากะ) " แต่มันก็เกิดขึ้นเมื่อพ.ศ.2538ซึ่งผ่านมากว่า21ปีแล้ว ถือว่านานมากเกินไปเพราะในเวลานี้ฟุตบอลญี่ปุ่นได้พัฒนาไปไกลมากจนเราแทบมองไม่เห็นฝุ่นไม่ว่าจะเป็นแทคติกวิธีการเล่นต่างๆในการพัฒนาเยาวชน ถึงอย่างไรก็ตามในพ.ศ.2550 - 2552 โค้ชเฮงก็ได้กลับไปคุมทีมโตโตริในญี่ปุ่นอีกครั้งแต่ก็เป็นเพียงทีมในลีกดิวิชั่นระดับ3เท่านั้นยังไม่ถือเป็นทีมชั้นนำที่สามารถนำมาปรับปรุงใช้พัฒนากับทีมชาติไทยได้เท่าที่ควร
ดังนั้นผมจึงคิดว่าหากวันหนึ่งโค้ชเฮงมีเหตุที่ต้องลงจากตำแหน่งประธานเทคนิคแล้ว คนที่จะเข้ามาแทนที่ก็ควรจะเป็นชาวต่างชาติที่เคยร่วมงานกับทีมชาติหรือสโมสรใน สเปน,เยอรมัน,ฮอลแลนด์,อื่นๆในยุโรป โดยบุคคลคนนั้นจะต้องเคยมีประสบการณ์ในการทำงานด้านเทคนิคมาก่อน ถามว่าทำไมถึงไม่ต้องการคนที่ทำงานในเอเชียอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ก็เพราะว่าขนาดสองชาติมหาอำนาจลูกหนังในเอเชียเองก็ยังต้องพึ่งโค้ชจากต่างชาติ เช่น ทีมชาติญี่ปุ่น วาฮิด ฮาลิลฮ็อดซิช จากบอสเนีย หรือ เกาหลีใต้ อูลี สตีลีค จากเยอรมัน ดังนั้นแล้วหากไม่อยากเป็นลูกไล่ของสองยักษ์ใหญ่ในเอเชียตลอดไปสมาคมเองก็จะต้องมีวิสัยทัศน์ในการเลือกคนที่จะเข้ามาบริหารงานในตำแหน่งนี้ตามที่ผมได้กล่าวไปแล้ว หรือจะให้โค้ชเฮงเป็นคนเลือกคนที่จะมาแทนตัวเองก็ได้ผมเชื่อว่าโค้ชเฮงไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัวถ้ามีคนเก่งกว่าแกยังไงโค้ชเฮงก็ต้องถอยให้อยู่ดีครับ
ปล.หากท่านอ่านครบทั้ง 2 ประเด็นจะเป็นพระคุณต่อตัวกระผมมากๆ เพราะในบทความที่ผมเขียนจะเป็นตัวขยายหัวข้อคำถาม