หนังซุปเปอร์ฮีโร่ไซไฟที่จะพาเราไปสำรวจจักรวาลของมาเวลในสเกลที่ใหญ่ขึ้น งานกราฟิกที่พรั่งพรูไปด้วยเทคนิคที่ชวนให้พิศวง เป็นรสชาติใหม่ที่มาเวลไม่ค่อยได้ปรุงนัก หนังมีองค์ประกอบทุกอย่างเท่าที่หนังบล็อคบัสเตอร์เรื่องหนึ่งจะพึงมี ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชันหวือหวาชวนว้าว ดาราแม่เหล็กอุ่นหนาฝาคั่ง และมุกตลกที่หนังพยายามจะสอดแทรกเข้ามาทุกครั้งที่มีโอกาส แต่น่าเสียดายที่หนังยังไปไม่ถึงจุดที่เรียกว่ามาสเตอร์พีซได้ เพราะการใส่เหตุผลเข้ามารองรับการกระทำบางอย่างของตัวละครในเรื่องกลับไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก
จุดเด่น
1. งานกราฟิก
นี่เป็นจุดเด่นที่สุดที่ผู้สร้างชูมาตั้งแต่ในเทรลเลอร์และสปอตโฆษณา ซึ่งในเรื่องก็บำเหน็จฉากเหล่านี้มาให้ผู้ชมอย่างไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็นฉากภาพลวงตาแบบ Kaleidoscope ที่เกิดจากการสะท้อนภาพของแผ่นมิติหลาย ๆ แผ่นที่จะนำไปสู่พหุจักรวาล หรือ Multiverse โดยทางทีมผู้ทำวิชวลได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพหลอนที่เกิดขึ้นยามเสพ LSD, ภาพในมุมมองแบบกระจกที่เรียกว่า Mirror Dimension ซึ่งอีกด้านหนึ่งของกระจกคืออีกมิติหนึ่งที่จำลองมาจากโลกจริง รวมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพที่มี Reference อ้างอิงถึงหนังเรื่องอื่น ๆ เช่น Harry Potter, Inception, Matrix กระทั่งบางฉากยังทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Chinese Odyssey ภาคแรกของโจวซิงฉือไปซะฉิบ
2. ความสมดุลในการเกลี่ยบท
ตัวละครทั้งหมดที่ใส่เข้ามาในเรื่องต่างมีบทบาทน่าจดจำและไม่มีตัวไหนเลยที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแบคกราวนด์ประกอบฉาก ราเชล แม็คอดัมส์ ไม่ใช่นางเอกกะหลั่ว ๆ ที่ใส่เข้ามาเพื่อให้ครบองค์พระ/นาง แต่บทของเธอมีความสำคัญต่อการไปและการมาของตัวละครสำคัญในเรื่อง ทิลดา สวินตัน เจิดจรัสในบท Ancient One ที่ทำหน้าที่ซับพอร์ตหนังเป็นอย่างดีทั้งการสอนวิชาและการส่งไม้ต่อ ชิวีเทล เอจิโอฟอร์ ในมาดเมนเทอร์มอร์โด ที่จะกลายเป็นจุดพลิกผันในท้ายเรื่อง หรือแม้กระทั่งเบเนดิกต์ หว่อง ที่รับบทเป็นบรรณารักษ์ผู้คอยรักษาคัมภีร์ที่วิ่งวนอยู่ในเส้นเรื่องไม่ขาด
3. การเล่าเรื่องที่ได้มาตรฐานมาเวล
กล่าวคือ หนังพยายามใส่เหตุผลรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ให้ตกหล่น และใส่ใจรายละเอียดค่อนข้างดี ไม่มีฉากไหนที่ใส่เข้ามาลอย ๆ (นอกเหนือจากฉากปล่อยพลังวิชวล) เพราะจะมี Easter Egg ที่รอให้แฟนคอมมิคสายตาเหยี่ยวได้จับผิดอยู่เสมอ การเล่าเรื่องเดินเร็วฉับ ๆ ราวกับสตูดิโอจะรู้ทันแฟน ๆ ว่าเบื่อแล้วกับการปูปูมหลังยืดยาวให้กับตัวละครใหม่ ทุกอย่างจึงดูว่องไว ไม่ต้องเสียเวลาใส่บทบรรยายว่ากี่ปีผ่านไปแล้ว ดังนั้นจึงแทบไม่มีช่วง Dead Air หรือฉากอืดชวนง่วง
จุดด้อย
1. เหตุผลรองรับการกระทำบางอย่างของตัวละครไม่น่าเชื่อถือพอ
ผมยอมรับว่าเบเนดิกต์เล่นได้สมบทบาทในมาดของศัลยแพทย์ทางประสาทผู้เก่งฉกาจ แต่มีจุดหนึ่งที่รู้สึกตะหงิดอยู่ในใจคือ หนังมักพยายามจะบอกบุคลิกของพระเอกให้ผู้ฟังโต้ง ๆ ผ่านปากของตัวละครตัวอื่น เช่น นางเอกและ Ancient One ซึ่งมักจะขยันพูดกระแทกหน้าพระเอกอยู่เสมอว่าอีโก้จัด เห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงนิสัยเสียด้านนี้ผ่านการแสดงออกอย่างที่ควรจะเป็นมากนัก หากเทียบกับพระเอกที่มีนิสัยคล้ายกันในเรื่องอื่น ๆ เช่น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ในเรื่อง “The Social Network” หรือ เมลวิน ยูดาลล์ ในเรื่อง “As Good As It Gets” แล้ว ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ จะดูเป็นคนดีขึ้นมาทันที
หรือฉากเล็ก ๆ เช่น ตอนที่ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ เข้าพบกับ Ancient One ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการแนะนำให้รู้จักกันเลย แต่ Ancient One กลับเรียกชื่อของด็อกเตอร์ สเตรนจ์ถูกและยังรู้ไปอีกว่าพบหมอมากี่ที่ก็ไม่หาย คือ ตรงนี้เข้าใจนะว่า Ancient One คงเป็นผู้หยั่งรู้ จึงรู้ได้โดยไม่ต้องถาม แต่ด็อกเตอร์ สเตรนจ์กลับไม่สงสัยหรือแสดงอาการเอะใจเลยว่าทำไมถึงรู้ชื่อและรู้ความเป็นมาเป็นไปของมือที่รักษาไม่หายได้อย่างไร นอกจากนี้ ส่วนตัวแอบรู้สึกว่าฉากที่ได้ดวงตาแห่งอกามอตโต้ และผ้าคลุมแห่งลิเวียทานดูเป็นการจับยัดยังไงชอบกล
ทั้งพฤติกรรมที่ขาดความสุขุมอย่างน่าตกใจของตัวร้ายในตอนเปิดเรื่อง รวมถึงเหตุผลที่เคซิเลียส (Kaecilius) ทำตัวเป็นผู้ร้ายช่างดูเบาบางเสียเหลือเกิน
2. ตัวร้ายห่วย
อ้า หลังจากที่ได้บารอน ซีโม่ ศัตรูผู้ปราดเปรื่องของเหล่าอเวนเจอร์ใน Civil War มาช่วยกู้หน้า จึงเผลอเข้าใจว่าหลังจากนี้ตัวร้ายในซีรีส์มาเวลคงจะได้รับการยกระดับขึ้นบ้างเป็นแน่ หารู้ไม่ว่าข้าพเจ้าคิดผิด เคซิเลียส เป็นตัวร้ายที่ง่อย และด๊อกด๋อยพอ ๆ กับมาเลคิธ ใน Thor: The Dark World ทั้ง ๆ ที่สเกลพลังก็เป็นรองแค่ Ancient One แต่กลับพลาดท่าให้กับด็อกเตอร์ สเตรนจ์ผู้เข้าสู่ทางเวทย์รุ่นหลังครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างน่าขายหน้า
จุดจบนั้นหรือก็ไม่ต่างอะไรกับตัวร้ายไม้ประดับหลายตัวในหนังมาเวลเรื่องก่อน ๆ เลย
3. การจบแบบ Play Safe
มาเวลยังคงเล่นง่ายกับตอนจบเช่นเคย การคลี่คลายปมในช่วงท้ายที่น่าจะเป็นไคลแมกซ์กลับบิวด์ไม่ขึ้น การเจรจาระหว่างพระเอกกับศัตรูจากนอกโลกก็ไม่เคลียร์ว่ายอมความกันอย่างไร เพราะหนังไม่เผยให้เห็น แต่ตัดฉากเป็นภาพด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ลอยตัวลงมาอย่างผู้ชนะ ตอนจบจึงเป็นราวกับ Fairy Tale ที่ให้คติสอนใจว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรมอยู่วันยังค่ำ แต่เอาน่ะ ยังไงตอนจบของหนังแนวนี้ก็ต้องแบบนี้ล่ะนะ
สรุป: Doctor Strange จัดว่าเป็นหนังที่ดีในระดับปานกลางด้านการเล่าเรื่อง แม้จะมีจุดด้อยไปบ้าง แต่ก็พอให้อภัยได้เมื่อเทียบกับความสนุกและความตื่นตาตื่นใจที่ได้รับ แต่ส่วนตัวแล้วชอบแอนท์แมนมากกว่าหน่อยนึง
คะแนนความชอบ: 7/10
รีวิวโดย: Mr.Blue
ที่มา:
https://revieweryclub.wordpress.com/
[Mini Review] Doctor Strange คนแปลกในโลกพิศดาร (สปอลย์บางส่วน ไม่ส่งผลต่อเนื้อเรื่อง)
หนังซุปเปอร์ฮีโร่ไซไฟที่จะพาเราไปสำรวจจักรวาลของมาเวลในสเกลที่ใหญ่ขึ้น งานกราฟิกที่พรั่งพรูไปด้วยเทคนิคที่ชวนให้พิศวง เป็นรสชาติใหม่ที่มาเวลไม่ค่อยได้ปรุงนัก หนังมีองค์ประกอบทุกอย่างเท่าที่หนังบล็อคบัสเตอร์เรื่องหนึ่งจะพึงมี ไม่ว่าจะเป็นฉากแอคชันหวือหวาชวนว้าว ดาราแม่เหล็กอุ่นหนาฝาคั่ง และมุกตลกที่หนังพยายามจะสอดแทรกเข้ามาทุกครั้งที่มีโอกาส แต่น่าเสียดายที่หนังยังไปไม่ถึงจุดที่เรียกว่ามาสเตอร์พีซได้ เพราะการใส่เหตุผลเข้ามารองรับการกระทำบางอย่างของตัวละครในเรื่องกลับไม่น่าเชื่อถือเท่าใดนัก
1. งานกราฟิก
นี่เป็นจุดเด่นที่สุดที่ผู้สร้างชูมาตั้งแต่ในเทรลเลอร์และสปอตโฆษณา ซึ่งในเรื่องก็บำเหน็จฉากเหล่านี้มาให้ผู้ชมอย่างไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะเป็นฉากภาพลวงตาแบบ Kaleidoscope ที่เกิดจากการสะท้อนภาพของแผ่นมิติหลาย ๆ แผ่นที่จะนำไปสู่พหุจักรวาล หรือ Multiverse โดยทางทีมผู้ทำวิชวลได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพหลอนที่เกิดขึ้นยามเสพ LSD, ภาพในมุมมองแบบกระจกที่เรียกว่า Mirror Dimension ซึ่งอีกด้านหนึ่งของกระจกคืออีกมิติหนึ่งที่จำลองมาจากโลกจริง รวมถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพที่มี Reference อ้างอิงถึงหนังเรื่องอื่น ๆ เช่น Harry Potter, Inception, Matrix กระทั่งบางฉากยังทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Chinese Odyssey ภาคแรกของโจวซิงฉือไปซะฉิบ
2. ความสมดุลในการเกลี่ยบท
ตัวละครทั้งหมดที่ใส่เข้ามาในเรื่องต่างมีบทบาทน่าจดจำและไม่มีตัวไหนเลยที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแบคกราวนด์ประกอบฉาก ราเชล แม็คอดัมส์ ไม่ใช่นางเอกกะหลั่ว ๆ ที่ใส่เข้ามาเพื่อให้ครบองค์พระ/นาง แต่บทของเธอมีความสำคัญต่อการไปและการมาของตัวละครสำคัญในเรื่อง ทิลดา สวินตัน เจิดจรัสในบท Ancient One ที่ทำหน้าที่ซับพอร์ตหนังเป็นอย่างดีทั้งการสอนวิชาและการส่งไม้ต่อ ชิวีเทล เอจิโอฟอร์ ในมาดเมนเทอร์มอร์โด ที่จะกลายเป็นจุดพลิกผันในท้ายเรื่อง หรือแม้กระทั่งเบเนดิกต์ หว่อง ที่รับบทเป็นบรรณารักษ์ผู้คอยรักษาคัมภีร์ที่วิ่งวนอยู่ในเส้นเรื่องไม่ขาด
3. การเล่าเรื่องที่ได้มาตรฐานมาเวล
กล่าวคือ หนังพยายามใส่เหตุผลรองรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ให้ตกหล่น และใส่ใจรายละเอียดค่อนข้างดี ไม่มีฉากไหนที่ใส่เข้ามาลอย ๆ (นอกเหนือจากฉากปล่อยพลังวิชวล) เพราะจะมี Easter Egg ที่รอให้แฟนคอมมิคสายตาเหยี่ยวได้จับผิดอยู่เสมอ การเล่าเรื่องเดินเร็วฉับ ๆ ราวกับสตูดิโอจะรู้ทันแฟน ๆ ว่าเบื่อแล้วกับการปูปูมหลังยืดยาวให้กับตัวละครใหม่ ทุกอย่างจึงดูว่องไว ไม่ต้องเสียเวลาใส่บทบรรยายว่ากี่ปีผ่านไปแล้ว ดังนั้นจึงแทบไม่มีช่วง Dead Air หรือฉากอืดชวนง่วง
1. เหตุผลรองรับการกระทำบางอย่างของตัวละครไม่น่าเชื่อถือพอ
ผมยอมรับว่าเบเนดิกต์เล่นได้สมบทบาทในมาดของศัลยแพทย์ทางประสาทผู้เก่งฉกาจ แต่มีจุดหนึ่งที่รู้สึกตะหงิดอยู่ในใจคือ หนังมักพยายามจะบอกบุคลิกของพระเอกให้ผู้ฟังโต้ง ๆ ผ่านปากของตัวละครตัวอื่น เช่น นางเอกและ Ancient One ซึ่งมักจะขยันพูดกระแทกหน้าพระเอกอยู่เสมอว่าอีโก้จัด เห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงนิสัยเสียด้านนี้ผ่านการแสดงออกอย่างที่ควรจะเป็นมากนัก หากเทียบกับพระเอกที่มีนิสัยคล้ายกันในเรื่องอื่น ๆ เช่น มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ในเรื่อง “The Social Network” หรือ เมลวิน ยูดาลล์ ในเรื่อง “As Good As It Gets” แล้ว ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ จะดูเป็นคนดีขึ้นมาทันที
หรือฉากเล็ก ๆ เช่น ตอนที่ด็อกเตอร์ สเตรนจ์ เข้าพบกับ Ancient One ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการแนะนำให้รู้จักกันเลย แต่ Ancient One กลับเรียกชื่อของด็อกเตอร์ สเตรนจ์ถูกและยังรู้ไปอีกว่าพบหมอมากี่ที่ก็ไม่หาย คือ ตรงนี้เข้าใจนะว่า Ancient One คงเป็นผู้หยั่งรู้ จึงรู้ได้โดยไม่ต้องถาม แต่ด็อกเตอร์ สเตรนจ์กลับไม่สงสัยหรือแสดงอาการเอะใจเลยว่าทำไมถึงรู้ชื่อและรู้ความเป็นมาเป็นไปของมือที่รักษาไม่หายได้อย่างไร นอกจากนี้ ส่วนตัวแอบรู้สึกว่าฉากที่ได้ดวงตาแห่งอกามอตโต้ และผ้าคลุมแห่งลิเวียทานดูเป็นการจับยัดยังไงชอบกล
ทั้งพฤติกรรมที่ขาดความสุขุมอย่างน่าตกใจของตัวร้ายในตอนเปิดเรื่อง รวมถึงเหตุผลที่เคซิเลียส (Kaecilius) ทำตัวเป็นผู้ร้ายช่างดูเบาบางเสียเหลือเกิน
2. ตัวร้ายห่วย
อ้า หลังจากที่ได้บารอน ซีโม่ ศัตรูผู้ปราดเปรื่องของเหล่าอเวนเจอร์ใน Civil War มาช่วยกู้หน้า จึงเผลอเข้าใจว่าหลังจากนี้ตัวร้ายในซีรีส์มาเวลคงจะได้รับการยกระดับขึ้นบ้างเป็นแน่ หารู้ไม่ว่าข้าพเจ้าคิดผิด เคซิเลียส เป็นตัวร้ายที่ง่อย และด๊อกด๋อยพอ ๆ กับมาเลคิธ ใน Thor: The Dark World ทั้ง ๆ ที่สเกลพลังก็เป็นรองแค่ Ancient One แต่กลับพลาดท่าให้กับด็อกเตอร์ สเตรนจ์ผู้เข้าสู่ทางเวทย์รุ่นหลังครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างน่าขายหน้า
จุดจบนั้นหรือก็ไม่ต่างอะไรกับตัวร้ายไม้ประดับหลายตัวในหนังมาเวลเรื่องก่อน ๆ เลย
3. การจบแบบ Play Safe
มาเวลยังคงเล่นง่ายกับตอนจบเช่นเคย การคลี่คลายปมในช่วงท้ายที่น่าจะเป็นไคลแมกซ์กลับบิวด์ไม่ขึ้น การเจรจาระหว่างพระเอกกับศัตรูจากนอกโลกก็ไม่เคลียร์ว่ายอมความกันอย่างไร เพราะหนังไม่เผยให้เห็น แต่ตัดฉากเป็นภาพด็อกเตอร์ สเตรนจ์ ลอยตัวลงมาอย่างผู้ชนะ ตอนจบจึงเป็นราวกับ Fairy Tale ที่ให้คติสอนใจว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรมอยู่วันยังค่ำ แต่เอาน่ะ ยังไงตอนจบของหนังแนวนี้ก็ต้องแบบนี้ล่ะนะ
สรุป: Doctor Strange จัดว่าเป็นหนังที่ดีในระดับปานกลางด้านการเล่าเรื่อง แม้จะมีจุดด้อยไปบ้าง แต่ก็พอให้อภัยได้เมื่อเทียบกับความสนุกและความตื่นตาตื่นใจที่ได้รับ แต่ส่วนตัวแล้วชอบแอนท์แมนมากกว่าหน่อยนึง
คะแนนความชอบ: 7/10
รีวิวโดย: Mr.Blue
ที่มา: https://revieweryclub.wordpress.com/