[CR] ____________ " ไปทำไม.... วังเวียง ? " ____________

**** ห้ามทำซ้ำ ดัดแปลง หรือคัดลอกบทความและรูปภาพ หากไม่ได้รับอนุญาตจาก จขกท. *****
**** เรียบเรียงใหม่+แก้คำผิด ****



“ไปทำไม... วังเวียง ?”

คำถามที่ผมมักจะถามใครก็ตามที่มีแผนการจะไปเที่ยวเมืองวังเวียง ประเทศลาว
เหตุผลที่ผมถามใครต่อใครแบบนี้น่ะเหรอ เพราะผมคิดว่าวังเวียงมันก็คงจะเหมือนเมืองกาญฯบ้านเรา
เพราะเท่าที่เห็นรีวิวของใครต่อใครก็เห็นแต่กิจกรรมที่มีอยู่ในกาญจนบุรีด้วยกันทั้งนั้น
เพราะเหตุนี้มันจึงเป็นความคิดที่ทำให้ผมเกิดความเชื่อมั่นว่า... “ผมจะไม่มีทางไปเหยียบที่นั่นแน่นอน”
แต่ด้วยเวลาที่(เหมือนจะว่าง)ในช่วงปิดภาคเรียน ผมเลยกะจะหาทริปไปที่ไหนซักที่ เพราะด้วยอะไรหลายๆอย่างแล้ว
การเดินทางไปเที่ยวของผมในอนาคตมันคงจะมีโอกาสน้อยลง
ในตอนแรกผมกะว่าทริปครั้งนี้จะไปเที่ยวที่หลวงพระบาง เมืองมรดกโลกทางเหนือของลาว
แต่พอเริ่มวางแผนการเดินทางไปหลวงพระบาง เมื่อได้เห็นแผนที่ประเทศลาว(จากกูเกิ้ลแมพ)ดันเหลือบเห็นว่า
การเดินทางไปยังหลวงพระบางนั้นรถจะต้องผ่านเมืองที่ผมไม่เคยคิดว่า... “จะเดินทางไปเหยียบเลยด้วยซ้ำ”
ทันใดนั้นที่ความคิดในหัวก็บอกขึ้นมาว่า... “ ไหนๆก็ทางผ่าน แวะหน่อยซักวันสองวัน จะได้ไม่เสียเที่ยว”
และด้วยความคิดนี้เองที่นำพาให้ผม... หลงวันคืน และ ......
ต้องขอลบคำสบประมาทที่ผมเคยมอบให้กับเมืองๆนี้ “วังเวียง”

และแล้ว... วันที่ผมรอคอยก็มาถึง
ผมเลือกใช้การเดินทางด้วยรถทัวร์จากกรุงเทพฯสู่จังหวัดอุดรธานี รอบเวลา 23.00 น. เดินทางถึง บขส. จังหวัดอุดรธานี
เพราะเราจะไปต่อรถไปวังเวียงกันที่นั่น ตอนแรกลังเลว่าจะไปลงที่ไหนดีระหว่างอุดรกับหนองคาย
แต่พอมาคิดๆดูแล้ว ไปอุดรดีกว่าเพราะเราจะได้ไม่ต้องรอรถนาน

ระหว่างนี้เราก็ได้แค่รอๆๆๆ รอเวลาที่จะขึ้นรถ ในใจตอนนั้นตื่นเต้นมาก
วันนั้นรถก็มาช้าด้วย โอ้ยยย ใจจะขาดแล้วครับผม
อ่อออ ผมลืมบอกไปว่า ทริปครั้งนี้ผมเดินทางไปกับเพื่อนอีกคน
ซึ่งตอนแรกก็มีคนสนใจไปด้วยเยอะแหละ แต่ตอนนี้เหลือกันสองหน่อซะงั้น
แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้มีกี่คนก็เปลี่ยนใจไม่ได้แล้วแหละ ฮ่าๆๆ

รถจะพาเราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งอุดรธานีในเวลาประมาณ 7 นาฬิกา
พอเราลงจากรถจะมีเหล่าผู้ให้บริการมากหน้าหลายตา
ปรี่กันเข้ามาหาเราประหนึ่งรู้จักกันมาแล้วแต่ชาติปางก่อน
จังหวะนี้ไม่ต้องสนใจครับ เดินไปจองตั๋วไปวังเวียงให้ไวเลยย

พอเราลงจากรถให้เดินไปทางช่องจำหน่ายตั๋วซึ่งอยู่ด้านหน้า แล้วเดินออกจากตัวอาคาร เลี้ยวซ้าย
เราจะพบกับที่ขายตั๋วรถไปวังเวียงของเรา รถไปวังเวียงมีรอบเดียวนะครับ
ย้ำว่า “มีแค่ 1 รอบต่อวันเท่านั้น” คือรอบเวลา 8.30 น.
ออกจากสถานีขนส่งอุดรธานี แต่ถ้าใครมาอุดรไม่ทัน 8 โมงครึ่ง ไม่ต้องกลัวครับ
เพราะรถจะไปจอดรับคนที่สถานีขนส่งหนองคายอีกที่หนึ่ง
รถจะไปถึงยัง บขส. หนองคายในเวลาประมาณ 9.30 น.

(ต้องขออภัยที่ภาพเบลอ พอดีออโต้โฟกัสพัง แต่ดันทุรังอยากได้รูป แหะๆ)
ค่าโดยสารจากอุดรจะอยู่ที่ 320 บาท แต่ถ้าเราไปขึ้นที่หนองคายจะเหลือแค่ 270 บาทเท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุด เราจะต้องมี “พาสปอร์ต” ในการซื้อตั๋ว
เพราะการเดินทางไปวังเวียงหรือนอกเหนือจากเขตกำแพงนครหลวงแล้วนั้น
โดยกฎหมายไม่สามารถเดินทางไปได้ด้วยการใช้ Border Pass
แต่ก็มีนักท่องเที่ยวที่เคยใช้ border pass  ดันไปจนถึงหลวงพระบางเหมือนกันนะ
แต่ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่เพราะการเช่ารถ การเข้าที่พัก
หรือบางกิจกรรมจำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตในการมัดจำหรือให้ข้อมูล
แถมถ้าโดนตำรวจจับได้ยังโดนปรับวันละ 100 US อีก
โดนทีก็ซวย ไม่คุ้ม เที่ยวไม่สนุก แถมต้องมาคอยหวาดระแวงอีก

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว.... สิ่งที่เราทำได้ก็คือ รอเวลารถเข้าเทียบท่า

รถมาตรงเวลา 8.30 น. พอดีเป๊ะ จะรอช้าอยู่ไย???
ไปกันเลยยยย

รถจะเดินทางออกจากสถานีขนส่งอุดรธานี มุ่งหน้าสู่สถานีขนส่งหนองคาย
เพื่อรับผู้โดยสารอีกครั้งหนึ่ง ก่อนมุ่งหน้าสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว

ระหว่างทางจะมีคนมาแจกใบขาเข้า-ขาออกทั้งของฝั่งไทยและฝั่งลาว
ให้เรากรอกข้อมูลลงไปครบถ้วนยกเว้นส่วนของเจ้าหน้าที่
เสร็จแล้วเราเก็บไว้ให้ดีเพราะขากลับจะได้ไม่เสียเวลา
อ่อออ อย่าลืมพกปากกาไปด้วยนะครับ เพราะไม่ค่อยมีให้ยืม 5555

รถจะพาเรามาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สะพานฝั่งไทย และจอดให้เราลงไปประทับตราออกนอกประเทศ
หลังจากเสร็จแล้วให้เรากลับมาขึ้นรถคันเดิม
อย่าขึ้นผิดคันนะครับ เพราะอีกคันจะไปเวียงจันทน์ รถมันอาจคล้ายๆกัน
หลังจากนั้นรถจะพาเราข้ามสะพาน และมาจอดที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เชิงสะพานฝั่งลาว
ให้เราลงไปประทับตราเข้าเมือง ซึ่งตรงจุดนี้เราจะต้องเสียเงินเป็นค่าซื้อบัตรผ่านเข้าเมือง
คล้ายๆบัตร BTS บ้านเราในราคา 5 บาท (ถ้านอกเวลาราชการจะต้องจ่ายเป็นเงิน 55 บาท)

จากนั้นรถจะพาเรามุ่งตรงสู่เมืองวังเวียง ขึ้นไปทางเหนือของนครหลวงเวียงจันทน์ ระยะทาง 160 กิโลเมตร
ใช้เวลาในการเดินทาง 4 ชั่วโมง

ระหว่างทาง... รถจะแวะพัก 1  ครั้งให้เราทำธุระส่วนตัว รับประทานอาหาร
ผมไม่แน่ใจว่าจะเป็นที่นี่ทุกครั้งมั้ยนะ 5555

ที่เราเห็นนั่น อ่านว่า “ร้านอาหารไซโย”
นี่สาเหตุนึงที่ผมเลือกมาเที่ยวประเทศนี้ เพราะผมสามารถฟัง พูด อ่าน เขียนได้
และมันก็เป็นข้อได้เปรียบในการท่องเที่ยวอะไรหลายๆอย่าง
แนะนำศึกษามาก่อนก็ดีถ้ามีเวลา

ระหว่างนั่งรอเวลาที่จะเดินทางต่อ...
นั่นก็เป็นเวลาประจวบเหมาะกับเด็กนักเรียนที่นี่ เลิกเรียนกันพอดี
ผมสังเกตเห็นนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่จะมีพาหนะคู่ใจคือ “จักรยาน”
ปั่นได้ทุกที่ ปั่นได้ทั้งวี่ทั้งวัน แดดร้อนแค่ไหนก็ไหว ขนาดตอนที่ผมถ่ายรูปนี้
แดดเปรี้ยงๆเลยแหละ แต่ก็อย่างว่าแหละเนอะ
มีจักรยานให้ปั่นยังรู้สึกเป็นสวรรค์มากกว่าเดิน
ปล. จักรยานคันนี้ยังขาดอุปกรณ์เสริมอีกอย่างครับ

ถึงเวลาเดินทางต่อแล้ว...
หลังจากนี้ รถจะนำพาเราขึ้นเขา เข้าไปสู่อ้อมกอดของภูเขา เมืองวังเวียงซะที

นั่งรถมาก็น๊านนานยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงเลย ทางก็โค้งไปโค้งมา
สงสัยกว่าจะถึงวังเวียงตับไตไส้พุงคงพันกันไปหมดละมั้ง
ดีหน่อยที่สองข้างทางมีวิวสวยๆ เป็นนา ป่า แม่น้ำ หมู่บ้าน ภูเขาสลับกัน
ทำให้พอแก้เซ็ง แก้เบื่อได้บ้าง
แต่กระจกรถก็ไม่เอื้ออำนวยให้ถ่ายภาพเอาซะเลย

หลังจากที่เราเดินทางมาได้อีกซักพัก สัญลักษณ์แห่งเมืองวังเวียงก็ปรากฏ
ภูเขาที่เราเห็นอยู่ข้างหน้านั่นแหละ คือสถานที่ตั้งของเมืองที่มีชื่อว่า “วังเวียง”

รถจะมาส่งเราที่ บขส. เมืองวังเวียง ซึ่งก็เป็นเวลาบ่าย 3 กว่าเกือบ 4 โมงเย็นแล้ว
บขส.จะตั้งอยู่นอกเมือง ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ได้ไกลมากหรอก เราจะเดินเข้าเมืองก็ได้
หรือเหมารถเข้าเมืองก็ได้

และนี่ก็คือหน้าตาของ บขส. เมืองวังเวียง

พอเราออกมาจาก บขส. เราจะได้พบกับลานกว้าง และวิวของเมืองวังเวียง
ซึ่งสำหรับคนขึ้นรถ ตัดตรงนี้ไปได้เลย 5555

ผมเลือกที่จะเดินเข้าเมือง เพราะอยากถ่ายรูป และสำรวจพื้นที่ไปด้วย

เดินวนไปครับ แดดก็ร้อนหน่อย แต่วิวสวยดี พอแลกกันได้

เดินมาหน่อยเราจะเจอตลาดนัด
ซึ่งจะคึกคักในช่วงเย็น มีกับข้าว ผลไม้ อื่นๆ
คล้ายๆกับตลาดนัดในบ้านเรา แต่ของไม่เยอะเท่าแค่นั้นเอง

มองไปทางไหนก็เจอแต่ภูเขา...
แบบนี้คงจะเรียกได้ว่า “ในอ้อมกอดของขุนเขาจริงๆสินะ”

เดินมาได้ซักพัก เราจะได้พบกับทางเข้าเมือง
ซึ่งเป็นทางที่จะตัดผ่าเข้าสู่ใจกลางเมืองพอดี
ตอนนี้ภารกิจแรกก็เริ่มต้นครับ “การหาที่พัก”

ผมเลือกที่จะเดินหาที่พัก ในใจตอนนั้นคือคิดไว้แล้วครับว่าจะพักที่ไหน
แต่ติดตรงที่ว่า ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เลยเดินมั่วๆไปเรื่อย
ก็ถือว่าชมเมือง+เซอร์เวย์เก็บข้อมูลไป
ในภาพนี้ก็ คือ จักรยานพ่วงอุปกรณ์เสริม
นั่นก็คือ " ร่ม " นั่นเองงงง เพราะแดดและยูวีแรงมากกก

เดินไปเรื่อยครับเลี้ยวนั่นเลี้ยวนี่ไปมั่วหมด ปรากฏว่าเดินไปผิดทาง 555
จนสุดท้ายผมถามทางชาวบ้านแถวนั้นไปเรื่อยๆ
ชาวบ้านที่นี่ก็ใจดีครับ บอกทางให้ด้วยมิตรไมตรียิ้มแย้มแจ่มใส
อ่ออ เวลาขอความช่วยเหลืออะไรจากคนที่นี่
อย่าลืมพูดคำว่า “ ขอบใจ ” ด้วยนะครับ

ก้มหน้าก้มตาเดินกันต่อไปครับ
รู้สึกว่าจะเดินไปอีกประมาณ 3-4 กิโลได้ เราก็พบทางสว่างครับ
ที่พักของเราอยู่อีกไม่ไกล แต่เราก็ต้องลุ้นต่อไปว่า... ห้องจะว่างสำหรับเราหรือเปล่า

ในที่สุด... เราก็มาถึงที่พักที่ตั้งใจไว้
ที่ๆเราเลือกที่จะซุกหัวนอนตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ ณ วังเวียงแห่งนี้

และที่พักที่เราตั้งใจจะใช้ซุกหัวนอนตลอดทริปวังเวียง
ที่นั่นก็คือ... “ จำปาลาว บังกะโล ” นั่นเอง
ที่เลือกมาที่นี่ เพราะด้วยจากที่อ่านรีวิวของหลายๆคน
บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า วิวที่นี่ดีมาก
แถมเจ้าของยังเป็นคนไทยอีกด้วย เลยคิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่องกว่าที่อื่นๆ
(ยังมีอีกที่ชื่อ จำปาลาววิลล่า คนละที่กันนะเออ อย่าสับสน)

ว่าแล้วเราก็เปิดห้องกันก่อน 2 คืน สนนราคาก็อยู่ที่คืนละ 70,000 กีบหรือตีเป็นเงินไทย
(ซึ่งผมจะคิดเรทแบบง่ายๆคือ 1,000 กีบ= 4 บาท)ประมาณ 300 บาทต่อคืน
ซึ่งห้องที่ผมพักจะอยู่ฝั่งบนบ้านนะครับ ไม่ใช่ในรูป
บ้านในรูปจะอยู่บนเกาะ เราต้องเดินลงบันไดแล้วข้ามสะพานไปอีกที
ราคาก็อยู่ที่หลังละ 250,000 กีบต่อคืน พักได้ 3 และ 4 คน มีห้องน้ำในตัว
ชื่อสินค้า:   วังเวียง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่