By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
ยุคสมัยความรุ่งเรืองของแนวภาพยนตร์ในแต่ละยุคไม่เหมือนกัน ในยุคหนึ่ง หนัง Western (หนังคาวบอย) เคยได้รับความนิยมอย่างสูง ในช่วงยุค 50-70 (ลองไปค้นรูป ปู่คลินต์ อีสต์วูด ตอนสมัยหนุ่ม ๆดู ว่าหนังแต่ละเรื่องที่ทำให้ปู่โด่งดังในตอนนั้นเป็นแนวไหน) ทำให้สมัยนั้นมีหนังคาวบอยอยู่เยอะ ไม่ต่างกับสมัยนี้ที่มีหนังซูเปอร์ฮีโร่ถล่มโลกกันให้ได้เห็นกันถี่ชนิดแทบทุกปี
ในปี 1954 มีหนังญี่ปุ่นของตำนานบรมครูผู้กำกับชาวญี่ปุ่น อากิระ คุโรซาวะ ที่ยังคงเกรียงไกรและเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ คือ Seven Samurai ได้ออกฉายและสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจนฮอลลิวูดตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์มารีเมค แต่ด้วยความร้อนแรงของหนัง Western ในยุคนั้น ฮอลลิวูดจึงจับ เจ็ดเซียนซามูไร มารีเมคเป็นหนังคาวบอยเสียเลย จึงกลายมาเป็น The Magnificent Seven ในปี 1960 ที่มีดาราแม่เหล็กในสมัยนั้นอย่าง ยูร บรินเนอร์ และ สตีฟ แม็คควีน แสดงนำ และกลายเป็นตำนานหนังคาวบอยที่โด่งดังมากในสมัยนั้นในเวลาต่อมา และในปัจจุบัน ฮอลลิวูดสไตล์ก็ถูกนำมาใช้ (อีกแล้ว) นั้นคือการนำ The Magnificent Seven ฉบับปี 1960 มารีเมคใหม่ ในยุคสมัยที่หนังคาวบอยเสื่อมความนิยม และการดูหนังคาวบอยเป็นเรื่องไม่คุ้นชิน ..
ความแตกต่างกันของหนังต้นฉบับกับฉบับล่าสุด
The Magnificent Seven (1960) เพียงเอาเรื่องราวของกลุ่มตัวละครเจ็ดคน ที่เป็นนักรบซามูไร และเรื่องของการรวมตัวเพื่อปราบเหล่าร้ายที่มารุกรานเพื่อความยุติธรรม จาก Seven Samurai แต่มู้ดและโทนของหนัง กลับใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของหนังคาวบอยไว้ทั้งสิ้น ทั้งวิธีการพูด การแต่งตัว และวัฒนธรรมตะวันตกอันเป็นเอกลักษณ์ กลายเป็นหนังคาวบอยแห่งยุคสมัยโดยไม่ขัดเขิน
แต่ The Magnificent Seven (2016) พอเป็นหนังที่สร้างในยุคนี้ ในยุคแห่งการยึดความบันเทิงเป็นสรณะ ทำให้เสน่ห์ที่เคยมีในหนังต้นฉบับได้หายไปเกือบหมด โดยเฉพาะตัวบทภาพยนตร์ที่ตื้นเขิน พบช่องโหว่ในเรื่องตรรกะเหตุผลมากมาย และความง่ายดายแบบไร้อุปสรรคใด ๆ (โดยเฉพาะในช่วงการร่วมตัวคาวบอยเจ็ดคน) ที่เล่าเรื่องด้วยความรวดเร็วแบบขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด และด้วยความยาวภาพยนตร์ของทั้งสองเวอร์ชั่นค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ในเวอร์ชั่น 2016 กลับให้เวลาทั้งหมดไปกับซีนแอ็คชั่นเพื่อความเมามันส์ (โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นในช่วงไคลแม็กซ์ที่ผู้กำกับให้เวลานานร่วม 30 นาที และฉากแอ็คชั่นอื่น ๆอีกมากที่มาคั่นเวลา) ซึ่งแตกต่างกับต้นฉบับที่เฉลี่ยเวลาเท่า ๆกัน และให้ความสำคัญกับบทภาพยนตร์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เสน่ห์ของหนังคาวบอยที่หายไป
คาวบอยให้ภาพจำของเรา คือคนที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ภายนอกน่าเกรงขามและเท่ แรงขับในการกระทำเพื่อความถูกต้องหรือผลประโยชน์ในบางครั้ง มีตัดสินใจที่เฉียบขาด หากต้องยิงจะไม่ลังเลในการชักปืน และไม่ต้องการให้ใครจดจำ เดิมพันชีวิตกันด้วยศักดิ์ศรี (เช่น ในฉากยืนดวลปืนอันเป็นเอกลักษณ์) และ ถ้าหากทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จเรียบร้อย ก็จะจากไปเยี่ยงคนพเนจรไร้ชื่อที่เหลือทิ้งไว้เพียงตำนานให้เล่าขาน แต่ในเวอร์ชั่น 2016 หนังกลับทิ้งคุณสมบัติข้างต้นไป เหลือให้รู้สึกเพียงไม่กี่อย่าง เช่น ความเท่(ที่เป็นผลจากเสน่ห์ส่วนตัวของนักแสดงนำเสียมากกว่า) การกระทำเพื่อผดุงความยุติธรรม และจากไปอย่างคนไร้ชื่อ หนังในเวอร์ชั่นนี้ลดความน่าเกรงขามลง ใส่ลูกเล่นความกวนชวนอมยิ้มตามยุคสมัย โยนศักดิ์ศรี เกียรติที่เดิมพันด้วยชีวิตทิ้งไป และไปเน้นความบันเทิงยิงกันระเบิดระเบ้อในซีนแอ็คชั่นอันใหญ่โตแบบไม่แคร์เหตุผลแทน
ในแง่ซีนแอ็คชั่นต้องยอมรับว่าทำได้สนุกและเมามันส์สมกับที่คาดหวังไว้ หากหวังว่าจะได้เห็นแอ็คชั่นมันส์ ๆ หรือลุคเท่ ๆ ของนักแสดงนำอย่าง เดนเซล วอชิงตัน หรือ คริส แพรตต์ ก็คงไม่ผิดหวัง แต่หากอยากพบเสน่ห์จากหนังคาวบอยยุคก่อน หนังเรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องนั้น
ใช้ประโยชน์จากเสน่ห์ของนักแสดงได้ดี
ต้องยอมรับว่าในแต่ละตัวละครในหนัง ต้องชมว่าทีมงานต่างเลือกนักแสดงที่มารับบทได้เหมาะสมและช่วยให้หนังดูมีอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะสองนักแสดงนำอย่าง เดนเซล วอชิงตัน และ คริส แพรตต์ ที่ใช้ประสบการณ์และลูกเล่นทางการแสดงส่วนตัว ที่ทำให้ตัวละครมีความน่าสนใจ ชวนมอง เกิดความน่าเกรงขาม หรือแม้แต่ความขบขัน ต่างเกิดจากฝีมือการแสดงเฉพาะตัวทั้งสิ้น หรือนักแสดงสบทบอย่าง ฮาลีย์ เบนเนตต์ (สาวสุดเซ็กซี่ชวนมองที่เพิ่งเห็นหน้ากันจากหนัง The Girl on the Train ไปหมาด ๆ) หรือ อีธาน ฮอว์ค ก็ทำหน้าที่บริหารเสน่ห์ส่วนตัวให้หนังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ เรียกได้ว่า นักแสดงมีส่วนสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
กล่าวโดยสรุปแล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่แย่แต่อย่างใด อย่างน้อยหากมองในแง่ความบันเทิงไม่คิดอะไรให้มากความ ก็ตอบโจทย์กับฉากแอ็คชั่นที่มีให้ดูอย่างเต็มอิ่มแน่นอน แต่หากอยากรับชมด้วยจุดประสงค์ที่ว่า อยากได้รับอรรถรส แบบหนัง Western แท้ ๆในยุครุ่งเรืองนั้น คงต้องไปหยิบหนังอย่าง The Magnificent Seven ฉบับปี 1960 หรือ The Wild Bunch ของ แซม แพ็กกินพาห์ ก็น่าจะทำให้มีความสุขกับอรรถรสที่ได้รับมากกว่า .
ขอบคุณรูปภาพจาก Sony Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่
https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ
รีวิว The Magnificent Seven: หนังคาวบอย Mix and (No) Match
By มาร์ตี้ แม็คฟลาย
ยุคสมัยความรุ่งเรืองของแนวภาพยนตร์ในแต่ละยุคไม่เหมือนกัน ในยุคหนึ่ง หนัง Western (หนังคาวบอย) เคยได้รับความนิยมอย่างสูง ในช่วงยุค 50-70 (ลองไปค้นรูป ปู่คลินต์ อีสต์วูด ตอนสมัยหนุ่ม ๆดู ว่าหนังแต่ละเรื่องที่ทำให้ปู่โด่งดังในตอนนั้นเป็นแนวไหน) ทำให้สมัยนั้นมีหนังคาวบอยอยู่เยอะ ไม่ต่างกับสมัยนี้ที่มีหนังซูเปอร์ฮีโร่ถล่มโลกกันให้ได้เห็นกันถี่ชนิดแทบทุกปี
ในปี 1954 มีหนังญี่ปุ่นของตำนานบรมครูผู้กำกับชาวญี่ปุ่น อากิระ คุโรซาวะ ที่ยังคงเกรียงไกรและเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้ คือ Seven Samurai ได้ออกฉายและสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจนฮอลลิวูดตัดสินใจซื้อลิขสิทธิ์มารีเมค แต่ด้วยความร้อนแรงของหนัง Western ในยุคนั้น ฮอลลิวูดจึงจับ เจ็ดเซียนซามูไร มารีเมคเป็นหนังคาวบอยเสียเลย จึงกลายมาเป็น The Magnificent Seven ในปี 1960 ที่มีดาราแม่เหล็กในสมัยนั้นอย่าง ยูร บรินเนอร์ และ สตีฟ แม็คควีน แสดงนำ และกลายเป็นตำนานหนังคาวบอยที่โด่งดังมากในสมัยนั้นในเวลาต่อมา และในปัจจุบัน ฮอลลิวูดสไตล์ก็ถูกนำมาใช้ (อีกแล้ว) นั้นคือการนำ The Magnificent Seven ฉบับปี 1960 มารีเมคใหม่ ในยุคสมัยที่หนังคาวบอยเสื่อมความนิยม และการดูหนังคาวบอยเป็นเรื่องไม่คุ้นชิน ..
ความแตกต่างกันของหนังต้นฉบับกับฉบับล่าสุด
The Magnificent Seven (1960) เพียงเอาเรื่องราวของกลุ่มตัวละครเจ็ดคน ที่เป็นนักรบซามูไร และเรื่องของการรวมตัวเพื่อปราบเหล่าร้ายที่มารุกรานเพื่อความยุติธรรม จาก Seven Samurai แต่มู้ดและโทนของหนัง กลับใส่ความเป็นเอกลักษณ์ของหนังคาวบอยไว้ทั้งสิ้น ทั้งวิธีการพูด การแต่งตัว และวัฒนธรรมตะวันตกอันเป็นเอกลักษณ์ กลายเป็นหนังคาวบอยแห่งยุคสมัยโดยไม่ขัดเขิน
แต่ The Magnificent Seven (2016) พอเป็นหนังที่สร้างในยุคนี้ ในยุคแห่งการยึดความบันเทิงเป็นสรณะ ทำให้เสน่ห์ที่เคยมีในหนังต้นฉบับได้หายไปเกือบหมด โดยเฉพาะตัวบทภาพยนตร์ที่ตื้นเขิน พบช่องโหว่ในเรื่องตรรกะเหตุผลมากมาย และความง่ายดายแบบไร้อุปสรรคใด ๆ (โดยเฉพาะในช่วงการร่วมตัวคาวบอยเจ็ดคน) ที่เล่าเรื่องด้วยความรวดเร็วแบบขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด และด้วยความยาวภาพยนตร์ของทั้งสองเวอร์ชั่นค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ในเวอร์ชั่น 2016 กลับให้เวลาทั้งหมดไปกับซีนแอ็คชั่นเพื่อความเมามันส์ (โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นในช่วงไคลแม็กซ์ที่ผู้กำกับให้เวลานานร่วม 30 นาที และฉากแอ็คชั่นอื่น ๆอีกมากที่มาคั่นเวลา) ซึ่งแตกต่างกับต้นฉบับที่เฉลี่ยเวลาเท่า ๆกัน และให้ความสำคัญกับบทภาพยนตร์มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เสน่ห์ของหนังคาวบอยที่หายไป
คาวบอยให้ภาพจำของเรา คือคนที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก ภายนอกน่าเกรงขามและเท่ แรงขับในการกระทำเพื่อความถูกต้องหรือผลประโยชน์ในบางครั้ง มีตัดสินใจที่เฉียบขาด หากต้องยิงจะไม่ลังเลในการชักปืน และไม่ต้องการให้ใครจดจำ เดิมพันชีวิตกันด้วยศักดิ์ศรี (เช่น ในฉากยืนดวลปืนอันเป็นเอกลักษณ์) และ ถ้าหากทำสิ่งที่ต้องทำเสร็จเรียบร้อย ก็จะจากไปเยี่ยงคนพเนจรไร้ชื่อที่เหลือทิ้งไว้เพียงตำนานให้เล่าขาน แต่ในเวอร์ชั่น 2016 หนังกลับทิ้งคุณสมบัติข้างต้นไป เหลือให้รู้สึกเพียงไม่กี่อย่าง เช่น ความเท่(ที่เป็นผลจากเสน่ห์ส่วนตัวของนักแสดงนำเสียมากกว่า) การกระทำเพื่อผดุงความยุติธรรม และจากไปอย่างคนไร้ชื่อ หนังในเวอร์ชั่นนี้ลดความน่าเกรงขามลง ใส่ลูกเล่นความกวนชวนอมยิ้มตามยุคสมัย โยนศักดิ์ศรี เกียรติที่เดิมพันด้วยชีวิตทิ้งไป และไปเน้นความบันเทิงยิงกันระเบิดระเบ้อในซีนแอ็คชั่นอันใหญ่โตแบบไม่แคร์เหตุผลแทน
ในแง่ซีนแอ็คชั่นต้องยอมรับว่าทำได้สนุกและเมามันส์สมกับที่คาดหวังไว้ หากหวังว่าจะได้เห็นแอ็คชั่นมันส์ ๆ หรือลุคเท่ ๆ ของนักแสดงนำอย่าง เดนเซล วอชิงตัน หรือ คริส แพรตต์ ก็คงไม่ผิดหวัง แต่หากอยากพบเสน่ห์จากหนังคาวบอยยุคก่อน หนังเรื่องนี้ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องนั้น
ใช้ประโยชน์จากเสน่ห์ของนักแสดงได้ดี
ต้องยอมรับว่าในแต่ละตัวละครในหนัง ต้องชมว่าทีมงานต่างเลือกนักแสดงที่มารับบทได้เหมาะสมและช่วยให้หนังดูมีอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะสองนักแสดงนำอย่าง เดนเซล วอชิงตัน และ คริส แพรตต์ ที่ใช้ประสบการณ์และลูกเล่นทางการแสดงส่วนตัว ที่ทำให้ตัวละครมีความน่าสนใจ ชวนมอง เกิดความน่าเกรงขาม หรือแม้แต่ความขบขัน ต่างเกิดจากฝีมือการแสดงเฉพาะตัวทั้งสิ้น หรือนักแสดงสบทบอย่าง ฮาลีย์ เบนเนตต์ (สาวสุดเซ็กซี่ชวนมองที่เพิ่งเห็นหน้ากันจากหนัง The Girl on the Train ไปหมาด ๆ) หรือ อีธาน ฮอว์ค ก็ทำหน้าที่บริหารเสน่ห์ส่วนตัวให้หนังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ เรียกได้ว่า นักแสดงมีส่วนสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้มากเลยทีเดียว
กล่าวโดยสรุปแล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่แย่แต่อย่างใด อย่างน้อยหากมองในแง่ความบันเทิงไม่คิดอะไรให้มากความ ก็ตอบโจทย์กับฉากแอ็คชั่นที่มีให้ดูอย่างเต็มอิ่มแน่นอน แต่หากอยากรับชมด้วยจุดประสงค์ที่ว่า อยากได้รับอรรถรส แบบหนัง Western แท้ ๆในยุครุ่งเรืองนั้น คงต้องไปหยิบหนังอย่าง The Magnificent Seven ฉบับปี 1960 หรือ The Wild Bunch ของ แซม แพ็กกินพาห์ ก็น่าจะทำให้มีความสุขกับอรรถรสที่ได้รับมากกว่า .
ขอบคุณรูปภาพจาก Sony Pictures
หากอ่านแล้วชอบ ติดตามบทความจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆได้ที่ https://www.facebook.com/thelastseatsontheleft/ นะครับ