Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’ (The Guardian)

สวัสดีค่ะ นี่เป็นบทสัมภาษณ์ของ Michael Fassbender ที่โปรโมตภาพยนตร์ The Light Between Oceans ในหนังสือพิมพ์ The Guardian ของสหราชอาณาจักรฯ เราคิดว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีทีเดียว และชอบทัศนคติของฟาสเบนเดอร์ และสำนวนของนักข่าวในงานนี้ เลยพยายามแปลมาให้ ถ้าผิดพลาดยังไงบอกได้เลยนะคะ

Michael Fassbender: ‘ผมเป็นคนขี้กังวล และผมพยายามปรับปรุงเรื่องนั้น’
เขาทำตัวดิบและเก็บกดได้ดีกว่าใคร แต่นอกจอแล้วนักแสดงหนุ่มกำลังเรียนรู้วิธีผ่อนคลาย ฟาสเบนเดอร์พูดถึงเพื่อนเก่า การให้อภัย และฉากเปลือย
Decca Aitkenhead | The Guardian Culture




ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์อาจเป็นหนึ่งในมนุษย์ผู้รู้จักการวางตัวดีที่สุด หรือนักโกหกผู้ปราดเรื่อง “ผมโกหกต่อหน้านักข่าวได้ง่ายมาก” เขาบอกกับฉันเช่นนั้น และยังบอกด้วยว่าเขาเชี่ยวชาญ “ผมต้องเป็นแบบนั้น” แต่เนื่องจากนี่เป็นเพียงอุบายที่ดาราภาพยนตร์คนหนึ่งนำมาใช้ การพูดถึงเรื่องนี้ซ้ำ ๆ คือการย้ำถึงทัศนคติต่อตัวเองซึ่งไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าใดก็เท่านั้น

ฟาสเบนเดอร์มีชื่อเสียงจากการรับบทบาทเป็นบุรุษผู้ไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขกับตัวเองได้ทั้งนั้น ในปี 2008 เขาแสดงนำใน Hunger ผลงานเปิดตัวของผู้กำกับ Steve McQueen ในบท Bobby Sands นักโทษรีพับลิกันผู้อดอาหารประท้วง ต่อมาแม็คควีนก็ให้เขารับบทหนุ่มติดเซ็กซ์ใน Shame ตามมาด้วยเจ้าของไร่สุดซาดิสต์ใน 12 Years A Slave ฟาสเบนเดอร์ปรากฏตัวในภาพยนตร์ Fish Tank และ Inglourious Basterds, รับบท Carl Jung ใน A Dangerous Method, Mr Rochester ใน Jane Eyre และ Steve Jobs ในภาพยนตร์ชีวประวัติชื่อตัวละครดังกล่าว เช่นเดียวกับมิวแทนต์ antihero นาม Magneto ในแฟรนไชส์ X-Men และตามมาด้วยบท Macbeth ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าเป็น “Brando แห่งหมู่เกาะบริเตน” ความทุ่มเทของเขานั้นเข้มข้นเสียจนทำให้คนดูรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ดูการแสดง แต่เหมือนแอบส่องชีวิตสุดดิบของมนุษย์คนหนึ่ง สัมผัสแห่งสัญชาตญาณเช่นนี้ทั้งน่าตื่นเต้นและวุ่นวายในเวลาเดียวกัน จนในบางทีเราได้เห็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด

นักแสดงหนุ่มวัย 39 ผู้ได้เข้าชิงรางวัล Oscar สองครั้งในชีวิตผู้นี้มีภาพยนตร์ 3 เรื่องเตรียมลงโรงระหว่างช่วงนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นภาพยนตร์ที่เขารับหน้าที่อำนวยการสร้างเอง และตลอดเส้นทางอาชีพนี้แทบไม่เคยมีครั้งไหนที่เป็นการตัดสินใจอันผิดพลาด (เขาทำกระทั่งปฏิเสธที่จะชม Jonah Hex ภาพยนตร์เหลวเป๋วปี 2010) หรือการปรากฏตัวบนคอลัมน์ซุบซิบดารา ถือเป็นการเดินทางของดาราภาพยนตร์คนหนึ่งที่แทบจะเรียกว่าไร้ที่ติก็ว่าได้ “พระเจ้า ผมรู้!” เขาเห็นด้วย “ผมรู้ครับ มันบ้ามาก แทบไม่อยากเชื่อเลย” เขากล่าวว่าไม่มีดาราที่ยังมีชีวิตอยู่คนไหนที่เขาต้องการจะแลกเปลี่ยนชีวิตด้วย “แต่ก็นั่นแหละ – อย่างที่คุณรู้ ผมไม่อยากเปลี่ยนที่กับใครทั้งนั้น”

ฟาสเบนเดอร์มีงานในภาพยนตร์ 10 เรื่องถ้านับตั้งแต่ 12 Years A Slave และเป็นที่แน่นอนว่าเขาต้องเหนื่อยล้า คุณไม่ต้องเดาหรอก อันที่จริงแล้ว ฉันไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าฉันจะจำเขาได้ เขาสวมกางเกงบานขาสั้นตอนที่เราเจอกันในโรงแรมย่าน Soho หลังจากไปยิมในตอนเช้า ใบหน้ามีหนวดสีแดงรุงรังที่ไม่ได้รับการดูแล ฉันไม่คาดคิดว่าสำเนียงของเขาจะยังอยู่ดีหลังจากชีวิต 20 ปีในลอนดอน และตัวละครสารพันเชื้อชาติที่เขาต้องแปลงสำเนียงเพื่อรับบท แต่เขายังคงต้นกำเนิดไอริชของตัวเองได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เขามีความสามารถในการเล่นแร่แปรธาตุฉบับนักแสดงซึ่งหมายความว่าทำให้ใบหน้าของเขาดูแตกต่างไปตามภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ฉะนั้นมันน่าแปลกใจที่ได้เห็นว่าในชีวิตจริงเขาดูเหมือน Fergal พี่ชายของ Sharon ตัวละครใน Catastrophe ซีรีย์บนช่อง 4


เรากำลังจะได้เห็นเขาใน The Light Between Oceans ภาพยนตร์ดัดแปลงจากนวนิยายอันยอดเยี่ยมปี 2012 ดำเนินเรื่องในเกาะร้างจากออสเตรเลียตะวันตกยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ฟาสเบนเดอร์รับบทเป็น Tom ทหารผ่านศึกหนุ่มผู้เงียบขรึมซึ่งมีความสุขกับชีวิตอันโดดเดี่ยว จนกระทั่งได้ตกหลุมรักและแต่งงานกับ Isabel หญิงสาววัยเยาว์จากตัวเมือง ทั้งคู่ต้องประสบกับความทุกข์เมื่อเกิดการแท้งลูกถึงสองครั้งติดต่อกัน และเมื่อเรืออับปางพร้อมด้วยร่างของชายหนุ่มผู้ไร้ลมหายใจและเด็กน้อยร่ำไห้มาปรากฏบนชายฝั่ง อิซาเบลขออนุญาตจากทอมให้เธอเลี้ยงดูเด็กหญิงดังกล่าว แม้จะขัดกับสัญชาตญาณตนเองก็ตาม เขาตกลงและตัดสินใจเลี้ยงเด็กน้อยราวกับเป็นลูกในไส้ “สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวก็คือนี่ไม่ใช่หนังของคนดีแสนบริสุทธิ์” ฟาสเบนเดอร์บอก “แบบ ไม่ใช่ว่า ‘นี่ตัวโกงนะ ส่วนนี่อ่ะพระเอก’ นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันไม่เหมือนกับสิ่งที่คุณคิดจะว่าได้ว่า ‘พวกเขาคิดบ้าอะไรกัน? ตัวละครพวกนี้บ้าไปแล้ว’”



แน่นอนว่าตัวละครทอมไม่ได้เลวร้ายหรือโรคจิตแบบที่ฟาสเบนเดอร์เคยเล่นมา เพราะฉะนั้นฉันจึงสงสัยว่าเขารับบทนี้ได้อย่างไร “ตอนผมอ่านบท ผมคิดว่า ‘พระเจ้า หมอนี่คนดีสุด ๆ’ เขามาจากอีกยุคหนึ่ง เขาไม่พูดมาก ความซื่อสัตย์ของเขานั้นแรงกล้า เช่นเดียวกับหลักการต่าง ๆ ผมอยากจะคิดว่าถ้าเป็นผม ผมคงทำแบบเขาเช่นกัน”

ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทอมต้องพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เราต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง” แม้มันจะทำให้คนที่คุณรักเจ็บปวดก็ตาม “ผมคิดว่าคุณต้องซื่อตรงต่อตัวเองในชีวิตจริง” ฟาสเบนเดอร์บอก “เข็มทิศคุณธรรมของคุณคืออะไร? คุณต้องซื่อตรงต่อสิ่งนั้น ไม่ว่าเข็มทิศของคนที่คุณรักจะว่าอย่างไรก็ตาม เพราะเราล้วนเป็นปัจเจก คุณสามารถอยู่ร่วมกันกับคนอื่นและรักคนอื่นได้ แต่ผมคิดว่าถ้าเราซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เราจะรู้ว่าตัวตนของเราเป็นยังไง อะไรที่เข้ากับเราได้ และอะไรที่ไม่”

ฟาสเบนเดอร์หยุดไปเมื่อฉันถามว่าการตัดสินใจโดยใช้หลักคุณธรรมอะไรที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตที่เขาเคยเผชิญมา “โอ้ ชิทล่ะ” เขาเงียบไป 10 วินาที “ผมไม่รู้แฮะ น่าจะหลายเลยนะครับ ผมว่า ขอคิดก่อน” เขาหยุดอีกครั้ง “ของคุณล่ะคืออะไร? ผมอาจจะได้ความคิดอะไรบ้างนะ”

เขาทำแบบนี้บ่อย โยนคำถามกลับมาที่ฉันหรือคิดคำถามใหม่ให้เสียเลย ถือเป็นคุณสมบัติที่น่าชื่นชอบสำหรับคน ๆ หนึ่ง แต่ไม่ใช่สิ่งที่เรามองหาในตัวผู้ให้สัมภาษณ์ และเขามีวิธีเบนความสนใจจากสิ่งที่เขาไม่ต้องการพูด ฉันบอกความท้าทายเรื่องบาปบุญต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยเจอมาด้วยความหวังอันสูงสุด แต่เมื่อถึงตาเขา เขาให้เพียงรอยยิ้มเชิงขอโทษ “ผมระวังตัวเองสุด ๆ ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ผมขอไม่พูดนะครับ”


อีกหนึ่งอารมณ์หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการให้อภัย ฟาสเบนเดอร์รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อต้องพูดถึงจุดยืนของตัวเองในเรื่องนี้ “ก็นะ มีอยู่ทางเดียวที่จะไปต่อได้ ผมเชื่อเรื่องนั้นครับ สำหรับคน ๆ หนึ่งที่ต้องยกโทษให้แล้ว แน่นอนว่าเรื่องนั้นสำคัญกว่าคนที่ทำผิด มีประโยคเด็ด ๆ อยู่หนึ่งในภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คุณแค่ต้องให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ทำเช่นนั้น คุณต้องแบกรับและโกรธแค้นกับมันไปตลอด”



เขาหยุดไปชั่วขณะ “แต่พอผมต้องมาคิดจริง ๆ แล้ว ตอนเช้านี้ ผมดันไปนั่งดูคลิปออนไลน์คลิปหนึ่ง ผมไม่รู้นะว่าไปดูได้ยังไง แต่เรื่องก็คือมีเด็กผู้หญิง 5 คนรุมกระทืบเด็กสาวคนหนึ่ง – เด็กวัยรุ่นครับ - แล้วผมก็คิดว่า โอ้พระเจ้า นี่โหดสุด ๆ แล้วคลิปนั้นก็พาผมไปอีกวิดีโอหนึ่งที่เด็กผู้หญิงวัย 15 คนนี้อยู่ในร้านแม็คโดนัลด์ที่นิวยอร์ก ถูกเตะจมดิน คนพวกนั้นเหยียบหัวแล้วทึ้งผมเธอ มีประมาณ 5 หรือ 6 คนนี่แหละ ผมก็คิด ‘พระเจ้า ถ้าผมเป็นพ่อของเด็กคนนั้นนี่ ผมไม่รู้เลยนะว่าจะให้อภัยเรื่องนี้ได้หรือเปล่า’ เพราะผมนั่งดูคลิปนั้น ไม่ใช่ในฐานะผู้ปกครอง แล้วผมก็ได้แต่คิด พระเจ้า เด็กพวกนี้เลวสุด ๆ”

เมื่อครั้งที่ฟาสเบนเดอร์ยังเป็นวัยรุ่น เขาปล่อยให้ทุกสิ่งมีอิทธิพลกับตัวเอง “ผมเป็นคนขี้กังวลเกินเหตุครับ ผมก็จะนั่งเฉย ๆ กังวลไปเรื่อย” เกี่ยวกับอะไรน่ะหรือ? “อะไรก็ได้ครับ” โรคเอดส์? สงครามนิวเคลียร์? “โอ ใช่เลย” จะไปทำใครท้อง? “ครับ ใช่อีก” สอบตก? “แน่นอน แล้วก็เรื่องสิวด้วยครับ ผมมีสิวเยอะมาก เพราะฉะนั้นก็ใช่ครับ แล้วผมก็จะนั่ง บางทีก็ ‘ทำไมผมไม่กังวลเกี่ยวกับอะไรเลยเนี่ย – ทีนี้ผมควรจะห่วงเรื่องอะไรดี?’” เขาหัวเราะและส่ายศีรษะ


“แต่ผมพยายามหนักมากนะที่จะไม่ทำตัวแบบนั้น ผมไม่พะวงกับสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้แล้ว ผมไม่ได้ใช้เวลาไปนึกถึงอดีต เพราะผมไม่คิดว่ามันมีประโยชน์ มันก็มีความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เคยทำ และบางที หลัก ๆ มันก็เป็นแค่ประสบการณ์ สิ่งที่กวนใจคุณ ซึ่งคุณไม่มีสิทธิไปเปลี่ยน พวกนั้นไม่มีอะไรเลยครับ แล้วถ้าคุณไม่ระวังพอ คุณอาจจะเริ่มติดใจกับความทุกข์ทรมานในการเอาแต่หมกมุ่นและความเกลียดชังตัวเอง สิ่งพวกนี้จะกลายเป็นแบบแผนในชีวิตประจำวันที่คุณอาจจะคุ้นชิน เพราะมันจะกลายเป็นนิสัย ผมเรียนรู้เรื่องพวกนั้นตอนถ่ายเรื่อง Shame – ว่าแบบแผนพวกนั้นกลายเป็นเพื่อนเยียวยาคุณ แม้พวกนั้นมันจะฆ่าคุณก็ตาม”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่