ย้อนกลับไปเมื่อ 40-50 ปีก่อน หลายพื้นที่ในประเทศไทย ประชาชนยังประสบกับความยากลำบาก ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่และการทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะใน "พื้นที่บนดอยสูง" อันห่างไกลความเจริญ
พื้นที่ยิ่งสูง ยิ่งทรมานเพราะความเหน็บหนาว แต่ด้วยน้ำพระราชหฤทัยแห่ง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เปรียบเสมือน "แสงอาทิตย์" ที่ส่องแสงความอบอุ่นมาสู่ "กลุ่มชาติพันธุ์" หรือ "ชาวเขา" เผ่าต่างๆ ให้เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการหลวง และทรงเยี่ยมเยียนชาวเขาบนพื้นที่สูง โดยมี ม.จ.ภีศเดชตามเสด็จฯ ด้วย
เบื้องหลังสายธารแห่งน้ำพระราชหฤทัยอันชุ่มฉ่ำ ท่านภี-หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่รับสนองพระราชดำรินำพาพระเมตตาไปพระราชทานแก่ชาวเขาผ่านการดำเนินงานของ "มูลนิธิโครงการหลวง" ที่วันนี้โครงการหลวงเปรียบดั่ง "ต้นไม้ใหญ่" แผ่กิ่งก้านสาขาไปตามยอดดอยต่างๆ ให้ร่มเงาแก่พี่น้องชาวเขาได้พึ่งพิง
"โครงการหลวงปัจจุบันดำเนินโครงการมาถึง 47 ปีแล้ว"
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เปิด "วังประมวญ" ประทานสัมภาษณ์ถึงการดำเนินงานของโครงการหลวงและพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย
"โครงการหลวงเกิดขึ้นจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปทอดพระเนตรชีวิตของชาวเขา ไม่มีความเจริญแม้แต่นิดเดียว ไม่มีราชการ ไม่มีอะไรต่อมิอะไรบนนั้น ไปไหนก็ต้องเดิน อาหารก็ต้องหากินในนั้น ชาวบ้านทำไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่น แต่ว่าจน
"อันนี้ไม่เหมือนคนอื่นคิด อย่างฝรั่งบอกว่า Golden Triangle หรือสามเหลี่ยมทองคำ สามประเทศที่ปลูกฝิ่นร่ำรวยมาก แต่ไม่ใช่ความจริงเลย เป็นสามเหลี่ยมทองคำที่ยากจน คนรวยคือคนซื้อฝิ่น เพราะไปขายต่อๆ กันไป ยิ่งตอนท้ายๆ ยิ่งรวยใหญ่"
เมื่อทรงทราบว่า "ชาวเขาปลูกฝิ่นแต่ยากจน" จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งโครงการหลวงขึ้นเมื่อปี 2512 เป็น "โครงการส่วนพระองค์" โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 2 แสนบาท สำหรับซื้อที่บริเวณดอยปุยหลังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ใช้เป็นที่เริ่มต้นทำสถานีวิจัยผลไม้เมืองหนาว เป็นงบประมาณดำเนินงานต่างๆ และจัดซื้อที่ดิน ต่อมาเรียกว่า "สวนสองแสน" อยู่ใกล้กับหมู่บ้านแม้ว มีหัวหน้าชาวเขา 18 หมู่บ้าน มารับเครื่องมือการเกษตร มีอาจารย์อาสาสมัครจาก ม.เชียงใหม่ ม.เกษตรศาสตร์ และ ม.แม่โจ้ มาร่วมประชุมอบรมชาวเขาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2512 ถือเป็นปีต้นกำเนิดโครงการหลวง
"
พระองค์รับสั่งกับผมว่า ให้นำผลไม้เมืองหนาวไปปลูกบนดอยและเอาลงมาขายข้างล่าง เมืองร้อน จะได้ราคาที่ดีมาก "
หลังจากรับสนองพระราชดำริมาแล้ว หม่อมเจ้าภีศเดชกล่าวว่า ได้เดินหน้าลุยงานทันที ภายใต้เป้าหมายการดำเนินงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานว่าให้ช่วยชาวเขาเพื่อมนุษยธรรม ช่วยชาวไทยโดยลดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ คือ ป่าไม้และต้นน้ำลำธาร กำจัดการปลูกฝิ่น รักษาดินและใช้พื้นที่ให้ถูกต้อง คือ ให้ป่าอยู่ส่วนที่เป็นป่า และทำไร่ ทำสวนในส่วนที่ควรเพาะปลูก อย่าให้สองส่วนนี้รุกล้ำซึ่งกันและกัน
โครงการหลวงแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ "ดอยอ่างขาง" ต.ม่อนปิน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกฝิ่นที่มีคุณภาพดีที่สุดของไทยในเวลานั้น
หม่อมเจ้าภีศเดชเล่าว่า เมื่อก่อนอ่างขางมีหมู่บ้านชาวเขา 5-6 หมู่บ้าน มีชาวเขาทุกเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกันเต็มไปหมด ทุกคนปลูกฝิ่น แต่ต่อมามีการสู้รบยิงกันบนนั้นของพม่ากับจีนฮ่อ พวกชาวบ้านก็หนีลงมาเกือบหมด
"ผมขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูพบว่ายังเหลือชาวเขาอีก 2 หมู่บ้าน ยังคงปลูกฝิ่นกันอยู่แต่ยังมีที่ว่างเยอะมาก จึงให้อาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์ เป็นอาสาสมัครที่มาทำงานถวายด้วยกันมาดูว่าสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ทดลองปลูกผลไม้เมืองหนาวได้ไหม อาจารย์ก็บอกว่าใช้ได้"
แต่การจะเปลี่ยนให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูก "พืชเมืองหนาว" ไม่ใช่เรื่องง่าย
หม่อมเจ้าภีศเดชเผยว่า ต้องใช้วิธีโน้มน้าวใจด้วยการเข้าไปเป็นเพื่อนกับชาวเขา โดยเดินเท้าขึ้นดอยไปเพียงคนเดียว ไม่พกอาวุธป้องกันตัวติดกาย ไม่มีผู้ติดตามเพื่อรักษาความปลอดภัย ดำรงตนอย่างธรรมดาที่สุด มีของเพียงไม่กี่อย่างที่มีราคาค่างวด เป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการเดินทางไกลๆ ยากลำบาก และเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ประกอบด้วย "กระเป๋าเป้" จากฝรั่งเศส "ถุงนอน" จากไต้หวัน และ "รองเท้าบู๊ตทหาร" เป็นของทหารอเมริกันที่ซื้อมาในสภาพมือสองที่สนามหลวง
"ผมเคยเป็นทหารอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเคยเป็นกรรมกรอยู่ที่อังกฤษ ชีวิตผมมันขึ้นลง จากเป็นคนชั้นสูง มาเป็นชั้นกลาง และมาเป็นชั้นต่ำ เป็นกุลีขุดดิน เคยเป็นมาหมด ตอนเป็นทหารผมต้องเดินไกล จึงมีความเชี่ยวชาญในการเดิน"
เพราะอย่างนี้จึงไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลอะไรกับงานนี้ ตรงกันข้าม กลับเป็นเรื่อง "สนุก"
"ผมไม่ได้คิดอะไรเลย การเดินไปตามดอยที่ไม่มีใครอื่นไปเลย ผมสนุกนะ มันตื่นเต้นดี ไม่มีอะไรน่ากลัว อาวุธไม่มี มีแต่มีดพกที่ใช้ตัดนู่นตัดนี่เท่านั้น สะพายเป้ 20 กิโลกรัม เดินเข้าหมู่บ้านอีก 3 ชั่วโมง เป็นเรื่องเล็ก ผมเดินได้ทั้งวัน" ท่านภีเล่าอย่างอารมณ์ดี
"ส่วนการเข้าไปหาชาวบ้าน ผมเห็นว่าถ้าเราจะไปทำงานกับเขา ต้องเป็นเพื่อนกับเขา ไม่ใช่เป็นข้าราชการ สั่งให้ทำนู่นทำนี่ เพราะการเป็นเพื่อน เขาจะฟังเรา ถกเถียงกันได้ แต่ถ้าเป็นนายสั่งเขาเถียงอะไรไม่ได้ อีกทั้งความเป็นเพื่อนจะทำให้เขารู้สึกว่า เราไม่เอาเปรียบเขา ถ้าบอกว่าจะช่วย เราก็จะช่วยจริงๆ"
"ผมเป็นข้าราชบริพาร ตอนเสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎรผมก็เดินอยู่กับพระองค์ท่าน ทรงเห็นเขาปลูกฝิ่น ก็ไม่ได้ทรงว่าอะไรเลย รับสั่งว่ามันผิดกฎหมาย แต่ถ้าจับเข้าคุกก็ไม่มีคุกใหญ่พอ เพราะฉะนั้นเราต้องหาพืชอื่นมาให้เขาปลูกแทน เขาเห็นว่าผมทำงานถวาย พอพูดอะไรกับเขา โดยมากเขาจะเชื่อ
"อย่างสตรอเบอรี่ บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวอยากให้ลองปลูก ก็มีชาวเขา 3-4 คนอาสาปลูก เราจะส่งนักวิชาการไปให้คำแนะนำและสาธิตการปลูก พอสุกก็เอาไปขายให้ ช่วยเขาทุกขั้นตอน ได้เงินมาก็เอาไปให้ทั้งหมด พอคนที่เหลือรู้ว่าได้เงินเท่าไหร่ ปีต่อมาทุกคนขอปลูกสตรอเบอรี่หมดเลย"
โครงการหลวงเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกา ในการวิจัยการเกษตรบนที่สูงปีละประมาณ 20 ล้านบาท รวมทั้งไต้หวันและมิตรประเทศต่างๆ ทูลเกล้าฯถวายพันธุ์พืชเมืองหนาว ทำให้มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรเพิ่มากขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยเพื่อหาชนิดและพันธุ์พืชที่เหมาะสมต่อการปลูกบนพื้นที่สูง การศึกษาวิธีการปลูก และการปฏิบัติรักษา รวมทั้งงานวิจัยด้านอื่นๆ เช่น สตรอเบอรี่ กาแฟอาราบิก้า พีช สาลี่ พลับ พลัม บ๊วย อโวคาโด กีวี เสาวรส และอีกมากมาย
ณ วันนี้ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงมีทั้งหมด 38 แห่ง กระจัดกระจายอยู่ตามดอยในภาคเหนือตอนบน บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน และพะเยา จากผลสำเร็จนี้ เมื่อปี 2537 โครงการควบคุมยาเสพติดของสหประชาชาติ (UNDCP) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณในการแก้ปัญหายาเสพติด ส่งเสริมให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นปลูกพืชอื่นทดแทน กล่าวได้ว่าโครงการหลวงเป็น "โครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นแห่งแรกของโลก"
"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทุกปีพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯไปทรงติดตามการดำเนินงานไม่เคยขาด โดยเสด็จฯมาประทับที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ 3 เดือน แล้วเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชาวบ้านตามดอยต่างๆ เสด็จฯไปทั่ว เวลาทรงเยี่ยมชาวบ้านจะทรงคุกเข่าลงพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง"
"
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวเขาทูลเชิญขึ้นไปบนบ้าน แล้วก็เอาหมอนเอาที่นอนมาวางให้ประทับ แล้วเอาเหล้าทำเองมาให้เสวย พระองค์ท่านก็เสวยกับเขาอย่างดี ทั้งที่ถ้วยนั้นไม่ค่อยสะอาด ซึ่งผมเห็นถ้วย ผมก็กระซิบให้เสวยนิดหนึ่ง แล้วส่งที่เหลือมาให้ผม แต่ไม่ทรงทำ ทรงแกล้งรับสั่งว่าเหล้านี่ฆ่าเชื้อโรคหมด ถ้าไม่สะอาดก็ไม่เป็นไร แล้วก็เสวยหมดเลย " ท่านภีเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ยังจดจำได้แม่นยำ
มีต่อค่ะ...
47 ปี โครงการหลวง พระเมตตา ชุบชีวิตชาวเขา
ย้อนกลับไปเมื่อ 40-50 ปีก่อน หลายพื้นที่ในประเทศไทย ประชาชนยังประสบกับความยากลำบาก ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่และการทำมาหาเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะใน "พื้นที่บนดอยสูง" อันห่างไกลความเจริญ
พื้นที่ยิ่งสูง ยิ่งทรมานเพราะความเหน็บหนาว แต่ด้วยน้ำพระราชหฤทัยแห่ง "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เปรียบเสมือน "แสงอาทิตย์" ที่ส่องแสงความอบอุ่นมาสู่ "กลุ่มชาติพันธุ์" หรือ "ชาวเขา" เผ่าต่างๆ ให้เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้ม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯทอดพระเนตรการดำเนินงานโครงการหลวง และทรงเยี่ยมเยียนชาวเขาบนพื้นที่สูง โดยมี ม.จ.ภีศเดชตามเสด็จฯ ด้วย
เบื้องหลังสายธารแห่งน้ำพระราชหฤทัยอันชุ่มฉ่ำ ท่านภี-หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่รับสนองพระราชดำรินำพาพระเมตตาไปพระราชทานแก่ชาวเขาผ่านการดำเนินงานของ "มูลนิธิโครงการหลวง" ที่วันนี้โครงการหลวงเปรียบดั่ง "ต้นไม้ใหญ่" แผ่กิ่งก้านสาขาไปตามยอดดอยต่างๆ ให้ร่มเงาแก่พี่น้องชาวเขาได้พึ่งพิง
"โครงการหลวงปัจจุบันดำเนินโครงการมาถึง 47 ปีแล้ว"
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เปิด "วังประมวญ" ประทานสัมภาษณ์ถึงการดำเนินงานของโครงการหลวงและพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย
"โครงการหลวงเกิดขึ้นจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปทอดพระเนตรชีวิตของชาวเขา ไม่มีความเจริญแม้แต่นิดเดียว ไม่มีราชการ ไม่มีอะไรต่อมิอะไรบนนั้น ไปไหนก็ต้องเดิน อาหารก็ต้องหากินในนั้น ชาวบ้านทำไร่เลื่อนลอย ปลูกฝิ่น แต่ว่าจน
"อันนี้ไม่เหมือนคนอื่นคิด อย่างฝรั่งบอกว่า Golden Triangle หรือสามเหลี่ยมทองคำ สามประเทศที่ปลูกฝิ่นร่ำรวยมาก แต่ไม่ใช่ความจริงเลย เป็นสามเหลี่ยมทองคำที่ยากจน คนรวยคือคนซื้อฝิ่น เพราะไปขายต่อๆ กันไป ยิ่งตอนท้ายๆ ยิ่งรวยใหญ่"
เมื่อทรงทราบว่า "ชาวเขาปลูกฝิ่นแต่ยากจน" จึงทรงมีพระราชดำริให้ตั้งโครงการหลวงขึ้นเมื่อปี 2512 เป็น "โครงการส่วนพระองค์" โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 2 แสนบาท สำหรับซื้อที่บริเวณดอยปุยหลังพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ใช้เป็นที่เริ่มต้นทำสถานีวิจัยผลไม้เมืองหนาว เป็นงบประมาณดำเนินงานต่างๆ และจัดซื้อที่ดิน ต่อมาเรียกว่า "สวนสองแสน" อยู่ใกล้กับหมู่บ้านแม้ว มีหัวหน้าชาวเขา 18 หมู่บ้าน มารับเครื่องมือการเกษตร มีอาจารย์อาสาสมัครจาก ม.เชียงใหม่ ม.เกษตรศาสตร์ และ ม.แม่โจ้ มาร่วมประชุมอบรมชาวเขาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปี 2512 ถือเป็นปีต้นกำเนิดโครงการหลวง
" พระองค์รับสั่งกับผมว่า ให้นำผลไม้เมืองหนาวไปปลูกบนดอยและเอาลงมาขายข้างล่าง เมืองร้อน จะได้ราคาที่ดีมาก "
หลังจากรับสนองพระราชดำริมาแล้ว หม่อมเจ้าภีศเดชกล่าวว่า ได้เดินหน้าลุยงานทันที ภายใต้เป้าหมายการดำเนินงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานว่าให้ช่วยชาวเขาเพื่อมนุษยธรรม ช่วยชาวไทยโดยลดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ คือ ป่าไม้และต้นน้ำลำธาร กำจัดการปลูกฝิ่น รักษาดินและใช้พื้นที่ให้ถูกต้อง คือ ให้ป่าอยู่ส่วนที่เป็นป่า และทำไร่ ทำสวนในส่วนที่ควรเพาะปลูก อย่าให้สองส่วนนี้รุกล้ำซึ่งกันและกัน
โครงการหลวงแห่งแรกจึงกำเนิดขึ้นที่ "ดอยอ่างขาง" ต.ม่อนปิน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกฝิ่นที่มีคุณภาพดีที่สุดของไทยในเวลานั้น
หม่อมเจ้าภีศเดชเล่าว่า เมื่อก่อนอ่างขางมีหมู่บ้านชาวเขา 5-6 หมู่บ้าน มีชาวเขาทุกเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกันเต็มไปหมด ทุกคนปลูกฝิ่น แต่ต่อมามีการสู้รบยิงกันบนนั้นของพม่ากับจีนฮ่อ พวกชาวบ้านก็หนีลงมาเกือบหมด
"ผมขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูพบว่ายังเหลือชาวเขาอีก 2 หมู่บ้าน ยังคงปลูกฝิ่นกันอยู่แต่ยังมีที่ว่างเยอะมาก จึงให้อาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์ เป็นอาสาสมัครที่มาทำงานถวายด้วยกันมาดูว่าสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้ทดลองปลูกผลไม้เมืองหนาวได้ไหม อาจารย์ก็บอกว่าใช้ได้"
แต่การจะเปลี่ยนให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นและหันมาปลูก "พืชเมืองหนาว" ไม่ใช่เรื่องง่าย
หม่อมเจ้าภีศเดชเผยว่า ต้องใช้วิธีโน้มน้าวใจด้วยการเข้าไปเป็นเพื่อนกับชาวเขา โดยเดินเท้าขึ้นดอยไปเพียงคนเดียว ไม่พกอาวุธป้องกันตัวติดกาย ไม่มีผู้ติดตามเพื่อรักษาความปลอดภัย ดำรงตนอย่างธรรมดาที่สุด มีของเพียงไม่กี่อย่างที่มีราคาค่างวด เป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ในการเดินทางไกลๆ ยากลำบาก และเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ ประกอบด้วย "กระเป๋าเป้" จากฝรั่งเศส "ถุงนอน" จากไต้หวัน และ "รองเท้าบู๊ตทหาร" เป็นของทหารอเมริกันที่ซื้อมาในสภาพมือสองที่สนามหลวง
"ผมเคยเป็นทหารอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเคยเป็นกรรมกรอยู่ที่อังกฤษ ชีวิตผมมันขึ้นลง จากเป็นคนชั้นสูง มาเป็นชั้นกลาง และมาเป็นชั้นต่ำ เป็นกุลีขุดดิน เคยเป็นมาหมด ตอนเป็นทหารผมต้องเดินไกล จึงมีความเชี่ยวชาญในการเดิน"
เพราะอย่างนี้จึงไม่รู้สึกกลัวหรือกังวลอะไรกับงานนี้ ตรงกันข้าม กลับเป็นเรื่อง "สนุก"
"ผมไม่ได้คิดอะไรเลย การเดินไปตามดอยที่ไม่มีใครอื่นไปเลย ผมสนุกนะ มันตื่นเต้นดี ไม่มีอะไรน่ากลัว อาวุธไม่มี มีแต่มีดพกที่ใช้ตัดนู่นตัดนี่เท่านั้น สะพายเป้ 20 กิโลกรัม เดินเข้าหมู่บ้านอีก 3 ชั่วโมง เป็นเรื่องเล็ก ผมเดินได้ทั้งวัน" ท่านภีเล่าอย่างอารมณ์ดี
"ส่วนการเข้าไปหาชาวบ้าน ผมเห็นว่าถ้าเราจะไปทำงานกับเขา ต้องเป็นเพื่อนกับเขา ไม่ใช่เป็นข้าราชการ สั่งให้ทำนู่นทำนี่ เพราะการเป็นเพื่อน เขาจะฟังเรา ถกเถียงกันได้ แต่ถ้าเป็นนายสั่งเขาเถียงอะไรไม่ได้ อีกทั้งความเป็นเพื่อนจะทำให้เขารู้สึกว่า เราไม่เอาเปรียบเขา ถ้าบอกว่าจะช่วย เราก็จะช่วยจริงๆ"
"ผมเป็นข้าราชบริพาร ตอนเสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎรผมก็เดินอยู่กับพระองค์ท่าน ทรงเห็นเขาปลูกฝิ่น ก็ไม่ได้ทรงว่าอะไรเลย รับสั่งว่ามันผิดกฎหมาย แต่ถ้าจับเข้าคุกก็ไม่มีคุกใหญ่พอ เพราะฉะนั้นเราต้องหาพืชอื่นมาให้เขาปลูกแทน เขาเห็นว่าผมทำงานถวาย พอพูดอะไรกับเขา โดยมากเขาจะเชื่อ
"อย่างสตรอเบอรี่ บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวอยากให้ลองปลูก ก็มีชาวเขา 3-4 คนอาสาปลูก เราจะส่งนักวิชาการไปให้คำแนะนำและสาธิตการปลูก พอสุกก็เอาไปขายให้ ช่วยเขาทุกขั้นตอน ได้เงินมาก็เอาไปให้ทั้งหมด พอคนที่เหลือรู้ว่าได้เงินเท่าไหร่ ปีต่อมาทุกคนขอปลูกสตรอเบอรี่หมดเลย"
โครงการหลวงเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากกระทรวงเกษตร สหรัฐอเมริกา ในการวิจัยการเกษตรบนที่สูงปีละประมาณ 20 ล้านบาท รวมทั้งไต้หวันและมิตรประเทศต่างๆ ทูลเกล้าฯถวายพันธุ์พืชเมืองหนาว ทำให้มีองค์ความรู้ด้านการเกษตรเพิ่มากขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาวิจัยเพื่อหาชนิดและพันธุ์พืชที่เหมาะสมต่อการปลูกบนพื้นที่สูง การศึกษาวิธีการปลูก และการปฏิบัติรักษา รวมทั้งงานวิจัยด้านอื่นๆ เช่น สตรอเบอรี่ กาแฟอาราบิก้า พีช สาลี่ พลับ พลัม บ๊วย อโวคาโด กีวี เสาวรส และอีกมากมาย
ณ วันนี้ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงมีทั้งหมด 38 แห่ง กระจัดกระจายอยู่ตามดอยในภาคเหนือตอนบน บริเวณจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน และพะเยา จากผลสำเร็จนี้ เมื่อปี 2537 โครงการควบคุมยาเสพติดของสหประชาชาติ (UNDCP) ได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองเพื่อสดุดีพระเกียรติคุณในการแก้ปัญหายาเสพติด ส่งเสริมให้ชาวเขาเลิกปลูกฝิ่นปลูกพืชอื่นทดแทน กล่าวได้ว่าโครงการหลวงเป็น "โครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่นแห่งแรกของโลก"
"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทุกปีพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯไปทรงติดตามการดำเนินงานไม่เคยขาด โดยเสด็จฯมาประทับที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ 3 เดือน แล้วเสด็จฯไปทรงเยี่ยมชาวบ้านตามดอยต่างๆ เสด็จฯไปทั่ว เวลาทรงเยี่ยมชาวบ้านจะทรงคุกเข่าลงพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเอง"
" มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชาวเขาทูลเชิญขึ้นไปบนบ้าน แล้วก็เอาหมอนเอาที่นอนมาวางให้ประทับ แล้วเอาเหล้าทำเองมาให้เสวย พระองค์ท่านก็เสวยกับเขาอย่างดี ทั้งที่ถ้วยนั้นไม่ค่อยสะอาด ซึ่งผมเห็นถ้วย ผมก็กระซิบให้เสวยนิดหนึ่ง แล้วส่งที่เหลือมาให้ผม แต่ไม่ทรงทำ ทรงแกล้งรับสั่งว่าเหล้านี่ฆ่าเชื้อโรคหมด ถ้าไม่สะอาดก็ไม่เป็นไร แล้วก็เสวยหมดเลย " ท่านภีเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ยังจดจำได้แม่นยำ
มีต่อค่ะ...