[CR] ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยสหรัฐ เม็กฯ เมกากลาง เมกาใต้ อัฟริกา 26 ประเทศ 74 วัน ตอนที่ 60 กรุงบาบาเน่ สวาซีแลนด์

ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตะลุยสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก อเมริกากลาง อเมริกาใต้ และอัฟริกา 26 ประเทศ 74 วัน ตอนที่ 60 กรุงบาบาเน่ สวาซีแลนด์

https://www.youtube.com/watch?v=S0gyrPAiIzk&list=PLNNEpgjidh3o3vU44K5Op2M1w_g3Pg5Jk&index=65


รถออกเวลา 19.30 น. ด้วยความทุลักทุเลสำหรับเรา แต่สำหรับหญิงอัฟริกัน เป็นเรื่องธรรมดา รถตู้สำหรับผู้โดยสาร 11 คน แต่นั่งทั้งหมด 16 คน ที่นั่ง 3 ต้องนั่ง 4 แต่ละคน XXL ยกเว้นผู้ชายที่ถูกหนีบอยู่หลังเรา ที่มีขนาด M เช่นเดียวกับเรา นอกจากรูปร่างที่ใหญ่โตแล้ว แต่ละคน หอบของหนักๆ และเกะกะ บรรยากาศอึดอัด เหมือนจะหายใจไม่ออก รถไม่ได้เปิดแอร์ กระจกแทบจะปิเหมด เราต้องแง้มในส่วนของเรา คนนั่งข้างหน้าต่างติดประตูก็คอยจะปิดช่องระบายอากาศ
รถตู้ทุกคัน มีรถลากติดท้าย บรรทุกกระเป๋าใบใหญ่ สินค้าทางการเกษตร รถลากมีหลายขนาด แล้วแต่ของที่บรรทุก ทุกคันมีเลขทะเบียน
ผู้โดยสารหญิงคุยกันเสียงดัง อากาศก็ร้อน มีหน้าต่างข้างคนขับรถเท่านั้นที่เปิดครึ่งหนึ่ง เราต้องนั่งก้มหน้า เอามืออุดหู เพราะเสียงที่กระทบกระจก สะท้อนกลับ ทำให้เวียนหัว พวกเธอต่างคนต่างมา แต่เวลาคุย เกือบทุกคนมีส่วนร่วม และไม่มีใครยอมใครในเรื่องความดังของเสียง
สาวตัวโตที่ขึ้นหลังสุด ต้องนั่งค้อมหลัง หักขา ระหว่างหญิงพิการสูงวัย กับคนขับ ที่นั่งตรงนั้น ความจริงเป็นที่เก็บของคนขับ แต่เธออยู่ในห้องโดยสารไม่ได้ เพราะไม่มีที่ไว้ขา
คนขับรถประเทศโมซัมบิกทุกคนใจเย็น และพร้อมที่จะจ่ายส่วยทุกที่ที่มีการเรียกเก็บ คนเก็บส่วยก็เหมือนตำรวจทางหลวง หรือ ตำรวจที่อยู่ตามทางแยก หรือ จุดตรวจ ที่คนเดินทางบ่อยๆ อย่างเรามักจะพบในเมืองไทย ที่อาจทำท่ากร่าง ส่งเสียงดังข่มขู่ พอได้แบงค์ หรือ เครื่องดื่มบำรุงกำลังยัดใส่มือ ก็ซ่อนแล้ว ค่อยๆ ผ่อนเสียงลง หรือ บางคนอาจทำท่าทางสุภาพ แต่พูดเรื่องกฎจราจร เพื่อให้คนขับผิดจนได้ หรือทำให้เกิดความรำคาญ จนต้องขจัดปัญหา โดยการยัดเงินใส่มือเพื่อจะได้ไปต่อ
จนท.ทางหลวง ระหว่างมาพูโต-มาซิงง่ะ เป็นแบบนั้น และจนท.ระหว่างมาพูโต-เลบอมโบ ก็เป็นแบบนั้น แม้ก่อนข้ามด่านชายแดนไปยังอัฟริกาใต้ คนขับก็ยังกดแตรหลายครั้ง จนท.วิ่งมาเช็คแฮนด์ รับส่วย 2 คน
เมื่อข้ามด่านชายแดนเข้าเขตอัฟริกาใต้ แม้มีด่านตำรวจถี่ยิบ ทุกด่านเรียกดูพาสปอร์ต แต่ไม่มีการจ่ายส่วย
ดูเหมือนเป็นการปรามคนที่จะทำผิดกฎหมายมากกว่า แต่ก็ทำให้ทั้งคนขับ และผู้โดยสารไม่ต้องหลับกันเลย กำลังจะหลับก็เจอด่าน และควักพาสปอร์ต บางที่ก็สุ่มเรียก ผู้โดยสารลงไปตรวจ คนขับเปิดวิทยุที่จัดรายการด้วยภาษาโปรตุเกส และภาษาถิ่นเสียงดัง ไม่มีการปิด หรือ ลดเสียง จนท. อยากตรวจก็ตรวจไป ไม่เกี่ยวกับคนขับ เพราะตำรวจแอฟริกาใต้ ไม่ยุ่งกับคนขับเลย ดูเหมือนจะรู้จักกันดี
ตั้งแต่ 15.20 - 00.20 น. บนรถตู้ มีหลายบรรยากาศ ระยะทาง ไม่ถึง 200 กม. แต่ลากเวลายาว ตั้งแต่ 19.30 คนขับไปส่งทุกที่ที่ผู้โดยสารบอก แต่เราไม่รู้ว่า จะลงตรงจุดไหนของเนลสปริต รถวนไป วนมา จนเราจำได้ ตอนรถจอดที่หน้าร้านสะดวกซื้อ กลางเมือง มีคนนอนห่มผ้าอยู่หน้าร้านไม่น้อยกว่า 20 คน แต่ละคนไม่น่าจะเป็นคนไร้บ้าน
มีผู้โดยสารสาวคนหนึ่งลงรถ ชายหนุ่มคนหนึ่งมาเสนอขายเสื้อแจ็คเก็ตในราคา 50 รันด์ เขาช่วยหญิงสาวยกของไปวางข้างๆ คนที่นอนอยู่ แสดงว่า เธอก็จะนอนตรงนั้นเหมือนกัน ทำให้รู้ว่า ข้อสันนิษฐานของเราเป็นความจริง คนเหล่านั้นไม่ใช่คนไร้บ้าน แต่เป็นคนที่จะมีกิจกรรมต่อเนื่องในวันถัดไป
ตอนที่คนขับกำลังสาะวน กับการแก้เชือกคลุมของพ่วงหลังรถ ป้าบอกคนขับว่า เราต้องการลงที่ท่ารถที่จะไปสวาซีแลนด์วันพรุ่งนี้เช้า เขาบอกว่า ไม่รู้ภาษาอังกฤษ แต่เข้าใจคำว่า ท่ารถ สวาซีแลนด์ กับ พรุ่งนี้เช้า
เขาเข้าไปที่ท่ารถ มีคนวิ่งมา โบกให้เข้าที่ และถอดรถลาก ที่ว่างแล้ว ออก คนขับถามเรื่องรถที่เราจะไปด่านสวาซีแลนด์ ชายที่รับรถพ่วงพาเราไปหาคนขับรถตู้ที่นอนอยู่ในรถ เขาออกมาคุย พูดภาษาอังกฤษ นัดหมายเวลา บอกว่า รถจะออกตอน 10.00 น. ให้เรามาที่รถเวลา 8.00 น.
เราถามหาโรงแรมราคาถูก คนขับรถที่จะไปสวาซีแลนด์ บอกว่าไม่ถูกหรอก เราถามว่า ราคาเท่าไร คำตอบ คือ 365 รันด์ จ่ายได้ไหม เราบอกว่าได้ ชายที่รับรถให้เราตามเขาไป โดยกลับไปขึ้นรถอีกครั้ง เรางงกับบรรยากาศตอนนั้น เพราะทุกเบาะบนรถมีคนนอนยาว เราขอนั่งไปก่อน พวกเธอกำลังกินส้มกลิ่นหอมชื่นใจ เราเพิ่งรู้ว่า เขามีบริการให้ผู้โดยสารที่รอต่อรถ นอนในรถได้ด้วย ถ้าเรารู้เราก็คงขออาศัยนอนเหมือนกัน
ทางผ่านขึ้น ลง เนิน มีรถตู้จอดบนลานโล่งๆ ก่อนถึงทางลงไปรถตู้ที่เราจะขึ้นพรุ่งนี้เช้า มากกว่า 100 คัน ทุกคันมีคนนอน เราเพิ่งรู้ธรรมเนียมปฏิบัติ ของคนที่นี่
ว่า ถ้าตอนเช้าจะไปต่อ ไม่ต้องหาโรงแรมนอน
เกสต์เฮ้าส์อยู่ห่างจากท่ารถขึ้นเนินไป 3 ไฟแดง เลี้ยวซ้าย ราคา 410 รันด์ เตียงใหญ่ เตียงเดี่ยว มีแอร์ โต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า ผ้าห่มสำรอง น้ำอุ่น สบู่ กระดาษชำระ ผ้าเช็ดตัว ป้าจ่ายทิปคนมาส่ง 40 เป็น 450= 1,215 บาท มีถังน้ำดื่ม เหยือก กับ แก้ว ให้ด้วย แต่ไม่มี wifi กับ อาหารเช้า
วันพุธที่ 17 ส.ค. เราเดินลงเขาไปท่ารถ ผ่านเพิงขายอาหาร เห็นแม่ค้ากำลังบดแป้ง และต้มเนื้อ คนขับรถถามว่า จ่ายค่าโรงแรมไปเท่าไร พอเราบอกราคา เขาพูดติดตลกว่า ถ้าเรามีผ้าห่ม เขาก็จะให้เรานอน และเก็บค่านอนจากเรา พอป้าบอกว่า ผ้าห่มของเราก็มี เขาบอกว่า เสียดายจัง😉😉😉😉
ลุงมาเล่าให้ฟังว่า เขาขายอะไรก็ไม่รู้เห็นเขาปั้นกินเหมือนข้าวเหนียว กินกับกับข้าว ป้าบอกว่านั่นไง คนที่นั่งหน้ารถ กำลังนั่งกินอยู่ เราจึงเดินไปดูกัน เห็นหนุ่มคนหนึ่งซื้อ เป็นแป้งเหมือนข้าว 1 กล่อง เนื้อตุ๋นติดกระดูก 1 กล่อง ราคา 40 รันด์ เราจึงสั่งบ้าง และขอถ่ายวิดีโอ แม่ค้าดีใจ ที่จะได้ถ่ายวิดีโอ ตอนจ่ายตังค์ เธอขอดูรูปที่ถ่าย พอเห็นวิดีโอของตัวเอง เธอหัวเราะชอบใจ จับมือแล้ว จับมืออีก
ที่เราเห็นเขาปั้นกินเหมือนข้าวเหนียว มัน คือ แป้งที่ทำจากมันสำปะหลังนั่นเอง เขาเอามันสำปะหลังไปปอก ฝานแช่น้ำ แล้วเอามาตำ หลังจากนั้นก็เอาใส่หม้อตั้งบนเตาไฟที่ใช้ฟืนกวนไป เติมน้ำไปจนฟู ขาวขึ้นมาเต็มหม้อ เมื่อสุกได้ที่ก็ยกลง กินแทนข้าว เพราะข้าวหายาก และราคาแพง พวกเขา และเธอกินจุมาก เราซื้อมากล่องเดียวกิน 2 คนไม่หมด แต่พวกเขาและเธอกินคนเดียวก็หมด ในหนึ่งมื้อ
เวลา 10.00 น. แล้ว คนยังไม่เต็ม รถยังไม่ออก เห็นป้ายบอกค่ารถ Nelspruit-Maputo 150 รันด์ เราจึงรู้ว่า สิ่งที่เราเดาว่า ที่มาพูโตเราจ่ายค่ารถแพงที่สุด เป็นความจริง ตอนแรกเขาจะเก็บเราคนละ 250 พอป้าพูดเรื่องจ่ายไปแล้ว คนละ 100 เขาบอกว่า เป็นค่ารถจาก Massinga-Maputo คุยไปคุยมา เหลือ 200 ซึ่งก็ยังสูงกว่าคนอื่นอยู่ดี ตอนที่ป้าเห็นคนอื่นจ่าย แล้วได้เงินทอน ก็สงสัยตั้งแต่แรกแล้ว
เช้านี้ไม่รู้เขาจะเก็บเราเท่าไร เพราะถ้าไป Mbabane คนละ 150 รันด์ แต่เราจะไปแค่ชายแดน เพราะกลัวเหตุการณ์ แบบวันก่อน จะทำให้เราตกเครื่องบิน ...คนเก็บเงินมาเก็บเงิน คนละ 150 รันต์ เมื่อป้าบอกว่า เราไม่ได้ข้ามแดน เขาบอกว่า มันเป็นรถข้ามแดน อย่างไรเขาก็ต้องจ่ายค่าผ่านแดน ดังนั้น ทุกคนจะต้องจ่ายเท่ากัน
ทางไปด่าน Oshoek ยังเป็นสวนส้ม และป่าสน แต่พอวิ่งออกไปจาก Nelspruit กลายเป็นภูเขาหิน แห้งแล้ง แต่ไม่ใช่เป็นหินที่เหมือนทางภาคใต้ มีทุ่งเลี้ยงวัว และที่ดินว่างเปล่า แต่มีป้ายบอกว่า สำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้ง
พอเห็นป้ายบอกทางว่าอีก 100 กม. ถึง Mbabane ป้าถามสาวที่นั่งข้างหลัง ว่า จากด่านไปถึง Mbabane ไกลแค่ไหน เธอตอบว่า ราว 45 นาที เรารู้สึกว่า มีลุ้นจึงถามคนขับรถว่า ค่าวีซ่า เข้าสวาซีแลนด์ คนละเท่าไร เขาบอกว่า ไม่รู้
ป้าจึงถามต่อว่า จากด่านถึงตัวเมืองกี่กม. เขาบอกว่า 27-28 กม. ชายชาวสวาซีแลนด์ที่นั่งข้างเขาก็บอกว่า ราวนั้นแหละ ป้าจึงถามเขาว่า ถ้าค่าวีซ่าไม่แพง เราจะลองขอดู เขาจะรอเราได้ไหม เขาบอกว่า ได้ เขาจะถามให้
พอถึงด่าน เราแบกของลง แต่แวะเข้าห้องน้ำก่อน หน้าห้องนำหญิงทุกด่านชายแดนของอัฟริกาใต้ มีกระดาษชำระ ที่สาวจากม้วน พันหลวมๆ ไว้ในกล่องกระดาษที่เปิดฝา เพื่อบริการคนเข้าห้องน้ำ การประทับออกทุกด่าน ผ่านง่ายดาย
ที่ด่านสวาซีแลนด์ เราคิดว่า จะทำเอง ทั้งหมด แต่จนท.ให้เราเข้าไปในห้อง พูดภาษาอังกฤษ ปน ภาษาพื้นเมือง จับใจความได้ว่า เราต้องจ่ายคนละ 80 รันด์ แต่ต้องไปที่สำนักงานใหญ่
เขากรอกชื่อในแบบฟอร์ม 2 ใบ ป้าบอกว่า จะช่วยกรอก เขาบอกไม่ต้อง เขาหยิบพาสปอร์ตไป แต่วางแบบฟอร์มไว้บนโต๊ะแล้วคนขับรถเอาพาสปอร์ตของเราไป ป้าจะตามไปจ่ายเงิน เขาบอกไม่ต้อง แล้วก็พาเราเดินไปที่รถ
คนในรถก็ลุ้นกัน สาวหนึ่งย้ายไปนั่งที่เรา พอเธอเห็นเรา เธอขยับจะย้ายกลับ แต่ป้าบอกว่า ไม่เป็นไร ให้ลุง นั่งกับเธอ ส่วนป้า นั่งที่เดิมของเธอ
แล้วป้าก็เปิดหา ตราประทับเข้าสวาซีแลนด์ หาไม่เจอ สาวคนนั้นอาสาช่วยหา แต่ก็หาไม่เจอ ให้คนขับรถ กับ ชายสวาซีแลนด์ ก็หาไม่เจอ ในที่สุด คนขับรถบอกว่า เขาจะพาเราไปยื่นเรื่องประทับตราที่สนง.ใหญ่
สาวคนนั้นเป็นชาวสวาซีแลนด์ ทำงานที่อัฟริกาใต้ กลับไปเยี่ยมบ้าน เธอชื่อ Precious เพราะเป็นหลานสาวคนเดียวของตระกูล เธอน่ารักมาก บอกเราว่า เดี๋ยวรถจะไปส่งเราที่สนง.ใหญ่ มันเป็นทางผ่านไปบ้านเธอ เธอบอกว่า ได้ใบผ่านแดน เดินเที่ยวแล้ว ให้กลับไปที่ท่ารถที่รถจอดเมื่อครู่
รถจอดให้เราลง ใช้เวลา 20 นาที ในการทำวีซ่าด่วน จ่ายคนละ 80 รันด์ ได้ทอนเป็นเงินสวาซีแลนด์ อัตราเท่ากัน จนท. น่ารัก นั่งอยู่ในห้องทำงานที่อุดอู้ พวกเธอดีใจที่เราถามหาสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศ แต่เป็นข้อมูลครึ่งเดียว เพราะเราคิดว่า เดินไปได้ แต่ไม่ใช่ มันอยู่ห่างออกไป 15 กม.
พวกเธอถามว่า เรากินอาหารอะไรกัน จึงดูหนุ่มสาว เราบอกว่า เรากินผัก ผลไม้ และปลา แล้วก็นำเสนอผลไม้บ้านเรา คนหนึ่งถามว่า เราไม่กินไขมัน หรือ ป้าบอกว่า ปกติเราไม่ชอบไขมัน คุยกำลังออกรส วีซ่า ก็มา พวกเธอบอกว่า คราวนี้ก็ไปเที่ยวได้สบายใจ เขาให้เวลาเที่ยว 30 วัน



เราบอกลาจนท. ทั้งชายและหญิง แล้วเดินออกประตู เลี้ยซ้ายขึ้นเขา มองหาว่า พระราชวัง Ezulwini กับตลาด สวนสาธารณะที่เป็นศูนย์ หัตถกรรม ชื่อ CODEC กับ ที่ทำการรัฐบาล ไปทางไหน บังเอิญเจอหนุ่มจนท.การท่องเที่ยว เขาบอกให้เราไปขึ้นรถประจำทาง ที่ท่ารถ คนละ 10 รันด์ หรือ 10 เลโลนี
ดูเวลา 15.00 น. เรากลัวว่า จะมีปัญหาตอนกลับ จึงเดินเที่ยวย่านธุรกิจ ซึ่งมีอยู่แค่กระจุกเดียว แต่ดูสะอาด ผู้คนแตกค่างจากโมซัมบิก มาก ดูมีวัฒนธรรม ทั้งการแต่งกาย ความสะอาด และการพูดจา ไม่เห็นร่องรอยของคนไร้บ้าน นอกจากวัยรุ่นกับพวกหนุ่มๆ ที่ท่ารถ
ค่ารถจากรถกรุงบาบาเน่ สวาซีแลนด์ ถึง กรุงโจฮันเนสเบิร์ก อัฟริกาใต้ คนละ 220 รันด์
รถออกเวลา 16.30 น. คนขับใจเย็นเหมือนกับคนขับรถทุกคนในอัฟริกา แต่ตอนถนนว่าง ขาก็เร่งเต็มที่ รถพ่วงท้ายวันนี้ คันเล็กและมีฝาปิดมิดชิด ทำให้การวิ่งคล่องตัว ป้าสงสัยว่า เพราะเข้าเมืองหลวงรึเปล่า จึงต้องปิดมิดชิด ลุงบอกว่า มาพูโต ก็เป็นเมืองหลวงเหมือนกัน
การผ่านด่านทั้งตอนออก และตอนเข้า ไม่มีปัญหา เพราะเป็นอัฟริกาใต้ มีผู้โดยสารแค่ 5 คน แต่พอใกล้เมืองหลวงก็ได้ผู้โดยสารเต็มรถ
ชื่อสินค้า:   บาบาเน่ สวาซีแลนด์
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่