เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ควรทำอย่างไร

เรื่องเล่าจากคนข้างบ้านมาปรึกษาค่ะ
ผู้ต้องหาได้ว่าจ้างและแต่งตั้งทนายความ ว่าความในคดีแพ่งโดยที่ผู้ต้องหา เป็นโจทก์แต่ไม่สามารถบังคับคดีกับผู้เป็นจำเลยได้ ขณะนั้นผู้ต้องหาไม่มีรายได้เพื่อใช้ในการดำรงชีพ ประกอบกับเป็นเสาหลักในการเลี้ยงดูครอบครัว ทนายความจึงเสนอว่ามีนายทุน ปล่อยกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ3 ต่อเดือนและมีค่าธรรมเนียมซึ่งเรียกว่าเงินปากถุงอีกร้อยละ 10 สัญญาต้องต่อกันทุก 6 เดือนโดยการ มีการหักดอกเบี้ยล่วงหน้ารวมกับเงินปากถุงไว้ก่อนและมีเงื่อนไขว่าต้องใช้เช็คค้ำประกันสัญญาเงินกู้เท่านั้น นายทุนจึงจะยอมให้กู้

ผู้ต้องหาตกลงทำสัญญาเงินกู้ตามที่ทนายความเสนอ และได้สอบถามว่าถ้าไม่มีเงินต้นคืนจะทำอย่างไร ทนายความได้แจ้งกับผู้ต้องหาและผู้ค้ำประกันว่าหาเงินมาต่อดอกและทำสัญญาใหม่ส่วนเช็คที่เขียนไว้ไม่ได้เอาไปขึ้นเงินจริง แค่นำมาค้ำประกันไว้ไม่มีผลใด ๆ ทางกฏหมาย ไม่ต้องกังวล สบายใจได้

ดังนั้นผู้ต้องหาจึงได้ออกเช็คค้ำประกันสัญญาเงินกู้ของตนเองไว้ โดยที่เขียนรายละเอียดในเช็ค ตามที่ทนายความเป็นคนบอกให้กรอกลงไปเพราะผู้ต้องหาไม่เคยมีบัญชีกระแสรายวัน และไม่เคยใช้เช็คทำธุรกรรมใด ๆ เลย ซึ่งตลอดเวลาได้มีการชำระดอกเบี้ย โดยผ่านทนายความมาโดยตลอด เพราะผู้ต้องหาไม่เคยพบหรือ รู้จักกับผู้ให้กู้เงินเลย การทำสัญญาจะมีทนายความเป็นผู้ทำเอกสารและจะทำการโอนเงินให้หลังจากได้ทำสัญญาพร้อมกับเขียนเช็คค้ำประกันไว้เรียบร้อยแล้ว

จนมาถึงช่วงระยะเวลาหนึ่งผู้ต้องหาประสบภาวะเศรษฐกิจไม่สามารถส่งดอกเบี้ยให้ได้ อีกทั้งผู้ต้องหาเป็นเสาหลักในการเลี้ยงดูครอบครัว จึงทำการเจรจาขอคืนเงินต้นเป็นบางส่วน โดนคิดดอกเบี้ยแบบลดต้น ลดดอก แต่ทนายความผู้ทำสัญญาแจ้งว่าไม่สามารถคืนเงินต้นเป็นบางส่วนได้ หากจะคืนต้องคืนทั้งหมดถ้าชำระเป็นบางส่วนผมขี้เกียจทำบัญชีมันยุ่งยากและถ้าไม่อยากมีปัญหาก็มาจ่ายดอกเบี้ยแล้วต่อสัญญาเสียดีกว่า

ต่อมาไม่นานก็มีหมายเรียกจากตำรวจมาที่บ้านและหลังจากที่ผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวน  ซึ่งในตอนนั้นผู้ต้องหาป่วยจึงแจ้งต่อเจ้าพนักงานสอบสวนแต่พนักงานสอบสวนแนะนำให้ใครมารับทราบข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนก็ได้ จึงให้มารดาไปดำเนินการแทนโดยมารดาได้เจรจากับผู้เสียหายเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายเรียบร้อยแล้วต่อหน้าพนักงานสอบสวน โดยระหว่างที่ตกลงกันก็ได้มีการจ่ายค่าเสียหายตามข้อตกลงมาโดยตลอด

หลังจากนั้นมีหมายเรียกฉบับที่2 มามารดาจึงติดต่อหาพนักงานสอบสวนแล้วแจ้งว่าตกลงกับผู้เสียหายแล้วต้องดำเนินการอย่างไร พนักงานสอบสวนจึงแจ้งว่าตกลงกันแล้วก็ไม่ต้องมาพบหรอก ผู้ต้องหาจึงไม่ได้ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกดังกล่าว และหลังจากนั้นอีก 3 วันขณะที่ผู้ต้องหาเดินทางกลับจากโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนนครปฐม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 เวลา 18.30 น.เพื่อจะเข้าบ้านก็มี เจ้าหน้าที่ตำรวจ นำหมายจับมาจับผู้ต้อง โดยผู้ต้องหายังไม่ทราบสาเหตุของการจับกลุ่มแต่อย่างใด

ในระหว่างที่ถูกจับกุมผู้ต้องหาได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าต้องทำอย่างไรบ้างเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จ้างกับผู้ต้องหาว่าให้เตรียมหลักทรัพย์มาประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนเป็นจำนวน 1 ใน 3 ของมูลหนี้ ก็คงไม่เกิน 70,000 บาทเดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน

แต่หลังจากทำบันทึกจับกุมเสร็จเรียบร้อยแล้วผู้ต้องหาไม่สามารถขอประกันตัวได้เนื่องจากไม่มีบุคคลที่สามารถอนุญาตให้ประกันตัวได้ในขณะนั้น แต่ผู้ต้องหาก็ได้ยืนยันต่อพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติราชการขณะนั้นว่าขอใช้สิทธิ์ประกันตัว แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่ทราบมูลหนี้ในสำนวนไม่สามารถให้ประกันตัวได้ ผู้ต้องหาจึงแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่ามีเด็กอายุ 3 ขวบมาด้วย ขอประกันตัวได้หรือไม่ เพราะไม่มีใครดูให้ หลังจากนั้น เวลาประมาณ 5 ทุ่มก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินมาแจ้งว่าโดยปกติไม่มีนโยบายให้ประกันตัวผู้ต้องหา แต่ถ้าอยากประกันให้เอาเงินสดจำนวน 140,000 บาทมาใช้เป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัวเท่านั้น

และในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวนั้น มารดา ของผู้ต้องหากำลังเดินทางมารับเด็กที่หลับอยู่บนตัก โดยผู้ต้องหาขอความกรุณาว่าขอเวลาให้มารดาเดินทางมาถึงโรงพักก่อนค่อยเข้าห้องขังได้ไหม เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่าดึกแล้วผมต้องการพักผ่อนคนจะหลับจะนอน ถ้าไม่มีใครดูก็เอาไปเลี้ยงในห้องขังแล้วกัน

ต่อมาในเวลาประมาณ ตี 1 เศษ  ผู้ต้องหาเกิดอาการเจ็บป่วยญาติจึงโทรเรียกรถพยาบาลมาที่ สถานีตำรวจ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่รถพยาบาลกลับไปพร้อมกับพูดขึ้นว่าตำรวจที่นี่ไม่ได้มีมากพอที่จะมานั่งเฝ้าหรือพาผู้ต้องหาไปรักษาพยาบาล เจ็บป่วยแค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกถ้าไม่ได้เป็นลมล้มชักตรงนี้ เป็นผู้ต้องหาก็ต้องทนต่อไปไม่ คุณต้องยอมรับสภาพด้วย

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ต้องหาต้องอยู่ในห้องขังเป็นเวลา 1 คืน การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้ต้องหาได้รับความเสียหาย เนื่องจากผู้ต้องหาได้ดำเนินกิจการธุรกิจเกี่ยวกับรีสอร์ทอีกทั้งยังเป็นอาจารย์พิเศษ มีลูกศิษย์นับหน้าถือตา และเป็นที่เชื่อถือในวงสังคม เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เสียเครดิตคือขาดความเชื่อถือไปโดยปริยายเนื่องจากผู้ต้องหามีความสามารถที่จะชำระหนี้ให้แก่ผู้เสียหายได้ตลอดเวลา และได้มีการเจรจากันเรียบร้อย และผู้เสียหายก็ได้รับชำระหนี้เรียบร้อยแล้วไปในบางส่วนแต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่เหมือนโดนพนักงานสอบสวนหลอกว่าไม่ต้องมา หากได้รับแจ้งว่าให้มาพบพนักงานสอบสวน ผู้ต้องหาก็ต้องมาพบอย่างแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่