ด้วยค่านิยมและคำถามที่ได้ยินอยู่เสมอๆว่ารถเก๋งเครื่องเบนซิน 1.2 1.3 ขึ้นดอยไหวเหรอ? ไม่ไหวหรอกกกกกกกกก (ลาก ก ไก่ยาวๆ)
ถ้าจะขึ้นดอยน่ะ รถกระบะดีเซลดีกว่า เครื่องดีเซลแรงบิดดีกว่า ฯลฯ หรือจะเหตุผลไหนก็ช่าง
ผมไม่เชื่อมาตั้งแต่แรก ลองมาวิเคราะห์กลับนะ วิเคราะห์แบบคนไม่ได้รู้อะไรเป๊ะนะครับ ถ้าผิดพลาดอะไรก็ขออภัยและช่วยเสริมด้วยก็ได้ครับ
ค่านิยมนี้น่าจะเริ่มประมาณหลายสิบปีก่อน ที่รถเก๋งยังไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ สมมติว่า 25 ปีก่อนก็ได้ สมัยนั้นรถบ้านยังไม่รู้จักวาวล์แปรผันกัน
25 ปีก่อน? รถเก๋งป้ายแดงในตอนนั้นก็พวก Corolla AE101 Lancer E-Car Civic EG รถกระบะก็ไม่พ้น Mighty-X Isuzu TFR
ผมก็ลองคิดตามนะ เออ Mighty-X ตอนนั้น เครื่อง 2.5 แรงบิดก็แค่ 150 กว่านิวตันเมตร มันก็เยอะกว่า Honda City สมัยนี้นิดนึง หรือเอาตัวท็อปสุดเครื่อง 2.8 มาเลยก็ได้ แรงบิดมี 170 กว่านิวตันเมตร ก็พอๆกับ Civic FD 1.8 สมัยนี้เอง หรือพวก TFR 2.5 ก็เครื่อง 4JA1 แรงบิดก็ประมาณๆนี้ (ผมหาข้อมูลตัว Rodeo ไม่เจอ)
แต่รถพวกนี้แรงบิดมารอบต่ำ ประมาณ 2000 รอบก็มาแล้ว และนั่นทำให้การขึ้นดอยขึ้นเนินดูเหมือนไม่ลำบากนัก เพราะไม่จำเป็นต้องใช้รอบสูง (ก็รอบสูงไม่มีแรงส่งแล้วไง)
ในขณะที่รถเก๋งอย่างสามห่วง 1.3 มี 88 แรงม้า แรงบิดน่าจะ 110 นิวตันเมตร หรือต่อให้ตัว 1.6 มี 105-110-115 แรงม้า(พูดไม่ตรงกันซักที่ผมก็ไม่ชัวร์ว่ามันมีเท่าไหร่แน่) แรงบิด 145-150 นิวตันเมตร หรือพวก Civic EG ตอนนั้นใช้เครื่อง 1.5 คาร์บู แรงม้าแถวๆ 91 แรงบิดน่าจะ 115 นิวตันเมตร จะถูกค่อนขอดทันทีว่าขึ้นไม่ไหวแน่นอน ไม่ไหวในนี้หมายความว่าไหลตกดอยไปเลยนะ แต่ลองเช็คตัวเลขแรงบิดสามห่วง 1.6 กับ Mighty-X 2.5 ดีๆ มันไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้นเลย และเช็คน้ำหนักรถด้วย สามห่วงเบากว่าอีกต่างหาก
หรือถ้าจะเอาสามห่วง 1.3 มาวัด แรงบิด 110 Nm นี่ก็ช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน ถ้านึกไม่ออกว่าขนาดไหน ก็เท่า Eco-car สมัยนี้อะครับ น้อยกว่าด้วยซ้ำเพราะ Brio ก็ปาไป 120 Nm แล้ว มันน้อยกว่ารถกระบะสมัยนั้นก็จริง แต่ว่าต้องไม่ลืมว่ามันน้ำหนักเบากว่าด้วย การที่แรงบิดสามห่วง 1.3 น้อยกว่า Mighty-X 2.5 ไป 40 กว่านิวตันเมตร มันจะทำให้ไต่เนินไม่ได้เลยเหรอ โอเคถ้าคิดเป็น % ถือว่าเยอะพอสมควรแต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นไม่ได้โดยสิ้นเชิงไง ในความจริงมันอยู่ในระดับ 'ลากสังขารตัวเองขึ้น' ก็คือถ้าเนินชันมากๆก็เหนื่อย ถ้าเนินปกติก็ไปเรื่อยๆแบบแซงใครไม่ได้ สรุปคือขึ้นได้แต่ช้านั่นเอง
และอีกอย่าง รถเบนซินแรงบิดมันมารอบปลายๆ ประมาณ 4000 รอบ และรถยุคนั้นยังไม่รู้จักคำว่าวาวล์แปรผันกันเท่าไหร่
วาวล์แปรผันคือการที่ไปปรับระยะการยกวาวล์หรือเวลาการยกวาวล์หรืออะไรก็แล้วแต่ตามเทคโนโลยีค่ายนั้น ผมก็จำรายละเอียดเเบบเป๊ะๆไม่ได้ แต่ผลคืออากาศที่เข้าไปเผาไหม้ในห้องเครื่องจะมีปริมาณที่พอดีในทุกรอบเครือ่งยนต์ จะไม่มีมากไปน้อยไป
เพราะฉะนั้น รถเก๋งยุคเก่าที่ไม่มีระบบนี้กัน จังหวะและระยะการยกวาวล์จะเท่ากันทุกรอบเครื่อง ทำให้ในรอบต่ำอากาศมันเข้ามากเกินความจำเป็น
ผลก็คือรถจะดูไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นเพราะแรงบิดสูงสุดมันอยู่ที่รอบ 4000 ไง อากาศจะเข้าไปอย่างเหมาะสมตอนนั้น
อีช่วง 1000-3000 รอบรถมันก็จะดูเนือยๆ อืดๆ แต่ในขณะเดียวกันช่วงรอบนี้รถกระบะกลับดีดมากๆ
ทีนี้คนเขาเลยเข้าใจกันไปว่ารถกระบะมันขึ้นง่ายกว่า แต่ไม่ได้สนใจเลยว่ารถเก๋งบางรุ่นแรงบิดไม่ต่างกันมากเลย แค่การเรียกแรงบิดสูงสุดมันดันต้องใช้รอบสูง คนเลยคิดว่ารถเก๋งขึ้นดอยอืด
แบบว่า เฮ้ย รถเก๋งเบนซินชั้นต้องสับเกียร์ 1 คารอบเครื่องไว้ที่ 4000 ถึงจะขึ้นได้ แต่รถกระบะดีเซลมันเหยียบแค่ 2000 รอบเอง ก็รถพวกนั้นมันมีแรงบิดแรงถีบสูงสุดอยู่ตรงนั้นนี่คุณณณณณณ
และที่มันพีคกว่านั้น คุณๆน่าจะรู้มาว่าดอยอินทนนท์กับดอยสุเทพมีรถสองแถวให้เช่าถ้าคุณไม่กล้าขับรถขึ้นไปเอง
แล้วสองแถวพวกนั้นเป็นใคร? บางคันก็เป็น Vigo Revo D-Max ซึ่งอันนั้นผมไม่ห่วง มันขึ้นดอยได้สบายมาก แต่บางส่วนยังเป็น Hilux Tiger Mighty-X TFR หรือพวก Dragon-Eyes อยู่!!! ประเด็นคือเป็นรุ่นเครื่อง 2.5 ด้วย ไอ้พวกนี้แรงบิดมันไม่เกิน 200 นิวตันเมตรหรอกครับ พอกับพวก Altis 1.8 Civic 1.8 หรือว่ากันง่ายๆเท่ากับรถเก๋งขนาดกลางยุคนี้นั่นแหละ ฉะนั้นคงไม่มีใครกลัวว่า Altis ขึ้นดอยไหวมั้ย ถ้าสองแถวพวกนี้ขึ้นได้มันก็ขึ้นได้หมดแหละครับ
ทีนี้ความกังวลเลยมาลงกับพวก Vios City Mazda2 เครื่อง 1.5 ลิตรแทน บางทีเห็นตัวเลขแรงบิด 140-145 นิวตันเมตรแล้วมันน่ารักซะจนไม่กล้าเอาขึ้นดอยเลย คุณณณณณ Mighty-X 2.5 สองแถวหลายๆคันก็แรงบิดเท่านี้ แถมตอนขึ้นแบกน้ำหนักผู้โดยสารอีกตั้งกี่คน เค้ายังขึ้นได้ พวก Vios ก็ต้องสบายมากอยู่แล้ว
และก็มาถึงรถที่เป็นคำถามมากที่สุด คำถามที่มีทุกปีว่า Eco-car ขึ้นดอยอย่างดอยอินทนนท์ ดอยสุเทพไหวมั้ย ผมขอเอาสองดอยนี้เป็นเณฑ์เพราะผมขึ้นมาหมดแล้ว(ถ้าดอยอื่นอาจจะชันและอันตรายกว่านี้ก็พิจารณากันตามเหมาะสมนะครับ) ผมตอบก่อนว่าไหวแน่นอน เอาหัวเป็นประกัน Eco-car เครื่องเบนซิน 1.2 ลิตรก็จริง แรงม้าอยู่ระหว่าง 79-90 แรงม้า แรงบิดแถวๆ 110-120Nm ถ้าเทียบแล้วคงไม่ต่างจาก Corolla สามห่วง 1.3 ที่ผมเพิ่งยกตัวอย่างไป
แต่ว่าต้องไม่ลืมว่ารถยุคใหม่เด๋ยวนี้มีระบบวาวล์แปรผันกันแล้ว บางรุ่นแปรผันได้ทั้งวาวล์ไอดีวาลว์ไอเสียแต่บางรุ่นก็แปรแค่วาวล์ไอดี และ ECU เครื่องยนต์สมัยนี้ฉลาดจะตาย ตัวหลักคือไอ้พวกนี้แหละครับ การมีวาวล์แปรผันและ ECU ที่ฉลาดทำให้เครื่องยนต์ได้รับอากาศเท่าที่จำเป็นและมีส่วนผสมเชื้อเพลิงที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เอาง่ายๆคือสร้างพละกำลังได้อย่างเหมาะสมดี ในขณะที่รถเก๋งรุ่นเก่าๆจะไม่ฉลาดเท่า
Eco-car เกียร์ธรรมดาไม่มีอะไรน่าห่วงเลย แต่รุ่นเกียร์ออโต้ CVT ที่บางคนก็เปรียบว่ามันเหมือน Honda Click จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ หลัการทำงานมันคล้ายๆกันเลย แต่เกียร์ CVT นี่แหละคือเกียร์ที่เหมาะกับการชึ้นเขามากๆ เพราะมันสามารถแปรผันอัตราทดได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนเกียร์อัตโนมัติทั่วไปที่จะล็อกไว้ตายตัวเป็นจังหวะๆ
อัตราทดเกียร์ที่ต่อเนื่องก็เป็นอีกเหตุผลที่สำคัญ ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ทั่วไปที่อัตราทดตายตัว มันก็จะตายตัวแบบนั้น แต่ CVT จะปรับอัตราทดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ มันไม่มีจังหวะล็อกตายตัวแต่มันก็ Flex ยืดๆหดๆของมันไปตามเรื่องได้ ซึ่งมันเหมาะกับการขึ้นเนินเพราะเนินแต่ละเนินมีความชันไม่เท่ากัน ต้องการแรงส่งที่ต่างกัน เกียร์ CVT จะเลือกแรงส่งที่เหมาะสมที่สุดให้เอง แต่คุณก็ต้องกดคันเร่งเพิ่มด้วยนะไม่งั้นเกียร์มันก็ไม่รู้หรอกว่าคุณต้องการแรงส่งเพิ่ม
ถึงตรงนี้ลองคิดเทียบกันดู ขนาดรถเก๋งรุ่นเก่าๆที่เครื่องเกียร์อะไรไม่ฉลาดเท่าไหร่มันยังลากสังขารขึ้นไปได้ รถกระบะแก่ๆ แรงบิดก็ไม่ได้สูงมากมายก็ไปได้ Eco-car ทั้งหลายก็ไปได้หมดแหละครับ ถ้าถนนเป็นถนนลาดยางนะ
แต่ทีนี้ประเด็นอยู่ที่น้ำหนักแจะจำนวนผู้โดยสารด้วย ถ้าเป็นพวก Eco-car แล้วนั่ง 4 คนพร้อมสัมภาระ โหลด(ภาระที่เครื่องยนต์ต้องฉุดลาก) ก็จะเยอะ แต่ขณะที่รถเก๋งขนาดกลางอย่าง Altis ถาเทียบว่านั่ง 4 คน พร้อมสัมภาระ น้ำหนักทั้งหมดเท่ากัน รถพวกนี้ก็จะขึ้นไวกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า เพราะแรงบิดมีเยอะกว่า แรงบิดคือแรงอะไร?ก็ลองจินตนาการเวลาเราลากของอะครับ ถ้าของน้ำหนักเท่ากัน แรงเยอะกว่าก็ลากไปง่ายกว่า นั่นแหละ
ผมมาตั้งกระทู้นี้ไม่ได้จะมาบ่นมาด่าหรือมาสบประมาทใดๆ แค่อยากจะบอกมุมมองของผมก็เท่านั้น และเป็นการตอบคำถามยอดฮิตด้วย เผื่อบางทีหลายๆท่านมีรถเก๋งพวก Yaris Swift อยู่และเกิดอยากจะไปเที่ยวดอยเที่ยวอะไรขึ้นมาแล้วสงสัยว่ารถตัวเองจะขึ้นไหวมั้ย ยืนยันว่ามันไหวครับ แต่นั่นหมายความว่าคุณไม่มีผุ้โดยสารมากเกินไปนะ ถ้านั่ง 4-5 คนก็ขึ้นได้แต่เหนื่อยมากเพราะรถต้องเค้นแรงเยอะ คือเค้นสุดตลอดเส้นทางแน่นอน มันจะขึ้นได้แต่ว่าแซงใครไม่ได้เลย ต้องหลบซ้ายขึ้นไปเรื่อยๆชิวๆ 55555
ปัญหาคือการไปเที่ยวในช่วงเทศกาล มันอันตรายตรงที่สมมติขึ้นไปด้วยกันทีละหลายๆคัน แล้วคันข้างหน้าเบรก เราก็ต้องเบรกตาม และถ้าทางชันมากหน่อยรถอาจจะ 'เบรกไม่อยู่' ขึ้นมา ในกรณีนี้รถเก่ามากๆที่นั่งอัดกันไปเยอะๆ อาจจะไม่เหมาะซะทีเดียวเพราะระบบเบรกมันไม่ได้ดีเท่ารถใหม่กว่า มันอาจจะไม่สามารถยึดเหนี่ยวรถที่หนักบนทางชันได้ดีขนาดนั้น อันนี้แหละที่ควรกังวล(แต่ส่วนมากรถเดี๋ยวนี้ขั้นต่ำก็ดิสก์เบรกหน้ากันหมด เอาอยู่หมดถ้าไม่ได้นั่งเกิน 4-5 คน)
กับอีกอย่างคือรุ่นเกียร์ธรรมดา ถ้าเจอสถานการณ์แบบเดียวกับข้างบน เบรกว่ายากแล้วการเร่งขึ้นไปต่อมันยากกว่า ถ้าคนขับไม่มีประสบการณ์จริง กว่าจะเลี้ยงคลัตช์เลี้ยงคันเร่งจนรถขึ้นได้รถก็ไหลลงและอาจจะชนคันหลังก่อนก็ได้ รถเกียร์ธรรมดาถ้าสมมติมีคนเยอะๆ แล้วต้องเร่งขึ้นเนินจากหยุดนิ่ง(คือเบรกจนรถนิ่งแล้วขึ้นต่อ) ควรดึงเบรกมือค้างไว้ ตอนจะออกก็เหยียบคันเร่งรอไว้มากๆแต่ไม่ต้องถึงกับมิดด้าม แล้วค่อยๆเอาเท้าออกจากคลัตช์ ถ้ารถเริ่มขยับขึ้นไปได้ก็ค่อยๆปลดเบรกมือลงจนสุดแล้วก็ถอนคลัตช์ออกพร้อมๆกัน และควรเหยียบคันเร่งเพิ่มด้วย บางทีถ้าปล่อยคลัตช์ไปแล้วแรงมันยังไม่พอมันอาจจะดับอีกได้ รถแต่ละคันก็จะมีระยะคลัตช์ต่างกัน ถ้าไม่คุ้นชินกับรถคันนั้นก็อย่าขับขึ้นเนินดีกว่า
ปัญหาที่สำคัญก็คือตอนขับลงด้วย ถ้าทางชันมากๆ ควรใส่เกียร์ 3 2 หรือชันจริงๆก็ 1 ลง ลักษณะการใช้เกียร์ต่ำหน่วงความเร็วเวลาลงเนินแบบนี้เรียก engine brake และในรายเกียร์ธรรมดาต้องระวัง ห้ามเหยียบคลัตช์แช่เด็ดขาด และในรายรถดีเซล ห้ามดีดคลัตช์เวลาเปลี่ยนเกียร์ลงด้วย ไม่งั้นรถจะปัดและจะหมุนเอา และผมแนะนำว่าคนที่ไม่ชำนาญจริง ไม่ควรเอารถกระบะดีเซลเกียร์ธรรมดาขึ้นดอยเด็ดขาด โอเคที่ว่ารถมันแรงส่งเยอะ ขึ้นได้ง่าย มันขึ้นง่ายแต่ขาลงนี่แหละยาก เพราะถ้าเปลี่ยนเกียร์ไม่ดีรถมันท้ายปัดง่าย และกระบะส่วนมากยังไม่มีระบบควบคุมการทรงตัว ก็คงนึกภาพออกนะครับ
ในรายเกียร์ CVT ไม่มีอัตราทด ไม่สามารถเลือกจังหวะได้ ตอนลงจะเป็นปัญหาเพราะใช้ Engine brake หน่วงรถไม่ได้ ก็ต้องใส่เกียร์ L หรือถ้าบางคันมีโหมด sport อย่าง march/almera ก็กดโหมดสปอร์ตที่เกียร์ด้วย เพื่อที่จะใช้เกียร์ช่วยหน่วงความเร็วรถไม่ให้เพิ่มจนเร็วเกินไป
----------------------------------------------------------
เหตุผลที่ผมมั่นใจนักหนาว่ารถเก๋งเบนซินเครื่องเล็กๆ มันจะขึ้นดอยได้ เพราะเมื่อปีก่อนผมเพิ่งเอาไอ้ตัวนี้ขึ้นดอยอินทนนท์มา และมันไปไหว ถึงแม้ช่วงท้ายๆต้องลากเกียร์ 1 ขึ้นยาวพอสมควรก็เถอะ
และเมื่อวันก่อนผมเพิ่งไปมาอีกรอบ รถคันเดิมเพิ่มเติมคือผู้โดยสาร 3 คน น้ำหนักแต่ละคนก็ประมาณผู้หญิงทั่วไปไม่อ้วนไม่ผอม น่าจะคนละ 50 kg รวมตัวผม 62-63 ก็เท่ากับว่าน้ำหนัก 212-213 kg รถคันนี้ก็ยังขึ้นไหวครับ ไม่มีรูปแต่มันไหวจริงไม่งั้นผมไม่มาอยู่ตรงนี้ได้หรอก 555555 แต่ก็เหนื่อยมากแหละนะกว่าจะขึ้นไปได้ ก็ต้องทำใจ
ก็หวังว่าทั้งหมดนี่จะช่วยตอบคำถามหลายๆคนได้ และถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมก็ขออภัยด้วยนะครับ เพราะรู้สึกว่าเผลอใช้ภาษาพูดไปเยอะเลย
สุดท้าย ประสบการณ์และความชำนาญของคนขับก็มีส่วนสำคัญ คนขับเป็น มีประสบการณ์ รถอะไรเค้าก็ขับได้ ขึ้นเขาลงห้วยลุยไฟ(?)จะรถอะไรเค้าก็พาไปได้
สุดท้ายจริงๆ ละ ขอให้ขับขี่ปลอดภัยกันทุกคนนะครับ
อย่าเพิ่งคิดว่ารถเก๋งเบนซินเครื่องเล็กจะขึ้นเขาไม่ไหว
ถ้าจะขึ้นดอยน่ะ รถกระบะดีเซลดีกว่า เครื่องดีเซลแรงบิดดีกว่า ฯลฯ หรือจะเหตุผลไหนก็ช่าง
ผมไม่เชื่อมาตั้งแต่แรก ลองมาวิเคราะห์กลับนะ วิเคราะห์แบบคนไม่ได้รู้อะไรเป๊ะนะครับ ถ้าผิดพลาดอะไรก็ขออภัยและช่วยเสริมด้วยก็ได้ครับ
ค่านิยมนี้น่าจะเริ่มประมาณหลายสิบปีก่อน ที่รถเก๋งยังไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่ สมมติว่า 25 ปีก่อนก็ได้ สมัยนั้นรถบ้านยังไม่รู้จักวาวล์แปรผันกัน
25 ปีก่อน? รถเก๋งป้ายแดงในตอนนั้นก็พวก Corolla AE101 Lancer E-Car Civic EG รถกระบะก็ไม่พ้น Mighty-X Isuzu TFR
ผมก็ลองคิดตามนะ เออ Mighty-X ตอนนั้น เครื่อง 2.5 แรงบิดก็แค่ 150 กว่านิวตันเมตร มันก็เยอะกว่า Honda City สมัยนี้นิดนึง หรือเอาตัวท็อปสุดเครื่อง 2.8 มาเลยก็ได้ แรงบิดมี 170 กว่านิวตันเมตร ก็พอๆกับ Civic FD 1.8 สมัยนี้เอง หรือพวก TFR 2.5 ก็เครื่อง 4JA1 แรงบิดก็ประมาณๆนี้ (ผมหาข้อมูลตัว Rodeo ไม่เจอ)
แต่รถพวกนี้แรงบิดมารอบต่ำ ประมาณ 2000 รอบก็มาแล้ว และนั่นทำให้การขึ้นดอยขึ้นเนินดูเหมือนไม่ลำบากนัก เพราะไม่จำเป็นต้องใช้รอบสูง (ก็รอบสูงไม่มีแรงส่งแล้วไง)
ในขณะที่รถเก๋งอย่างสามห่วง 1.3 มี 88 แรงม้า แรงบิดน่าจะ 110 นิวตันเมตร หรือต่อให้ตัว 1.6 มี 105-110-115 แรงม้า(พูดไม่ตรงกันซักที่ผมก็ไม่ชัวร์ว่ามันมีเท่าไหร่แน่) แรงบิด 145-150 นิวตันเมตร หรือพวก Civic EG ตอนนั้นใช้เครื่อง 1.5 คาร์บู แรงม้าแถวๆ 91 แรงบิดน่าจะ 115 นิวตันเมตร จะถูกค่อนขอดทันทีว่าขึ้นไม่ไหวแน่นอน ไม่ไหวในนี้หมายความว่าไหลตกดอยไปเลยนะ แต่ลองเช็คตัวเลขแรงบิดสามห่วง 1.6 กับ Mighty-X 2.5 ดีๆ มันไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้นเลย และเช็คน้ำหนักรถด้วย สามห่วงเบากว่าอีกต่างหาก
หรือถ้าจะเอาสามห่วง 1.3 มาวัด แรงบิด 110 Nm นี่ก็ช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน ถ้านึกไม่ออกว่าขนาดไหน ก็เท่า Eco-car สมัยนี้อะครับ น้อยกว่าด้วยซ้ำเพราะ Brio ก็ปาไป 120 Nm แล้ว มันน้อยกว่ารถกระบะสมัยนั้นก็จริง แต่ว่าต้องไม่ลืมว่ามันน้ำหนักเบากว่าด้วย การที่แรงบิดสามห่วง 1.3 น้อยกว่า Mighty-X 2.5 ไป 40 กว่านิวตันเมตร มันจะทำให้ไต่เนินไม่ได้เลยเหรอ โอเคถ้าคิดเป็น % ถือว่าเยอะพอสมควรแต่ว่าก็ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นไม่ได้โดยสิ้นเชิงไง ในความจริงมันอยู่ในระดับ 'ลากสังขารตัวเองขึ้น' ก็คือถ้าเนินชันมากๆก็เหนื่อย ถ้าเนินปกติก็ไปเรื่อยๆแบบแซงใครไม่ได้ สรุปคือขึ้นได้แต่ช้านั่นเอง
และอีกอย่าง รถเบนซินแรงบิดมันมารอบปลายๆ ประมาณ 4000 รอบ และรถยุคนั้นยังไม่รู้จักคำว่าวาวล์แปรผันกันเท่าไหร่
วาวล์แปรผันคือการที่ไปปรับระยะการยกวาวล์หรือเวลาการยกวาวล์หรืออะไรก็แล้วแต่ตามเทคโนโลยีค่ายนั้น ผมก็จำรายละเอียดเเบบเป๊ะๆไม่ได้ แต่ผลคืออากาศที่เข้าไปเผาไหม้ในห้องเครื่องจะมีปริมาณที่พอดีในทุกรอบเครือ่งยนต์ จะไม่มีมากไปน้อยไป
เพราะฉะนั้น รถเก๋งยุคเก่าที่ไม่มีระบบนี้กัน จังหวะและระยะการยกวาวล์จะเท่ากันทุกรอบเครื่อง ทำให้ในรอบต่ำอากาศมันเข้ามากเกินความจำเป็น
ผลก็คือรถจะดูไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งมันก็เป็นอย่างนั้นเพราะแรงบิดสูงสุดมันอยู่ที่รอบ 4000 ไง อากาศจะเข้าไปอย่างเหมาะสมตอนนั้น
อีช่วง 1000-3000 รอบรถมันก็จะดูเนือยๆ อืดๆ แต่ในขณะเดียวกันช่วงรอบนี้รถกระบะกลับดีดมากๆ
ทีนี้คนเขาเลยเข้าใจกันไปว่ารถกระบะมันขึ้นง่ายกว่า แต่ไม่ได้สนใจเลยว่ารถเก๋งบางรุ่นแรงบิดไม่ต่างกันมากเลย แค่การเรียกแรงบิดสูงสุดมันดันต้องใช้รอบสูง คนเลยคิดว่ารถเก๋งขึ้นดอยอืด
แบบว่า เฮ้ย รถเก๋งเบนซินชั้นต้องสับเกียร์ 1 คารอบเครื่องไว้ที่ 4000 ถึงจะขึ้นได้ แต่รถกระบะดีเซลมันเหยียบแค่ 2000 รอบเอง ก็รถพวกนั้นมันมีแรงบิดแรงถีบสูงสุดอยู่ตรงนั้นนี่คุณณณณณณ
และที่มันพีคกว่านั้น คุณๆน่าจะรู้มาว่าดอยอินทนนท์กับดอยสุเทพมีรถสองแถวให้เช่าถ้าคุณไม่กล้าขับรถขึ้นไปเอง
แล้วสองแถวพวกนั้นเป็นใคร? บางคันก็เป็น Vigo Revo D-Max ซึ่งอันนั้นผมไม่ห่วง มันขึ้นดอยได้สบายมาก แต่บางส่วนยังเป็น Hilux Tiger Mighty-X TFR หรือพวก Dragon-Eyes อยู่!!! ประเด็นคือเป็นรุ่นเครื่อง 2.5 ด้วย ไอ้พวกนี้แรงบิดมันไม่เกิน 200 นิวตันเมตรหรอกครับ พอกับพวก Altis 1.8 Civic 1.8 หรือว่ากันง่ายๆเท่ากับรถเก๋งขนาดกลางยุคนี้นั่นแหละ ฉะนั้นคงไม่มีใครกลัวว่า Altis ขึ้นดอยไหวมั้ย ถ้าสองแถวพวกนี้ขึ้นได้มันก็ขึ้นได้หมดแหละครับ
ทีนี้ความกังวลเลยมาลงกับพวก Vios City Mazda2 เครื่อง 1.5 ลิตรแทน บางทีเห็นตัวเลขแรงบิด 140-145 นิวตันเมตรแล้วมันน่ารักซะจนไม่กล้าเอาขึ้นดอยเลย คุณณณณณ Mighty-X 2.5 สองแถวหลายๆคันก็แรงบิดเท่านี้ แถมตอนขึ้นแบกน้ำหนักผู้โดยสารอีกตั้งกี่คน เค้ายังขึ้นได้ พวก Vios ก็ต้องสบายมากอยู่แล้ว
และก็มาถึงรถที่เป็นคำถามมากที่สุด คำถามที่มีทุกปีว่า Eco-car ขึ้นดอยอย่างดอยอินทนนท์ ดอยสุเทพไหวมั้ย ผมขอเอาสองดอยนี้เป็นเณฑ์เพราะผมขึ้นมาหมดแล้ว(ถ้าดอยอื่นอาจจะชันและอันตรายกว่านี้ก็พิจารณากันตามเหมาะสมนะครับ) ผมตอบก่อนว่าไหวแน่นอน เอาหัวเป็นประกัน Eco-car เครื่องเบนซิน 1.2 ลิตรก็จริง แรงม้าอยู่ระหว่าง 79-90 แรงม้า แรงบิดแถวๆ 110-120Nm ถ้าเทียบแล้วคงไม่ต่างจาก Corolla สามห่วง 1.3 ที่ผมเพิ่งยกตัวอย่างไป
แต่ว่าต้องไม่ลืมว่ารถยุคใหม่เด๋ยวนี้มีระบบวาวล์แปรผันกันแล้ว บางรุ่นแปรผันได้ทั้งวาวล์ไอดีวาลว์ไอเสียแต่บางรุ่นก็แปรแค่วาวล์ไอดี และ ECU เครื่องยนต์สมัยนี้ฉลาดจะตาย ตัวหลักคือไอ้พวกนี้แหละครับ การมีวาวล์แปรผันและ ECU ที่ฉลาดทำให้เครื่องยนต์ได้รับอากาศเท่าที่จำเป็นและมีส่วนผสมเชื้อเพลิงที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เอาง่ายๆคือสร้างพละกำลังได้อย่างเหมาะสมดี ในขณะที่รถเก๋งรุ่นเก่าๆจะไม่ฉลาดเท่า
Eco-car เกียร์ธรรมดาไม่มีอะไรน่าห่วงเลย แต่รุ่นเกียร์ออโต้ CVT ที่บางคนก็เปรียบว่ามันเหมือน Honda Click จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ หลัการทำงานมันคล้ายๆกันเลย แต่เกียร์ CVT นี่แหละคือเกียร์ที่เหมาะกับการชึ้นเขามากๆ เพราะมันสามารถแปรผันอัตราทดได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เหมือนเกียร์อัตโนมัติทั่วไปที่จะล็อกไว้ตายตัวเป็นจังหวะๆ
อัตราทดเกียร์ที่ต่อเนื่องก็เป็นอีกเหตุผลที่สำคัญ ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ทั่วไปที่อัตราทดตายตัว มันก็จะตายตัวแบบนั้น แต่ CVT จะปรับอัตราทดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ มันไม่มีจังหวะล็อกตายตัวแต่มันก็ Flex ยืดๆหดๆของมันไปตามเรื่องได้ ซึ่งมันเหมาะกับการขึ้นเนินเพราะเนินแต่ละเนินมีความชันไม่เท่ากัน ต้องการแรงส่งที่ต่างกัน เกียร์ CVT จะเลือกแรงส่งที่เหมาะสมที่สุดให้เอง แต่คุณก็ต้องกดคันเร่งเพิ่มด้วยนะไม่งั้นเกียร์มันก็ไม่รู้หรอกว่าคุณต้องการแรงส่งเพิ่ม
ถึงตรงนี้ลองคิดเทียบกันดู ขนาดรถเก๋งรุ่นเก่าๆที่เครื่องเกียร์อะไรไม่ฉลาดเท่าไหร่มันยังลากสังขารขึ้นไปได้ รถกระบะแก่ๆ แรงบิดก็ไม่ได้สูงมากมายก็ไปได้ Eco-car ทั้งหลายก็ไปได้หมดแหละครับ ถ้าถนนเป็นถนนลาดยางนะ
แต่ทีนี้ประเด็นอยู่ที่น้ำหนักแจะจำนวนผู้โดยสารด้วย ถ้าเป็นพวก Eco-car แล้วนั่ง 4 คนพร้อมสัมภาระ โหลด(ภาระที่เครื่องยนต์ต้องฉุดลาก) ก็จะเยอะ แต่ขณะที่รถเก๋งขนาดกลางอย่าง Altis ถาเทียบว่านั่ง 4 คน พร้อมสัมภาระ น้ำหนักทั้งหมดเท่ากัน รถพวกนี้ก็จะขึ้นไวกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า เพราะแรงบิดมีเยอะกว่า แรงบิดคือแรงอะไร?ก็ลองจินตนาการเวลาเราลากของอะครับ ถ้าของน้ำหนักเท่ากัน แรงเยอะกว่าก็ลากไปง่ายกว่า นั่นแหละ
ผมมาตั้งกระทู้นี้ไม่ได้จะมาบ่นมาด่าหรือมาสบประมาทใดๆ แค่อยากจะบอกมุมมองของผมก็เท่านั้น และเป็นการตอบคำถามยอดฮิตด้วย เผื่อบางทีหลายๆท่านมีรถเก๋งพวก Yaris Swift อยู่และเกิดอยากจะไปเที่ยวดอยเที่ยวอะไรขึ้นมาแล้วสงสัยว่ารถตัวเองจะขึ้นไหวมั้ย ยืนยันว่ามันไหวครับ แต่นั่นหมายความว่าคุณไม่มีผุ้โดยสารมากเกินไปนะ ถ้านั่ง 4-5 คนก็ขึ้นได้แต่เหนื่อยมากเพราะรถต้องเค้นแรงเยอะ คือเค้นสุดตลอดเส้นทางแน่นอน มันจะขึ้นได้แต่ว่าแซงใครไม่ได้เลย ต้องหลบซ้ายขึ้นไปเรื่อยๆชิวๆ 55555
ปัญหาคือการไปเที่ยวในช่วงเทศกาล มันอันตรายตรงที่สมมติขึ้นไปด้วยกันทีละหลายๆคัน แล้วคันข้างหน้าเบรก เราก็ต้องเบรกตาม และถ้าทางชันมากหน่อยรถอาจจะ 'เบรกไม่อยู่' ขึ้นมา ในกรณีนี้รถเก่ามากๆที่นั่งอัดกันไปเยอะๆ อาจจะไม่เหมาะซะทีเดียวเพราะระบบเบรกมันไม่ได้ดีเท่ารถใหม่กว่า มันอาจจะไม่สามารถยึดเหนี่ยวรถที่หนักบนทางชันได้ดีขนาดนั้น อันนี้แหละที่ควรกังวล(แต่ส่วนมากรถเดี๋ยวนี้ขั้นต่ำก็ดิสก์เบรกหน้ากันหมด เอาอยู่หมดถ้าไม่ได้นั่งเกิน 4-5 คน)
กับอีกอย่างคือรุ่นเกียร์ธรรมดา ถ้าเจอสถานการณ์แบบเดียวกับข้างบน เบรกว่ายากแล้วการเร่งขึ้นไปต่อมันยากกว่า ถ้าคนขับไม่มีประสบการณ์จริง กว่าจะเลี้ยงคลัตช์เลี้ยงคันเร่งจนรถขึ้นได้รถก็ไหลลงและอาจจะชนคันหลังก่อนก็ได้ รถเกียร์ธรรมดาถ้าสมมติมีคนเยอะๆ แล้วต้องเร่งขึ้นเนินจากหยุดนิ่ง(คือเบรกจนรถนิ่งแล้วขึ้นต่อ) ควรดึงเบรกมือค้างไว้ ตอนจะออกก็เหยียบคันเร่งรอไว้มากๆแต่ไม่ต้องถึงกับมิดด้าม แล้วค่อยๆเอาเท้าออกจากคลัตช์ ถ้ารถเริ่มขยับขึ้นไปได้ก็ค่อยๆปลดเบรกมือลงจนสุดแล้วก็ถอนคลัตช์ออกพร้อมๆกัน และควรเหยียบคันเร่งเพิ่มด้วย บางทีถ้าปล่อยคลัตช์ไปแล้วแรงมันยังไม่พอมันอาจจะดับอีกได้ รถแต่ละคันก็จะมีระยะคลัตช์ต่างกัน ถ้าไม่คุ้นชินกับรถคันนั้นก็อย่าขับขึ้นเนินดีกว่า
ปัญหาที่สำคัญก็คือตอนขับลงด้วย ถ้าทางชันมากๆ ควรใส่เกียร์ 3 2 หรือชันจริงๆก็ 1 ลง ลักษณะการใช้เกียร์ต่ำหน่วงความเร็วเวลาลงเนินแบบนี้เรียก engine brake และในรายเกียร์ธรรมดาต้องระวัง ห้ามเหยียบคลัตช์แช่เด็ดขาด และในรายรถดีเซล ห้ามดีดคลัตช์เวลาเปลี่ยนเกียร์ลงด้วย ไม่งั้นรถจะปัดและจะหมุนเอา และผมแนะนำว่าคนที่ไม่ชำนาญจริง ไม่ควรเอารถกระบะดีเซลเกียร์ธรรมดาขึ้นดอยเด็ดขาด โอเคที่ว่ารถมันแรงส่งเยอะ ขึ้นได้ง่าย มันขึ้นง่ายแต่ขาลงนี่แหละยาก เพราะถ้าเปลี่ยนเกียร์ไม่ดีรถมันท้ายปัดง่าย และกระบะส่วนมากยังไม่มีระบบควบคุมการทรงตัว ก็คงนึกภาพออกนะครับ
ในรายเกียร์ CVT ไม่มีอัตราทด ไม่สามารถเลือกจังหวะได้ ตอนลงจะเป็นปัญหาเพราะใช้ Engine brake หน่วงรถไม่ได้ ก็ต้องใส่เกียร์ L หรือถ้าบางคันมีโหมด sport อย่าง march/almera ก็กดโหมดสปอร์ตที่เกียร์ด้วย เพื่อที่จะใช้เกียร์ช่วยหน่วงความเร็วรถไม่ให้เพิ่มจนเร็วเกินไป
----------------------------------------------------------
เหตุผลที่ผมมั่นใจนักหนาว่ารถเก๋งเบนซินเครื่องเล็กๆ มันจะขึ้นดอยได้ เพราะเมื่อปีก่อนผมเพิ่งเอาไอ้ตัวนี้ขึ้นดอยอินทนนท์มา และมันไปไหว ถึงแม้ช่วงท้ายๆต้องลากเกียร์ 1 ขึ้นยาวพอสมควรก็เถอะ
และเมื่อวันก่อนผมเพิ่งไปมาอีกรอบ รถคันเดิมเพิ่มเติมคือผู้โดยสาร 3 คน น้ำหนักแต่ละคนก็ประมาณผู้หญิงทั่วไปไม่อ้วนไม่ผอม น่าจะคนละ 50 kg รวมตัวผม 62-63 ก็เท่ากับว่าน้ำหนัก 212-213 kg รถคันนี้ก็ยังขึ้นไหวครับ ไม่มีรูปแต่มันไหวจริงไม่งั้นผมไม่มาอยู่ตรงนี้ได้หรอก 555555 แต่ก็เหนื่อยมากแหละนะกว่าจะขึ้นไปได้ ก็ต้องทำใจ
ก็หวังว่าทั้งหมดนี่จะช่วยตอบคำถามหลายๆคนได้ และถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมก็ขออภัยด้วยนะครับ เพราะรู้สึกว่าเผลอใช้ภาษาพูดไปเยอะเลย
สุดท้าย ประสบการณ์และความชำนาญของคนขับก็มีส่วนสำคัญ คนขับเป็น มีประสบการณ์ รถอะไรเค้าก็ขับได้ ขึ้นเขาลงห้วยลุยไฟ(?)จะรถอะไรเค้าก็พาไปได้
สุดท้ายจริงๆ ละ ขอให้ขับขี่ปลอดภัยกันทุกคนนะครับ