สภากาชาด และโรงพยาบาลหลายแห่ง (มักไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชน) ที่จะออกมาแจ้งข่าวเป็นระยะๆว่า
เลือดไม่พอ ขอให้ผู้มีเลือดกรุ๊ปนี้ กรุ๊ปนั้นไปบริจาคเลือด
ถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมๆเดิมๆแล้วหันมาทำการตลาดบุญ นั่นคือ
1.ประชาสัมพันธ์ถึงผลประโยชน์ที่ชัดเจนกับผู้ทำบุญครบจำนวนครั้ง อาจจะระบุหลังบัตรผู้บริจาค เพราะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ถึง
สิทธิประโยชน์ด้านนี้ อ้างอิงจาก
http://pantip.com/topic/34767546
2.ขอความร่วมมือกับบริษัทเอกชน,โรงงาน ที่มีจำนวนพนักงานมาก โดยให้แต่ละแผนกหมุนเวียนกันสละเวลาการทำงาน
สัก 1 ชั่วโมง /3 เดือน เพื่อให้โอกาสพนักงานประจำได้บริจาคเลือดในเวลางาน หากบริจาคครบจำนวนที่กำหนด
ได้วันหยุดจากบริษัทฟรี 1 วัน ( ส่งเสริมคนทำดี น่าจะดีกว่า มนุษย์เมือทำดีซ้ำๆกันไปเรื่อยๆจะมีการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมโดยรวมของตนเอง และดีกับองค์กรเองด้วย ที่จะได้พนักงานที่เป็นคนดี ) โดยอาจเสนอมาตรการด้านภาษี
ลดหย่อน ฯ เพื่อดึงดูดใจให้บริษัทเอกชน,โรงงาน เข้าร่วมโครงการ
3.ขอความร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าทุกแห่ง ทุกจังหวัด ตลอดจน ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่,หมู่บ้านใหญ่ๆ,คอนโดที่
มีผู้อาศัยหนาแน่น,ชุมชนขนาดใหญ่ ร่วมจัดกิจกรรมบริจาคเลือดในวันเวลาที่แน่นอนทุก 3 เดือน (ควรเป็นวันเสาร์-อาทิตย์
เช่น ที่ห้าง A จะมีการบริจาคเลือด ณ ชั้น 1 ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน ม.ค./เม.ย. ฯ เวลา 10.00-18.00 น.)
4.ในกรณีที สภากาชาดใช้เหตุผลว่า พยาบาลไม่พอ ,เจ้าหน้าที่ไม่พอ สามารถแจ้งกับทางประชาชนได้เลยว่า
ขาดงบประมาณเรื่องบุคคลประเภทนี้เท่าไร ขอรับบริจาคเป็นเงินไปจัดจ้างพยาบาล,เจ้าหน้าที่นอกเวลาทำการ
แต่ต้องแสดงบัญชีรับจ่ายงบประมาณในด้านนี้ให้ชัดเจน จริงๆแล้ว คนไทยเป็นชาติที่ใจบุญ ต้องการช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ
หากมีการแสดงบัญชีรับจ่ายที่ชัดเจน ไม่ยากหรอกครับที่จะมีเงินบริจาคเข้ามาเติมเต็ม (อาจจะเกินด้วยซ้ำ)
** ข้อเสนอต่างๆที่กล่าวมา อาจทำให้เกิดความสูญเสียเวลาทำงานของบริษัท,ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ แต่คงเทียบไม่ได้กับชีวิตคน
คงไม่เสมอไปที่ ผู้ป่วยจะสามารถรอโลหิตจากผู้บริจาคได้ทันท่วงที
และคงไม่ใช่นโยบายที่ดีถ้าจะรอให้เลือดใกล้หมดคลังแล้วมาประชาสัมพันธ์ทีละครั้ง
ผมไม่อยากเห็นญาติพี่น้อง เพื่อน พ่อแม่ ของใครหรือของผมเอง ที่ต้องจากไปเพราะการขาดเลือด
หรือ ญาติผู้ป่วยต้องอยู่ในภาวะลุ้นว่า จะมีผู้บริจาคเลือดมาทันการผ่าตัดด่วนไหม
ถึงเวลาหรือยังที่การบริจาคเลือดจะเป็นการตลาดเพื่อการกุศลได้เสียที ?
อนึ่ง เจ้าของกระทู้เองต้องขออภัยหากข้อเสนอแนะด้านบน อาจดูเป็นเรื่องกระทำยาก หรือดูเพ้อฝัน
(จขกท เคยเป็นพนักงานบริษัท และเคยเห็นรถพยาบาลไปรับบริจาคเลือดที่ลานข้างหน้าตึก แต่ไม่สามารถบริจาคได้
เพราะคิวบริจาคยาวมาก และผมมีเวลาแค่ 1 ชม.ที่จะทานข้าวกลางวัน จึงต้องไปบริจาคเลือดเองที่สภากาชาด
เท่าที่เห็น พนักงานคนอื่นๆก็ไม่ต่างกันและผัดวันประกันพรุ่งในการไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดทุกคน
จนหลายคนไม่ได้ไปบริจาคเป็นปี) หวังว่า หากมีผู้มีอำนาจสนใจปัญหานี้และบรรจุการแก้ไขปัญหานี้เป็นภาระเร่งด่วน
ถึงเวลาหรือยังที่การบริจาคเลือดจะเป็นการตลาดเพื่อการกุศลได้เสียที ?
เลือดไม่พอ ขอให้ผู้มีเลือดกรุ๊ปนี้ กรุ๊ปนั้นไปบริจาคเลือด
ถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมๆเดิมๆแล้วหันมาทำการตลาดบุญ นั่นคือ
1.ประชาสัมพันธ์ถึงผลประโยชน์ที่ชัดเจนกับผู้ทำบุญครบจำนวนครั้ง อาจจะระบุหลังบัตรผู้บริจาค เพราะมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ถึง
สิทธิประโยชน์ด้านนี้ อ้างอิงจาก http://pantip.com/topic/34767546
2.ขอความร่วมมือกับบริษัทเอกชน,โรงงาน ที่มีจำนวนพนักงานมาก โดยให้แต่ละแผนกหมุนเวียนกันสละเวลาการทำงาน
สัก 1 ชั่วโมง /3 เดือน เพื่อให้โอกาสพนักงานประจำได้บริจาคเลือดในเวลางาน หากบริจาคครบจำนวนที่กำหนด
ได้วันหยุดจากบริษัทฟรี 1 วัน ( ส่งเสริมคนทำดี น่าจะดีกว่า มนุษย์เมือทำดีซ้ำๆกันไปเรื่อยๆจะมีการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมโดยรวมของตนเอง และดีกับองค์กรเองด้วย ที่จะได้พนักงานที่เป็นคนดี ) โดยอาจเสนอมาตรการด้านภาษี
ลดหย่อน ฯ เพื่อดึงดูดใจให้บริษัทเอกชน,โรงงาน เข้าร่วมโครงการ
3.ขอความร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าทุกแห่ง ทุกจังหวัด ตลอดจน ร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่,หมู่บ้านใหญ่ๆ,คอนโดที่
มีผู้อาศัยหนาแน่น,ชุมชนขนาดใหญ่ ร่วมจัดกิจกรรมบริจาคเลือดในวันเวลาที่แน่นอนทุก 3 เดือน (ควรเป็นวันเสาร์-อาทิตย์
เช่น ที่ห้าง A จะมีการบริจาคเลือด ณ ชั้น 1 ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือน ม.ค./เม.ย. ฯ เวลา 10.00-18.00 น.)
4.ในกรณีที สภากาชาดใช้เหตุผลว่า พยาบาลไม่พอ ,เจ้าหน้าที่ไม่พอ สามารถแจ้งกับทางประชาชนได้เลยว่า
ขาดงบประมาณเรื่องบุคคลประเภทนี้เท่าไร ขอรับบริจาคเป็นเงินไปจัดจ้างพยาบาล,เจ้าหน้าที่นอกเวลาทำการ
แต่ต้องแสดงบัญชีรับจ่ายงบประมาณในด้านนี้ให้ชัดเจน จริงๆแล้ว คนไทยเป็นชาติที่ใจบุญ ต้องการช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ
หากมีการแสดงบัญชีรับจ่ายที่ชัดเจน ไม่ยากหรอกครับที่จะมีเงินบริจาคเข้ามาเติมเต็ม (อาจจะเกินด้วยซ้ำ)
** ข้อเสนอต่างๆที่กล่าวมา อาจทำให้เกิดความสูญเสียเวลาทำงานของบริษัท,ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ แต่คงเทียบไม่ได้กับชีวิตคน
คงไม่เสมอไปที่ ผู้ป่วยจะสามารถรอโลหิตจากผู้บริจาคได้ทันท่วงที
และคงไม่ใช่นโยบายที่ดีถ้าจะรอให้เลือดใกล้หมดคลังแล้วมาประชาสัมพันธ์ทีละครั้ง
ผมไม่อยากเห็นญาติพี่น้อง เพื่อน พ่อแม่ ของใครหรือของผมเอง ที่ต้องจากไปเพราะการขาดเลือด
หรือ ญาติผู้ป่วยต้องอยู่ในภาวะลุ้นว่า จะมีผู้บริจาคเลือดมาทันการผ่าตัดด่วนไหม
ถึงเวลาหรือยังที่การบริจาคเลือดจะเป็นการตลาดเพื่อการกุศลได้เสียที ?
อนึ่ง เจ้าของกระทู้เองต้องขออภัยหากข้อเสนอแนะด้านบน อาจดูเป็นเรื่องกระทำยาก หรือดูเพ้อฝัน
(จขกท เคยเป็นพนักงานบริษัท และเคยเห็นรถพยาบาลไปรับบริจาคเลือดที่ลานข้างหน้าตึก แต่ไม่สามารถบริจาคได้
เพราะคิวบริจาคยาวมาก และผมมีเวลาแค่ 1 ชม.ที่จะทานข้าวกลางวัน จึงต้องไปบริจาคเลือดเองที่สภากาชาด
เท่าที่เห็น พนักงานคนอื่นๆก็ไม่ต่างกันและผัดวันประกันพรุ่งในการไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดทุกคน
จนหลายคนไม่ได้ไปบริจาคเป็นปี) หวังว่า หากมีผู้มีอำนาจสนใจปัญหานี้และบรรจุการแก้ไขปัญหานี้เป็นภาระเร่งด่วน