จากนักร้องสาวซูเปอร์สตาร์ที่โด่งดังไปทั่วโลก “บริตนีย์ สเปียส์” เคยก้าวผ่านจุดต่ำสุดที่ถูกปัญหาทุกด้านรุมเร้า จนปัจจุบันเธอกลับมายืนหยัดได้อีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่และสง่างามไม่ต่างไปจากเดิม
“บริตนีย์ สเปียส์” เป็นนักร้องสาวที่โด่งดังตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เธอเคยผ่านมรสุมชีวิตมามากมายตั้งแต่การโดนคดีขับรถโดยประมาท โกนศีรษะตนเอง โจมตีปาปารัสซี่ด้วยร่ม ไปจนถึงการเข้ารับการรักษาในสถานบำบัดจิต หลังจากนั้นเธอก็ห่างหายไปจากวงการบันเทิงเป็นพักๆ และกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งอย่างงดงามยิ่งกว่าเดิม
ย้อนกลับไปในปี 2007 บริตนีย์ที่เพิ่งปล่อยอัลบั้ม “Blackout” มีเรื่องราวการทะเลาะเบาะแว้งและห้ำหั่นกับ Kevin Federline อดีตสามี บวกกับปัญหาด้านพฤติกรรม การควบคุมอารมณ์ และการใช้แอลกอฮอล์ ทำให้เธอเสียสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกชายสุดที่รัก
ในเดือนมกราคมปี 2008 เธอเข้ารับการบำบัดทางจิตที่ UCLA Medical Center และพ่อของเธอได้เข้ามาควบคุมชีวิตและสถานการณ์ทางการเงินของเธอแทน
บริตนีย์หายหน้าหายตาไปจากวงการ อัลบั้ม “Blackout” ได้รับการตอบรับที่เงียบกริบและไม่มีการทัวร์คอนเสิร์ต
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม เธอยื่นคำร้องขอเลี้ยงดูบุตรชายทั้ง 2 คนอีกครั้ง และในที่สุดเธอก็ได้รับสิทธิ์ให้เลี้ยงดูพวกเขาร่วมกับอดีตสามี
ในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้นเอง บริตนีย์ปล่อยเพลง “Womanizer” ที่ทำให้เธอกลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งด้วยอันดับ 1 บนชาร์ทของ Billboard และมิวสิกวิดีโอก็กลายเป็นวิดีโอที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากที่สุดบนยูทูบในปีนั้น
ต่อจากความสำเร็จของ Womanizer อัลบั้ม “Circus” ก็ติดอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ดเช่นกัน การทัวร์คอนเสิร์ตของบริตนีย์ในปี 2009 กลายเป็นทัวร์ที่ทำรายได้มากที่สุดแห่งปี
ในปี 2011 เธอได้รับรางวัล Michael Jackson Video Vanguard Award จาก MTV Video Music Awards
บริตนีย์ปล่อยอัลบั้ม “Femme Fatale” ในเดือนมีนาคมปี 2011 และเพลงในอัลบั้มกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของเธอ
ในปี 2013 เธอเซ็นสัญญามูลค่า 1,000 ล้านบาทกับคาสิโน Sin City ในลาสเวกัสและได้เซ็นสัญญาต่อเนื่องไปจนถึงปี 2017
“Britney Jean” อัลบั้มที่ 8 ของบริตนีย์ เปิดตัวด้วยอันดับ 4 บนบิลบอร์ดชาร์ท แต่กลับกลายเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายให้เธอได้น้อยที่สุด โดยขายได้เพียง 272,000 ชุดในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามในปี 2014 บริตนีย์ก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นเต็มตัวด้วยแบรนด์ชุดชั้นใน “The Intimate Britney Spears” และต่อมาในปี 2015 Forbes ได้จัดอันดับให้เป็นบริตนีย์เป็นนักร้องหญิงที่ทำรายได้มากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก
ต่อมาในเดือนพฤษภาคมปี 2015 บริตนีย์ได้ร่วมมือกับแรปเปอร์สาวอิ๊กกี้ อาซาเลีย ปล่อยเพลง “Pretty Girls” ซึ่งไต่ชาร์ทของบิลบอร์ดขึ้นไปถึงแค่อันดับที่ 29 เท่านั้น แต่ก็มีผู้เข้าชมมิวสิกวิดีโอของพวกเธอในยูทูบมากถึง 149 ล้านครั้ง

และล่าสุดบริตนีย์เพิ่งปล่อยเพลง “Make Me…” จากอัลบั้ม “Glory” เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

แม้ว่า “Make Me…” จะอยู่ที่อันดับ 17 บนบิลบอร์ดชาร์ท แต่หลายคนเชื่อว่าอัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จมากกว่า “Britney Jean” อย่างแน่นอน
และเธอก็จะต้องทำการแสดงบนเวที MTV Video Music Awards อีกครั้ง ซึ่งครั้งที่ผ่านๆ มาเธอได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้มากมายเช่นการนำงูตัวเป็นๆ ขึ้นโชว์ในเพลง “I’m a Slave 4 U”

แน่นอนว่าชีวิตของคนเราก็ต้องมีขึ้นมีลง เช่นเดียวกับนักร้องสาวคนดังอย่างบริตนีย์ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอคือนักร้องหญิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในวงการเพลงป็อป
ที่มา: BusinessInsider
บทความจาก meekhao.com/news/britney-spears-life
“บริตนีย์ สเปียส์” กับชีวิตที่ผ่านมรสุม และการกลับมาอีกครั้งอย่างสง่างาม!!
“บริตนีย์ สเปียส์” เป็นนักร้องสาวที่โด่งดังตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เธอเคยผ่านมรสุมชีวิตมามากมายตั้งแต่การโดนคดีขับรถโดยประมาท โกนศีรษะตนเอง โจมตีปาปารัสซี่ด้วยร่ม ไปจนถึงการเข้ารับการรักษาในสถานบำบัดจิต หลังจากนั้นเธอก็ห่างหายไปจากวงการบันเทิงเป็นพักๆ และกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งอย่างงดงามยิ่งกว่าเดิม
ย้อนกลับไปในปี 2007 บริตนีย์ที่เพิ่งปล่อยอัลบั้ม “Blackout” มีเรื่องราวการทะเลาะเบาะแว้งและห้ำหั่นกับ Kevin Federline อดีตสามี บวกกับปัญหาด้านพฤติกรรม การควบคุมอารมณ์ และการใช้แอลกอฮอล์ ทำให้เธอเสียสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกชายสุดที่รัก
ในเดือนมกราคมปี 2008 เธอเข้ารับการบำบัดทางจิตที่ UCLA Medical Center และพ่อของเธอได้เข้ามาควบคุมชีวิตและสถานการณ์ทางการเงินของเธอแทน
บริตนีย์หายหน้าหายตาไปจากวงการ อัลบั้ม “Blackout” ได้รับการตอบรับที่เงียบกริบและไม่มีการทัวร์คอนเสิร์ต
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม เธอยื่นคำร้องขอเลี้ยงดูบุตรชายทั้ง 2 คนอีกครั้ง และในที่สุดเธอก็ได้รับสิทธิ์ให้เลี้ยงดูพวกเขาร่วมกับอดีตสามี
ในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้นเอง บริตนีย์ปล่อยเพลง “Womanizer” ที่ทำให้เธอกลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งด้วยอันดับ 1 บนชาร์ทของ Billboard และมิวสิกวิดีโอก็กลายเป็นวิดีโอที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากที่สุดบนยูทูบในปีนั้น
ต่อจากความสำเร็จของ Womanizer อัลบั้ม “Circus” ก็ติดอันดับ 1 บนชาร์ทบิลบอร์ดเช่นกัน การทัวร์คอนเสิร์ตของบริตนีย์ในปี 2009 กลายเป็นทัวร์ที่ทำรายได้มากที่สุดแห่งปี
ในปี 2011 เธอได้รับรางวัล Michael Jackson Video Vanguard Award จาก MTV Video Music Awards
บริตนีย์ปล่อยอัลบั้ม “Femme Fatale” ในเดือนมีนาคมปี 2011 และเพลงในอัลบั้มกลายเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของเธอ
ในปี 2013 เธอเซ็นสัญญามูลค่า 1,000 ล้านบาทกับคาสิโน Sin City ในลาสเวกัสและได้เซ็นสัญญาต่อเนื่องไปจนถึงปี 2017
“Britney Jean” อัลบั้มที่ 8 ของบริตนีย์ เปิดตัวด้วยอันดับ 4 บนบิลบอร์ดชาร์ท แต่กลับกลายเป็นอัลบั้มที่ทำยอดขายให้เธอได้น้อยที่สุด โดยขายได้เพียง 272,000 ชุดในสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตามในปี 2014 บริตนีย์ก้าวเข้าสู่วงการแฟชั่นเต็มตัวด้วยแบรนด์ชุดชั้นใน “The Intimate Britney Spears” และต่อมาในปี 2015 Forbes ได้จัดอันดับให้เป็นบริตนีย์เป็นนักร้องหญิงที่ทำรายได้มากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก
ต่อมาในเดือนพฤษภาคมปี 2015 บริตนีย์ได้ร่วมมือกับแรปเปอร์สาวอิ๊กกี้ อาซาเลีย ปล่อยเพลง “Pretty Girls” ซึ่งไต่ชาร์ทของบิลบอร์ดขึ้นไปถึงแค่อันดับที่ 29 เท่านั้น แต่ก็มีผู้เข้าชมมิวสิกวิดีโอของพวกเธอในยูทูบมากถึง 149 ล้านครั้ง
และล่าสุดบริตนีย์เพิ่งปล่อยเพลง “Make Me…” จากอัลบั้ม “Glory” เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แม้ว่า “Make Me…” จะอยู่ที่อันดับ 17 บนบิลบอร์ดชาร์ท แต่หลายคนเชื่อว่าอัลบั้มนี้จะประสบความสำเร็จมากกว่า “Britney Jean” อย่างแน่นอน
และเธอก็จะต้องทำการแสดงบนเวที MTV Video Music Awards อีกครั้ง ซึ่งครั้งที่ผ่านๆ มาเธอได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้มากมายเช่นการนำงูตัวเป็นๆ ขึ้นโชว์ในเพลง “I’m a Slave 4 U”
แน่นอนว่าชีวิตของคนเราก็ต้องมีขึ้นมีลง เช่นเดียวกับนักร้องสาวคนดังอย่างบริตนีย์ แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเธอคือนักร้องหญิงที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในวงการเพลงป็อป
ที่มา: BusinessInsider
บทความจาก meekhao.com/news/britney-spears-life