ผมเห็นคนไทย ตั้งแต่มีโซเชียล เริ่มใช้ชีวิตที่ประมาท และทำบาปโดยไม่รู้ตัว
จริงๆ ก็รวมถึงผมด้วย บางทีก็เผลอร่วมวงกับเขาด้วย แต่ก็พยายามดึงกลับมา
เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอทำบาป ด้านมโนกรรม วจีกรรม ในโลกโซเซี่ยล
หรือ เผลอไป... ก็ให้เกิดการกระทำบาป ให้น้อยที่สุดเท่าที่สติจะกำหนดได้
ถ้าเราศึกษาธรรมมะ เราจะเข้าใจ
ทางด้านจิตวิทยา เรียกกฏแห่งแรงดึงดูด
หรือ ทางพุทธ จะเรียกว่ากฏแห่งกรรม ที่เกิดจากความคิด (mind)
ทางด้านจิตวิทยา ศาสตร์แห่งความสำเร็จ หลายๆ ผู้เขียนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น
เดล คาร์เนกี้ ... ที ฮาร์ฟ แอคเคอร์ หรือ นโปเลียน ฮิลล และ นักจิตวิทยา นักสมองศาสตร์
ต่างพูดสอน ไปในทำนองเดียวกัน คือ ผู้ที่ประสบผลสำเร็จ ส่วนใหญ่
จะมีความคิดไปในทางบวก หรือ Positive Thinking และ ตรงกับคำสอนทางพุทธศาสนา คือ จิตอันเป็นกุศล
เช่น ชื่นชม คนทำดี เห้นใครทำดี ทำกุศล ให้ชื่นชม หรือ อนุโมทนาสาธุกับเขาด้วย จะได้บุญด้วย
ไม่ว่าบุญนั้นจะน้อยหรือมากก็ตาม ถ้าเรายินดีปรีดากับสิ่งดีๆ ชีวิตก็จะดึงดูดแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ..
การพูดการจา การโพสต์ความเห็นตามเว็บบอร์ด เฟสบุ๊ก ก็เช่นกัน
เมื่อกระทำลงไปแล้ว จะเป็นกรรม ขึ้นมาทันที และ กรรมนั้นจะส่งผล ต่อชีวิตเราในอนาคต
กรรมจะส่งผล มากน้อย อยู่ที่จิตตอนนั้นว่ามีความ ยินดีปรีดา ปรื้มปิติ ...
หรือ โมโหโกรธมากน้อยแค่ไหน อำนาจฝ่ายจิตอกุศล นี่จะแรงมาก ล้วนแล้วแล้วแต่ จะฉุดให้จิตสู่อบายภูมิ...
จิตอกุศล จะแรงกว่าจิตที่เป็นกุศล หลายเท่า
นักจิตวิทยาสอนไว้ ถ้าคุณเห็นคนรวย แล้วอิจฉา ริษยา คุณจะไม่มีวันรวย ตามหลักกฏแรงดึงดูด
ซึ่งตรงกับคำสอนของพุทธศาสนาว่าด้วยเรื่อง มโนกรรม
เขาถึงสอนให้ชื่นชมเขา ยินดีกับเขา หรือทางพุทธเรียกการ อนุโมทนาไปกับเขาด้วย
เช่นเดียวกัน คุณเห็น รับรู้ข่าว ฆาตรกร หรือพวกฆ่าข่มขืน แล้วไปแช่งให้เขาตาย
เห็นเด็กแว้นซ์ ถูกรถชนตาย แล้วสมน้ำหน้า เขา ซ้ำเติมคนตาย ...
คนที่ไปด่า ไปแช่งเขา เกิดกรรม เกิดจิตเป็นอกุศล จิตใจจะเศร้าหมอง ...
ยิ่งทำบ่อยๆ คิดบ่อยๆ อบายภูมิ คือที่ไปแน่นอน....
ผมเห็น คนไทยหลายๆ คน ทำคลิปไปด่า ไปอาฆาตรมาดร้าย กับกระเทยคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างประเทศ
ถึงกับแช่งชักหักกระดูก หรือแม้แต่ไปแช่ง อดีตนายกคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างประเทศ ...
จริงๆ ใครอยากจะทำก็ทำไป ส่วนตัวแล้ว ผมเฉยๆ ...
มองว่า เออ... มันก็เป็นเช่นนั้นเอง อย่าเก็บมันมาเป็นอารมณ์
ถ้าพูดถึงเรื่องการเมือง เมื่อก่อนผมเคยด่าฝ่ายตรงข้ามบ่อยๆ
แต่ปัจจุบันพยายามปล่อยให้เป็นเรื่องของมันดีกว่า
นโปเลียน ฮิลล เดล คาร์เนกี้ บอกว่า ปล่อยให้เป็นเรื่องของมัน อย่าเอาจิตไปผูกกับเรื่องเหล่านั้น
พระอริยสงฆ์ ทั้งหลาย สอนอยู่เสมอๆ ให้วางอุเบกขา .... "มันก็เป็นเรื่องของมัน"
พระท่านสอน ให้ระวังจิต (Mind) ของเราจะถูกฉุดลงไป
เพราะจิตอันเป็น อกุศล รัก โลภ โกรธ หลง....
ถึงแม้ปัจจุบันอาจมีบ้าง แต่ก็พยายามวางเฉยให้มากที่สุด ไม่โพสต์อะไรที่สุ่มเสี่ยง
การรักการเคารพ เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่อง บวกเป็นกุศล แต่ต้องรู้จัก มัชฌิมาปฏิปทา
มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง หมายถึง ทางปฏิบัติที่ไม่สุดโต่งไปในทางอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่งเกินไป
มุ่งเน้นใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา มักไม่ยืดถือหลักการอย่างงมงาย
มัชฌิมาปฏิปทาในทางจิตวิญญาณหมายถึงสติ สติเป็นความสมสมดุลทางจิตอย่างหนึ่ง
คือสมดุลระหว่างศรัทธาและปัญญา สติจะอยู่ตรงกลางระหว่างอารมณ์และเหตุผล
คนไทยทุกวันนี้ หลง ครับ หลงจนขาดสติ พอขาดสติมันก็กลายเป็นลัทธิ คลั่ง
ถึงขนาดประนาม คนที่ไม่ทำเหมือนตน ไม่ใช่พวก .....
สังคมมันถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่เรามีศาสนา ที่คอยสอน ให้เดินในทางที่ถูกต้อง
@.. "ชาวพุทธ" ควรใช้สติในการดำเนินชีวิต
จริงๆ ก็รวมถึงผมด้วย บางทีก็เผลอร่วมวงกับเขาด้วย แต่ก็พยายามดึงกลับมา
เพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอทำบาป ด้านมโนกรรม วจีกรรม ในโลกโซเซี่ยล
หรือ เผลอไป... ก็ให้เกิดการกระทำบาป ให้น้อยที่สุดเท่าที่สติจะกำหนดได้
ถ้าเราศึกษาธรรมมะ เราจะเข้าใจ
ทางด้านจิตวิทยา เรียกกฏแห่งแรงดึงดูด
หรือ ทางพุทธ จะเรียกว่ากฏแห่งกรรม ที่เกิดจากความคิด (mind)
ทางด้านจิตวิทยา ศาสตร์แห่งความสำเร็จ หลายๆ ผู้เขียนที่ประสบผลสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น
เดล คาร์เนกี้ ... ที ฮาร์ฟ แอคเคอร์ หรือ นโปเลียน ฮิลล และ นักจิตวิทยา นักสมองศาสตร์
ต่างพูดสอน ไปในทำนองเดียวกัน คือ ผู้ที่ประสบผลสำเร็จ ส่วนใหญ่
จะมีความคิดไปในทางบวก หรือ Positive Thinking และ ตรงกับคำสอนทางพุทธศาสนา คือ จิตอันเป็นกุศล
เช่น ชื่นชม คนทำดี เห้นใครทำดี ทำกุศล ให้ชื่นชม หรือ อนุโมทนาสาธุกับเขาด้วย จะได้บุญด้วย
ไม่ว่าบุญนั้นจะน้อยหรือมากก็ตาม ถ้าเรายินดีปรีดากับสิ่งดีๆ ชีวิตก็จะดึงดูดแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ..
การพูดการจา การโพสต์ความเห็นตามเว็บบอร์ด เฟสบุ๊ก ก็เช่นกัน
เมื่อกระทำลงไปแล้ว จะเป็นกรรม ขึ้นมาทันที และ กรรมนั้นจะส่งผล ต่อชีวิตเราในอนาคต
กรรมจะส่งผล มากน้อย อยู่ที่จิตตอนนั้นว่ามีความ ยินดีปรีดา ปรื้มปิติ ...
หรือ โมโหโกรธมากน้อยแค่ไหน อำนาจฝ่ายจิตอกุศล นี่จะแรงมาก ล้วนแล้วแล้วแต่ จะฉุดให้จิตสู่อบายภูมิ...
จิตอกุศล จะแรงกว่าจิตที่เป็นกุศล หลายเท่า
นักจิตวิทยาสอนไว้ ถ้าคุณเห็นคนรวย แล้วอิจฉา ริษยา คุณจะไม่มีวันรวย ตามหลักกฏแรงดึงดูด
ซึ่งตรงกับคำสอนของพุทธศาสนาว่าด้วยเรื่อง มโนกรรม
เขาถึงสอนให้ชื่นชมเขา ยินดีกับเขา หรือทางพุทธเรียกการ อนุโมทนาไปกับเขาด้วย
เช่นเดียวกัน คุณเห็น รับรู้ข่าว ฆาตรกร หรือพวกฆ่าข่มขืน แล้วไปแช่งให้เขาตาย
เห็นเด็กแว้นซ์ ถูกรถชนตาย แล้วสมน้ำหน้า เขา ซ้ำเติมคนตาย ...
คนที่ไปด่า ไปแช่งเขา เกิดกรรม เกิดจิตเป็นอกุศล จิตใจจะเศร้าหมอง ...
ยิ่งทำบ่อยๆ คิดบ่อยๆ อบายภูมิ คือที่ไปแน่นอน....
ผมเห็น คนไทยหลายๆ คน ทำคลิปไปด่า ไปอาฆาตรมาดร้าย กับกระเทยคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างประเทศ
ถึงกับแช่งชักหักกระดูก หรือแม้แต่ไปแช่ง อดีตนายกคนหนึ่ง ที่อยู่ต่างประเทศ ...
จริงๆ ใครอยากจะทำก็ทำไป ส่วนตัวแล้ว ผมเฉยๆ ...
มองว่า เออ... มันก็เป็นเช่นนั้นเอง อย่าเก็บมันมาเป็นอารมณ์
ถ้าพูดถึงเรื่องการเมือง เมื่อก่อนผมเคยด่าฝ่ายตรงข้ามบ่อยๆ
แต่ปัจจุบันพยายามปล่อยให้เป็นเรื่องของมันดีกว่า
นโปเลียน ฮิลล เดล คาร์เนกี้ บอกว่า ปล่อยให้เป็นเรื่องของมัน อย่าเอาจิตไปผูกกับเรื่องเหล่านั้น
พระอริยสงฆ์ ทั้งหลาย สอนอยู่เสมอๆ ให้วางอุเบกขา .... "มันก็เป็นเรื่องของมัน"
พระท่านสอน ให้ระวังจิต (Mind) ของเราจะถูกฉุดลงไป
เพราะจิตอันเป็น อกุศล รัก โลภ โกรธ หลง....
ถึงแม้ปัจจุบันอาจมีบ้าง แต่ก็พยายามวางเฉยให้มากที่สุด ไม่โพสต์อะไรที่สุ่มเสี่ยง
การรักการเคารพ เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่อง บวกเป็นกุศล แต่ต้องรู้จัก มัชฌิมาปฏิปทา
มัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง หมายถึง ทางปฏิบัติที่ไม่สุดโต่งไปในทางอุดมการณ์ใดอุดมการณ์หนึ่งเกินไป
มุ่งเน้นใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา มักไม่ยืดถือหลักการอย่างงมงาย
มัชฌิมาปฏิปทาในทางจิตวิญญาณหมายถึงสติ สติเป็นความสมสมดุลทางจิตอย่างหนึ่ง
คือสมดุลระหว่างศรัทธาและปัญญา สติจะอยู่ตรงกลางระหว่างอารมณ์และเหตุผล
คนไทยทุกวันนี้ หลง ครับ หลงจนขาดสติ พอขาดสติมันก็กลายเป็นลัทธิ คลั่ง
ถึงขนาดประนาม คนที่ไม่ทำเหมือนตน ไม่ใช่พวก .....
สังคมมันถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่เรามีศาสนา ที่คอยสอน ให้เดินในทางที่ถูกต้อง