ด้วยเกล้า (1987)

ด้วยเกล้า (พ.ศ.๒๕๓๐) หนังไทย : บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ♥♥♥♥


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

(ได้ทำการขออนุญาต เจ้าของบทความเรียบร้อยแล้ว)

ดูหนังเรื่องนี้ช่วงเวลาที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สวรรคต ยิ่งทำให้เรารักท่านมากขึ้นหลายร้อยพันเท่า แต่เมื่อคิดว่าอีก ๑๐-๒๐ ปีข้างหน้า กับคนรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักท่านอีกแล้ว ดูหนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนตอนเราดูตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ทำได้แค่ชื่นชมในความปรีชาสามารถที่ยิ่งใหญ่ หาได้ซาบซึ้ง เข้าถึงเหตุผลอย่างถ่องแท้ ที่ทำไมคนไทยสมัยพวกเรานี้ถึงรักในหลวงรัชกาลที่ ๙ มากที่สุดได้อีกแล้ว

๗๐ ปี เป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน กว่าอายุเฉลี่ยของมนุษย์ทั่วไปเสียอีก คนไทยแทบทั้งประเทศ ณ ขณะนี้ ล้วนเกิดในรัชสมัยของพระองค์ เติบโตขึ้นก็รู้จักพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมาตลอดชีวิต แต่ชีวิตมีเกิดย่อมมีตายเป็นสัจธรรม ไม่มีใครแม้แต่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่จะอยู่คับฟ้า ยุคสมัยหนึ่งจบไป ยุคสมัยใหม่เข้ามา ตราบใดที่โลกยังหมุน วัฏจักรชีวิตย่อมไม่เปลี่ยนแปลง, ความสูญเสียครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ใครๆย่อมคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้น แต่ไม่มีอะไรสามารถเตรียมพร้อม รับมือกับอารมณ์ความรู้สึกในช่วงเวลานี้ได้เลย เพราะ ๗๐ ปีแห่งการครองราชย์ มันยาวนานเสียจนไม่มีใครจดจำได้แล้วว่า การสวรรคตของพระประมุของค์ก่อนเป็นอย่างไร คิดว่าคงไม่มีอะไรจะเกิดขึ้นหรอก แต่แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง… นี่ถือเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทศวรรษ ไม่สิอาจจะในศตวรรษนี้เลย

เมื่อคิดว่าหลังจากนี้ อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี หรืออีกศตวรรษ สหัสวรรษ คงไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อีกแล้ว ถึงเหตุผลว่าทำไมคนไทยในยุคนี้รักในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่สุดแล้ว มันก็เป็นความน่าหดหู่ เศร้าใจ เป็นการสูญเสียอันประเมินค่ามิได้, กระนั้นมนุษย์เรา ถึงตัวจากไป แต่ชื่อเสียง ผลงาน และคุณงามความดี จะยังคงอยู่ แบบเดียวกับที่เราจดจำพ่อขุนรามคำแหง, สมเด็จพระนเรศวร, พระเจ้าตากสิน ฯ ร่างกายมนุษย์มิใช่สิ่งยืนยง แต่คุณธรรมความดีงามเท่านั้นที่ได้รับการกล่าวขานส่งต่อ ไปจนชั่วกัลปาวสาน

อารมณ์ความรู้สึกที่ท่านได้สัมผัสในหลายวันนี้ จดจำมันไว้ให้ดี คงไม่ต่างกับวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า หรือวันสวรรคตของมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่สมัยก่อน สักวันหนึ่งความรู้สึกเหล่านี้จะผ่านไป แต่ “Great King Never Die!”

ด้วยเกล้า เป็นภาพยนตร์ที่ผมเคยได้ยินครั้งแรกตอนที่เอามาฉายซ้ำเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ร่วมกับ บริษัทไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด ได้นำกลับมาฉายใหม่ในโรงภาพยนตร์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ ตั้งแต่วันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยรายได้ในสัปดาห์แรกทั้งหมด นำสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา

ตอนที่สร้าง พ.ศ. ๒๕๓๐ มีจุดประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๔๐ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ และพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๐

กำกับและเขียนบทโดย บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ต้องถือว่า ด้วยเกล้า คือหนังที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาเป็นที่รู้จักโด่งดังในวงการภาพยนตร์ ก่อนที่จะมีผลงานดังๆตามมาอย่าง ปัญญาชนก้นครัว (พ.ศ.๒๕๓๐), บุญชูผู้น่ารัก (พ.ศ.๒๕๓๑), ส.อ.ว.ห้อง ๒ รุ่น ๔๔ (พ.ศ.๒๕๓๓), อนึ่งคิดถึงพอสังเขป (พ.ศ.๒๕๓๕), กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้ (พ.ศ.๒๕๓๗), สตางค์ (พ.ศ.๒๕๔๓) และ ๑๔ ตุลา สงครามประชาชน (พ.ศ.๒๕๔๔), เป็นผู้ให้กำเนิดอีกหนึ่งดาราคู่ขวัญของเมืองไทย ‘สันติสุข จินตรา’ ซึ่ง ด้วยเกล้า เป็นหนังเรื่องแรกที่ทั้งคู่เล่นประกบในบทพ่อแง่ยิ้มอน (แต่ตอนนั้นยังไม่ดังเท่าไหร่ มาคู่กันแล้วดังสุดๆก็ตอน บุญชูผู้น่ารัก)

อาก้องเสียชีวิตเมื่อ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ หัวใจวายขณะฟอกไต ระหว่างเตรียมงานสร้าง บุญชู จะอยู่ในใจเสมอ (ภาคสุดท้าย) สิริอายุ ๕๘ ปี

เสาคำ (นำแสดงโดย จรัล มโนเพ็ชร) ชาวนาจากภาคเหนือ ได้เก็บเมล็ดข้าวพระราชทาน จากพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญในวันพืชมงคล ที่ท้องสนามหลวง ในปีแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ พระราชทานข้าวเปลือกจากแปลงทดลองในวังสวนจิตรลดา (เหตุการณ์จริง ปีแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเมล็ดพันธุ์ข้าว อยู่ช่วงประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๐๗) ด้วยความรักเทิดทูนและศรัทธาใน ‘ข้าวของพ่อ’ เขาหว่านเมล็ดข้าวเหล่านั้นลงในผืนดินที่แห้งแล้ง ท่ามกลางความดูหมิ่นจากคนในครอบครัว ธรรมชาติที่โหดร้าย และความไร้น้ำใจของนายทุน และด้วย ฝนหลวง ซึ่งเปรียบเสมือน ‘น้ำพระทัยของในหลวง’ เสาคำกลับมายืนหยัดได้ด้วยผลผลิตที่งดงาม ดวงตาที่เปี่ยมประกายความสุข และรวงข้าวสุกอร่ามเต็มอ้อมแขน

นำแสดงโดย จรัล มโนเพ็ชร (พ.ศ. ๒๔๙๔ – ๒๕๔๔) ศิลปินนักร้อง นักแต่งเพลง นักแสดง ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปินล้านนาผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ฝั่งแม่สืบเชื้อสายมาจากราชตระกูล ณ เชียงใหม่, ด้วยเกล้า คือผลงานที่ถือเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่สูงสุดในด้านการแสดงของจรัลเลย ได้รางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ (ขณะนั้นใช้ชื่อ รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ)

เสาคำ คือพ่อที่เทิดทูนพ่อหลวงอย่างสุดหัวใจ เป็นตัวแทนของคนที่นำเอาแนวคิดของท่านมาประยุกต์ใช้ในชีวิต ทั้งความรักในแผ่นดินบ้านเกิด, ความพอเพียง, ล้มแล้วลุก อะไรที่เสียไปล้วนเริ่มต้นใหม่ได้, ไม่ย่นย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ฯ  การแสดงของจรัลแม้จะดูนิ่งๆ แต่ความเข้มข้น อารมณ์แสดงออกมาทางสีหน้าและการกระทำของเขา ทั้งสุข ทุกข์ ดีใจ เสียใจ ฯ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะเห็นความหยิ่งยโสหนึ่งที่อยู่ในใจไม่เปลี่ยนแปลง คือ จงรักภักดีและเชื่อมั่นในพระเจ้าอยู่หัวทั้งกายใจ

สำหรับสันติสุข พรหมศิริ (รับบท คำนึง ที่ครอบครัวเป็นเพื่อนบ้านของเสาคำ ส่วนตัวเองโตขึ้นสมัครรับราชการ เป็นทหารพราน) และ จินตรา สุขพัฒน์ (รับบทเสาแก้ว ลูกสาวคนโตของเสาคำ) กับหนังเรื่องนี้ทั้งคู่ถือเป็นตัวประกอบ ที่มีบทเพื่อสร้างสีสันให้กับหนัง ในแบบพ่อแง่ยิ้มอน เข้าฉากร่วมกัน มีมุมกุ๊กกิ๊กน่ารัก อมยิ้มหลายฉากทีเดียว นี่คงเพื่อสร้างมุมผ่อนคลายให้กับหนัง ไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป, เคมีของทั้งคู่ถือว่าเข้าขากันดีมาก โดดเด่นแต่ยังไม่ถึงขั้นน่าจดจำ นับว่าเป็นจุดเริ่มต้น สัญญาณที่ดี นี่คงเป็นสิ่งที่อาบัณฑิตเห็น จึงได้เลือกทั้งสองมาเป็นคู่กัดกันในบุญชูผู้น่ารัก และได้กลายเป็นคู่ขวัญพระ-นาง ของคนรักหนังไทยยุค ๓๐s

เกร็ด: จินตรา สุขพัฒน์ ได้รับฉายาว่าเป็น ‘นางเอกอันดับหนึ่งคนสุดท้ายของวงการภาพยนตร์ไทย’ และเป็น ‘ผู้ปิดตำนานนางเอกหนังไทย’ เพราะหลังจากยุคนี้ ก็ยังไม่มีนักแสดงหญิงคนไหนที่กลายเป็น นางเอกอันดับหนึ่งของวงการภาพยนตร์ไทยอีก (ใกล้เคียงสุดตอนนี้ พ.ศ. นี้คงเป็น ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ กระมัง)

กฤษณ์ ศุกระมงคล รับบท อ้าง ลูกชายคนที่สองของเสาคำ เป็นเด็กฉลาด ได้ทุนจากในหลวงไปเรียนการเกษตรที่เมืองนอก และกลับมาทำงานโครงการหลวง ช่วยเหลือพัฒนาหมู่บ้านจากที่เคยลำบากยากเข็น ให้สามารถยืนขึ้นด้วยตนเองได้, บทอ้างคือตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถ และเป็นคนรักบ้านเกิด รักครอบครัว นำการเกษตรสมัยใหม่เข้ามาทดแทนรูปแบบเดิม อาทิ ปลูกพืชผักผลไม้อื่นนอกจากข้าวร่วมไปด้วย เลี้ยงไก่ เพาะเห็ด ขุดบ่อน้ำ ร่วมกันจัดตั้งสหกรณ์หมู่บ้าน ฯ

โรม อิศรา รับบท สำอาง ลูกชายคนสุดท้องของเสาคำ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่ชอบความสะดวกบาย ไม่ชอบความยากลำบาก ครั้งหนึ่งหนีออกจากบ้านไปคบค้ากับชาวดอย คนขายฝิ่น จนมีเงินร่ำรวย แต่นั่นเป็นสิ่งผิด ไม่มีใครยอมรับ ตอนท้ายสำอางก็เข้าใจได้ เมื่อบางสิ่งบางอย่างได้เกิดขึ้นกับตัวเอง, การแสดงของโรม อาจดูเก้งก้างไปเสียนิด หนังไม่เล่าถึงเหตุผลที่ทำไมตัวละครถึงนิสัยแบบนี้ อยู่ดีๆก็แสดงออกถึงความไม่พอใจโน่นนี่มาเลย

ตัวละครลูกๆของเสาคำ เป็นตัวแทนเชิงสัญลักษณ์นามธรรมมากกว่ารูปธรรมนะครับ คือแต่ละคนจะมีนิสัย ความต้องการ แทนได้ด้วยบางสิ่งอย่าง และตอนจบคือนำเสนอผลลัพท์ที่เกิดจากการกระทำนั้นๆ

สำหรับนักแสดงแย่งซีน ถือว่าเป็นตัวร้ายของหนัง นฤมล นิลวรรณ รับบทแม่เลี้ยงบัวเรียน นายทุนเงินกู้ และเจ้าของบ่อน้ำประจำหมู่บ้าน ผู้แสนโฉดชั่ว หน้าเลือด ปากว่าตาขยับ คำพูดที่ไม่รู้เป็นเสียงร้องของเปรตจากนรกขุมไหน สนแต่เงินทอง ไร้ซึ่งน้ำใจและความกรุณาเมตตาปราณี, หนังไม่ได้เล่าอีกมุมหนึ่งให้เราฟังว่า มีเบื้องหลังอะไรกันที่ทำให้เธอกลายเป็นคนนิสัยแบบนี้ สามีหายไปไหน (ถ้าไม่เสียชีวิตไปแล้ว ก็คงอย่าร้าง หนีไปทนเธอไม่ได้) มีนิสัยตรงกันข้ามกับลูกชาย ที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กว่า (มีแนวโน้มสูงมากว่าลูกจะได้รับอิทธิพลจากพ่อ) ผลลัพท์ตอนท้ายของตัวละครนี้ เมื่อไม่มีใครอยากกู้หนี้ยืมสินกับเธอ และที่นาก็ได้รับการไถ่ถอนไปหมดแล้ว ทำให้ไม่สามารถอาศัยอยู่หมู่บ้านแห่งนี้ได้อีกแล้ว จำต้องระหกระเกินย้ายออกไป และขณะมองดูเม็ดข้าวที่เธอเคยได้รับเก็บไว้ ด้วยสีหน้าและการไม่พูดอะไรออกมา นี่คงเป็นบทเรียนชิ้นสำคัญในชีวิต ก็หวังว่าคนอย่างเธอจะสามารถเข้าใจตนเอง กลับตัวได้ในที่สุดนะครับ

ถ่ายภาพโดย พิพัฒน์ พยัคฆะ, งานภาพของหนังเรื่องนี้ สวยงามมากๆ ทุ่งนา ขุนเขา ท้องฟ้า เมฆหมอก (ถ่ายเมฆรวมตัวขณะทำฝนเทียม) ภาพข้าวออกรวงสีเหลืองทองอร่ามสะท้อนแสงอาทิตย์, แพนกล้องเห็นขุนเขาเขียวฉอุ่มในฉาก Opening Credit (แค่คิดตามก็สวยแล้วนะครับ) แต่ฉากพายุฝนจะดูยังไม่สมจริงเท่าไหร่ ก็คงดีที่สุดเท่าที่หนังสมัยนั้นจะทำได้และนะครับ, สิ่งที๋โดดเด่นในงานภาพคือการเคลื่อนกล้องและซูมเข้า-ออก โดยมีตัวละครเป็นจุดศูนย์กลาง สังเกตให้ดีจะพบบ่อยมาก นี่สร้างบรรยากาศ อารมณ์ ความหมายให้กับช็อตๆนั้น อาทิ ซูมเข้าตัวละคร แสดงถึงการกำลังครุ่นคิด หรือเพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ข้างในจิตใจ, ซูมออกจากตัวละคร ให้เห็นวิวทิวทัศน์โดยรอย เป็นการเปิดกว้าง ยอมรับ กลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ฯ

ตัดต่อโดย พูนศักดิ์ อุทัยพันธ์, มุมมองของหนังเรื่องนี้ จะถือว่าใช้หมู่บ้าน/ทุ่งนา เป็นศูนย์กลางดำเนินเรื่องก็ได้ ไม่ได้นำเสนอผ่านมุมมองใครเป็นพิเศษ, เริ่มเรื่องเล่าผ่านพ่อ ที่นำข้าวเปลือกของในหลวงกลับบ้านมา แล้วตัดไป ๑๐ กว่าปีต่อมา เมื่อลูกทุกคนโตหมดแล้ว ก็จะแยกเล่าเรื่องราวของใครของมัน (เน้น ๒ คนคือ เสาแก้ว กับ สำอาง)

เหตุผลที่หนังต้องตัดต่อข้ามเวลามาถึง ๑๐ ปี นี่เปรียบได้กับระยะเวลาของการปลูกข้าวหวังผล สิบปีขั้นต่ำคือระยะเวลาหวังผลของมนุษย์ที่เติบโตขึ้น ใช้ศึกษาหาความรู้ หนึ่งทศวรรษแห่งการเริ่มต้น จะทำให้อะไรๆเปลี่ยนไปเป็นศตวรรษ

เมื่อลูกๆทุกคนทุกคนเติบโตขึ้น ก็จะมีความคิดความอ่านเป็นของตนเอง งานการเป้าหมายชีวิตก็จะแตกต่างกันออกไป คนหนึ่งรับราชการทหาร คนหนึ่งเรียนจบมีความรู้ทำงานกับโครงการหลวง แต่ส่วนใหญ่ในครอบครัว (แทนด้วยคนส่วนใหญ่ของประเทศ) ยังคงเป็นเกษตรกรทำนา และมีบางส่วนที่ทำอาชีพทุจริต (เช่น ค้าฝิ่น) เรื่องราวของหนังพยายามนำเสนอทุกๆเหตุการณ์ของแต่ละคนคู่ขนานกันไป ก่อนที่ช่วงท้ายจะกลับมาบรรจบ เมื่อทุกคนหวนคืนกลับบ้านเกิด อยู่อย่างมีความสุข พอเพียง ไม่ยึดติดกับอดีตที่อาจเคยทำอะไรแย่ๆ ไม่มีอะไรที่ครอบครัวให้อภัยกันไม่ได้ กลับมาครั้งนี้จะยิ่งเหนียวแน่นแฟ้น เข้าใจกันมากกว่าที่เคย

มีต่อ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่