สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
วินทร์ เลียววาริณ
วินทร์ เลียววาริณ, นักเขียน, 59
>> ผมไม่เคยคิดจะเขียนเป็นนักเขียนอาชีพมาก่อน ในวันแรกๆ ของการเขียน ผมเขียนสนุกๆ
ระบายบางสิ่งบางอย่างในใจออกมาเท่านั้น และก็เหมือนนักเขียนเป็นจำนวนมาก งานของผมลงตะกร้ามากมาย
แต่ผมไม่เคยท้อ
>> ผมไม่เคยโทรหาบรรณาธิการ หรือรอดูว่างานได้ลงตีพิมพ์หรือไม่ วันหนึ่งผมเปิดพบเรื่องสั้นเรื่องแรก
ที่ได้รับการตีพิมพ์โดยบังเอิญ ยังแปลกใจว่ามันได้ลงจริงๆ หรือนี่ เมื่อไม่ได้คาดหวัง มันก็ไม่เครียด
เมื่อไม่เครียด งานที่เขียนก็เป็นตัวเรามากที่สุด
>> สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ จนกว่าคุณจะเป็นนักเขียนอาชีพ คุณควรมีอาชีพหลักสักหนึ่งอาชีพ
ซึ่งเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้ได้เสียก่อน แล้วทุ่มเวลากับงานอดิเรกนี้ แต่ถึงจะงานอดิเรก
ก็สามารถทำแบบมืออาชีพได้ คือทำงานหนัก มีวินัย ตรงต่อเวลา
>> การทำงานห่วยออกมาชิ้นเดียว คุณฆ่างานที่เหลือทั้งหมดทันที งานชิ้นแรกดี ชิ้นที่สองต้องดียิ่งกว่า
ชิ้นที่สามต้องดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าคิดแบบนี้ปุ๊ป ผมว่าเลิกทำงานศิลปะทุกชนิดได้เลย เป็นไปไม่ได้
มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ธรรมชาติของมนุษย์คือมีดีบ้างไม่ดีบ้างปะปนกันไป
>> ผมถือเป็นกฎของตัวเองว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษามาตรฐาน ISO ของนักเขียน
ในที่นี้ก็คือ I See Okay ถ้าผมเห็นว่าโอเคมันก็โอเคแต่ถ้าตัวเองยังไม่ชอบ จะไม่ส่งออกไปเป็นอันขาด
เพราะนั่นคือการฆ่าตัวตาย
>> วันไหนที่ไม่ได้เขียนหนังสือถือเป็นเรื่องผิดบาปใหญ่หลวง วันนั้นจะเป็นวันที่สูญเปล่า และไร้ค่ามาก
คล้ายเป็นการสัญญากับตัวเองว่าต้องสร้างนิสัยให้เขียนหนังสือทุกวันวินัยต้องสูงไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม
ถึงเวลากดปุ่มต้องเขียนได้เลยเหมือนมือปืนที่ยิงได้ทุกเมื่อไม่ต้องรออารมณ์
>> ผมพกกระดาษกับปากกาติดตัวไว้เสมอเวลาออกไปธุระนอกบ้าน ไปซื้อกับข้าวสมองยังทำงานตลอด
คิดหมกมุ่นแต่เรื่องนิยายที่กำลังเขียน นึกอะไรออกก็จดเอาไว้ไม่ทันใจก็เขียนลงบนฝ่ามือ
>> นักเขียนใหม่จำนวนมากค่อนข้างใจร้อน หลายครั้งมีคนเข้ามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์
ผมแนะนำเหมือนกันหมดคือ ก็เขียนสิ! มันไม่มีทางลัด ไม่มีเคล็ดลับ เขียนแล้วคุณจะเรียนรู้จากการเขียนเอง
แต่กระบวนการนี้มันช้าไม่ทันใจ คุณต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น ฝึกใช้ภาษา จัดวางโครงเรื่อง
จนกระทั่งมันแน่นแล้วพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ค่อยเรียกตัวเองว่านักเขียน
====== ส่วนหนึ่งจาก http://www.esquire.co.th/what-i-have-learned/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%93/204
วินทร์ เลียววาริณ, นักเขียน, 59
>> ผมไม่เคยคิดจะเขียนเป็นนักเขียนอาชีพมาก่อน ในวันแรกๆ ของการเขียน ผมเขียนสนุกๆ
ระบายบางสิ่งบางอย่างในใจออกมาเท่านั้น และก็เหมือนนักเขียนเป็นจำนวนมาก งานของผมลงตะกร้ามากมาย
แต่ผมไม่เคยท้อ
>> ผมไม่เคยโทรหาบรรณาธิการ หรือรอดูว่างานได้ลงตีพิมพ์หรือไม่ วันหนึ่งผมเปิดพบเรื่องสั้นเรื่องแรก
ที่ได้รับการตีพิมพ์โดยบังเอิญ ยังแปลกใจว่ามันได้ลงจริงๆ หรือนี่ เมื่อไม่ได้คาดหวัง มันก็ไม่เครียด
เมื่อไม่เครียด งานที่เขียนก็เป็นตัวเรามากที่สุด
>> สิ่งที่ผมกำลังจะบอกก็คือ จนกว่าคุณจะเป็นนักเขียนอาชีพ คุณควรมีอาชีพหลักสักหนึ่งอาชีพ
ซึ่งเลี้ยงตัวเองและครอบครัวให้ได้เสียก่อน แล้วทุ่มเวลากับงานอดิเรกนี้ แต่ถึงจะงานอดิเรก
ก็สามารถทำแบบมืออาชีพได้ คือทำงานหนัก มีวินัย ตรงต่อเวลา
>> การทำงานห่วยออกมาชิ้นเดียว คุณฆ่างานที่เหลือทั้งหมดทันที งานชิ้นแรกดี ชิ้นที่สองต้องดียิ่งกว่า
ชิ้นที่สามต้องดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าคิดแบบนี้ปุ๊ป ผมว่าเลิกทำงานศิลปะทุกชนิดได้เลย เป็นไปไม่ได้
มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ธรรมชาติของมนุษย์คือมีดีบ้างไม่ดีบ้างปะปนกันไป
>> ผมถือเป็นกฎของตัวเองว่า ทำอย่างไรจึงจะรักษามาตรฐาน ISO ของนักเขียน
ในที่นี้ก็คือ I See Okay ถ้าผมเห็นว่าโอเคมันก็โอเคแต่ถ้าตัวเองยังไม่ชอบ จะไม่ส่งออกไปเป็นอันขาด
เพราะนั่นคือการฆ่าตัวตาย
>> วันไหนที่ไม่ได้เขียนหนังสือถือเป็นเรื่องผิดบาปใหญ่หลวง วันนั้นจะเป็นวันที่สูญเปล่า และไร้ค่ามาก
คล้ายเป็นการสัญญากับตัวเองว่าต้องสร้างนิสัยให้เขียนหนังสือทุกวันวินัยต้องสูงไม่ว่าจะสถานการณ์ใดก็ตาม
ถึงเวลากดปุ่มต้องเขียนได้เลยเหมือนมือปืนที่ยิงได้ทุกเมื่อไม่ต้องรออารมณ์
>> ผมพกกระดาษกับปากกาติดตัวไว้เสมอเวลาออกไปธุระนอกบ้าน ไปซื้อกับข้าวสมองยังทำงานตลอด
คิดหมกมุ่นแต่เรื่องนิยายที่กำลังเขียน นึกอะไรออกก็จดเอาไว้ไม่ทันใจก็เขียนลงบนฝ่ามือ
>> นักเขียนใหม่จำนวนมากค่อนข้างใจร้อน หลายครั้งมีคนเข้ามาฝากตัวเป็นลูกศิษย์
ผมแนะนำเหมือนกันหมดคือ ก็เขียนสิ! มันไม่มีทางลัด ไม่มีเคล็ดลับ เขียนแล้วคุณจะเรียนรู้จากการเขียนเอง
แต่กระบวนการนี้มันช้าไม่ทันใจ คุณต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น ฝึกใช้ภาษา จัดวางโครงเรื่อง
จนกระทั่งมันแน่นแล้วพัฒนาขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ค่อยเรียกตัวเองว่านักเขียน
====== ส่วนหนึ่งจาก http://www.esquire.co.th/what-i-have-learned/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%93/204
ความคิดเห็นที่ 20
เข้ามาให้คำแนะนำ ตอนนี้เราเป็นทั้งนักเขียนและผู้ช่วยบรรณาธิการอยู่ค่ะ
ก่อนอื่นเท่าๆที่อ่าน จขกท.คงคิดว่าอาชีพนักเขียนคงเป็นสิ่งที่ใช้หารายได้เสริมได้ มันก็ได้นะคะ แต่อยากจะบอกว่าการที่งานของน้องจะ "ขายได้" มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น (แต่ก็ไม่ได้ยากเกินจะทำ)
ถ้าแบ่งนักเขียนที่สามารถมีรายได้ เราขอแบ่งเป็น2 ประเภทนะคะ
1. นักเขียนที่ทำรูปเล่มและขายด้วยตัวเอง
พวกนี้จะเจอกันมากในยุคนี้ค่ะ บางส่วนจะมีการอัพลงอินเตอร์เน็ตก่อน พอมีคนมาอ่านพอสมควรก็จะทำการรวมเล่มขายโดยไม่ผ่านสำนักพิมพ์ จะมีทั้งแบบรูปเล่มหนังสือแล้วก็ E-Book นักเขียนประเภทนี้จะได้เงินหลังหักต้นทุนเต็มๆ แต่ก็เสี่ยงเต็มๆเช่นกัน โดนเฉพาะหน้าใหม่ที่ยังไม่มีแฟนหรือผลงานที่ฮิตมาก เงินที่ได้จากการขายไม่ได้มากมายแบบที่จินตนาการ สมมติในกรณีถ้าเป็นนิยายพิมพ์ขายเองไม่เกิน100เล่ม ตัวเลขนี้สำหรับมือใหม่สุดๆคือว่ายากมากที่จะขายได้ยอดเท่านี้ กำไรเราให้อยู่ที่ประมาน20,000-30,000บาทค่ะ (ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้าและราคาที่ขายไป ถ้าเป็นนิยายทำมือส่วนใหญ่จะเจอราคาขายเท่ากับจำนวนหน้า เช่น นิยาย300หน้า จะขาย300บาท ถ้าขายแพงกว่านี้แล้วหนังสือไม่ดีจริงคนก็อาจจะไม่ซื้อ)
****นักเขียนที่จะขายด้วยตัวเองต้องมีความสามารถในการทำรูปเล่มหนังสือด้วยนะคะ ก็จะมีการบรู๊ฟ การจัดหน้าเนื้อในสำหรับพิมพ์ การออกแบบหน้าปก รวมถึงงานอาร์ตเวิร์คต่างๆ ถ้าทำไม่เป็นก็ต้องจ้าง ไม่รวมถึงการจัดส่ง****
2.นักเขียนที่มีผลงานผ่านสำนักพิมพ์
นักเขียนประเภทนี้จะแบ่งย่อยได้อีก2ประเภท คือเขียนต้นฉบับเสร็จแล้วส่งมาให้สำนักพิมพ์พิจารณา แล้วก็แบบที่สำนักพิมพ์จะติดต่อมาหากว่าเขาอยากให้เราเขียนหนังสืออะไรให้(กรณีนี้จะเป็นกรณีที่นักเขียนค่อนข้างมีชื่อเสียงและสำนักพิมพ์รู้ฝีมือดีอยู่แล้ว) นักเขียนประเภทนี้จะมีรายได้โดยได้ค่าลิขสิทธิ์จากงานเขียนมีทั้งแบบเหมาจ่ายและคิดเป็นเปอร์เซ็นซึ่งมีตั้งแต่ 7% 10% จากราคาปกคูณด้วยยอดพิมพ์หรือยอดขาย เช่น หนังสือนิยายราคาปกอยู่ที่ 300บาท คิดจากยอดตีพิมพ์3000เล่ม นักเขียนได้ค่าลิขสิทธิ์10% ก็จะได้เงินรวม90,000บาท (ราคานี้ยังไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งคิดภาษีแบบอัตราก้าวหน้า) น้องจขกท.หรือใครๆที่เห็นราคานี้ย่อมตาลุกวาวแน่นอน เพราะถ้าเทียบกับแบบแรกได้เงินสูงกว่ามากแต่แน่นอนว่าการจะเป็นนักเขียนประเภทนี้งานของคุณต้องเจ๋งจริง และถึงจะเจ๋งแต่ถ้าสำนักพิมพ์คิดว่าขายไม่ได้ก็อด แล้วข้อเสียอีกอย่างคือนักเขียนประเภทนี้จะได้เงินจากงานเขียนค่อนข้างช้า เพราะหนังสือแต่ละเล่มใช้เวลาผลิตไม่น้อยกว่า3เดือนแน่นอนค่ะ(3เดือนนี่เร็วสุดๆแล้ว) แล้วกว่าเงินจะออกก็ไม่ใช่ว่าหนังสือเสร็จปุ๊บได้เลย เราต้องรอไปอีก 1-3เดือน (แล้วแต่ระเบียบของแต่ละสำนักพิมพ์) รวมๆแล้วกว่าจะได้เงินแต่ละทีก็ร่วมครึ่งปี อย่างเรานี่เงินออกต้องรีบเอาไปใช้หนี้เลยค่ะ5555555 อ่อ แล้วก็นักเขียนจะได้หนังสือของตัวเองด้วยนะคะ จำนวนก็แล้วแต่สำนักพิมพ์เช่นกัน
***** นักเขียนประเภทนี้ไม่ต้องลงมาทำรูปเล่มด้วยตัวเองค่ะ สำนักพิมพ์จะจัดการเองทั้งหมด อาจจะต้องมีการประสานงานเรื่องการปรับแก้กับบก.นิดหน่อย******
จากที่เขียนมาโคตรยาว คืออยากจะบอกจากใจคนที่เขียนหนังสือเลี้ยงชีพว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดเรียกว่างานอดิเรกได้หรอกค่ะ เราเองเคยเป็นนักเขียนแบบแรกมาก่อนที่ตอนหลังจะเป็นนักเขียนแบบที่สอง ซึ่งมันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
การเป็นนักเขียนนั้นไม่ยากค่ะ แค่ลองอะไรก็ได้ออกมาก็สามารถเรียกตัวเองว่านักเขียนได้แล้ว แต่การจะเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนักเขียนนั้นโคตรรรรรรรยากกกกกกกกกกก ทั้งความท้อแท้ ความกดดัน เขียนไปต้องต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา แล้วไหนจะสถานการณ์ธุรกิจสิ่งพิมพ์บ้านเราอีก รวมๆแล้วก็ทำให้ทางสายนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆคิด แต่เราก็ยังทำต่อเพราะมีความสุขค่ะ และเพื่อความอยู่รอดเลยต้องเรียนรู้การเป็นบรรณาธิการไปด้วย (เหนื่อยแบบอยากโดดตึกวันละ3รอบเลยค่ะ)
ก่อนอื่นเท่าๆที่อ่าน จขกท.คงคิดว่าอาชีพนักเขียนคงเป็นสิ่งที่ใช้หารายได้เสริมได้ มันก็ได้นะคะ แต่อยากจะบอกว่าการที่งานของน้องจะ "ขายได้" มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น (แต่ก็ไม่ได้ยากเกินจะทำ)
ถ้าแบ่งนักเขียนที่สามารถมีรายได้ เราขอแบ่งเป็น2 ประเภทนะคะ
1. นักเขียนที่ทำรูปเล่มและขายด้วยตัวเอง
พวกนี้จะเจอกันมากในยุคนี้ค่ะ บางส่วนจะมีการอัพลงอินเตอร์เน็ตก่อน พอมีคนมาอ่านพอสมควรก็จะทำการรวมเล่มขายโดยไม่ผ่านสำนักพิมพ์ จะมีทั้งแบบรูปเล่มหนังสือแล้วก็ E-Book นักเขียนประเภทนี้จะได้เงินหลังหักต้นทุนเต็มๆ แต่ก็เสี่ยงเต็มๆเช่นกัน โดนเฉพาะหน้าใหม่ที่ยังไม่มีแฟนหรือผลงานที่ฮิตมาก เงินที่ได้จากการขายไม่ได้มากมายแบบที่จินตนาการ สมมติในกรณีถ้าเป็นนิยายพิมพ์ขายเองไม่เกิน100เล่ม ตัวเลขนี้สำหรับมือใหม่สุดๆคือว่ายากมากที่จะขายได้ยอดเท่านี้ กำไรเราให้อยู่ที่ประมาน20,000-30,000บาทค่ะ (ขึ้นอยู่กับจำนวนหน้าและราคาที่ขายไป ถ้าเป็นนิยายทำมือส่วนใหญ่จะเจอราคาขายเท่ากับจำนวนหน้า เช่น นิยาย300หน้า จะขาย300บาท ถ้าขายแพงกว่านี้แล้วหนังสือไม่ดีจริงคนก็อาจจะไม่ซื้อ)
****นักเขียนที่จะขายด้วยตัวเองต้องมีความสามารถในการทำรูปเล่มหนังสือด้วยนะคะ ก็จะมีการบรู๊ฟ การจัดหน้าเนื้อในสำหรับพิมพ์ การออกแบบหน้าปก รวมถึงงานอาร์ตเวิร์คต่างๆ ถ้าทำไม่เป็นก็ต้องจ้าง ไม่รวมถึงการจัดส่ง****
2.นักเขียนที่มีผลงานผ่านสำนักพิมพ์
นักเขียนประเภทนี้จะแบ่งย่อยได้อีก2ประเภท คือเขียนต้นฉบับเสร็จแล้วส่งมาให้สำนักพิมพ์พิจารณา แล้วก็แบบที่สำนักพิมพ์จะติดต่อมาหากว่าเขาอยากให้เราเขียนหนังสืออะไรให้(กรณีนี้จะเป็นกรณีที่นักเขียนค่อนข้างมีชื่อเสียงและสำนักพิมพ์รู้ฝีมือดีอยู่แล้ว) นักเขียนประเภทนี้จะมีรายได้โดยได้ค่าลิขสิทธิ์จากงานเขียนมีทั้งแบบเหมาจ่ายและคิดเป็นเปอร์เซ็นซึ่งมีตั้งแต่ 7% 10% จากราคาปกคูณด้วยยอดพิมพ์หรือยอดขาย เช่น หนังสือนิยายราคาปกอยู่ที่ 300บาท คิดจากยอดตีพิมพ์3000เล่ม นักเขียนได้ค่าลิขสิทธิ์10% ก็จะได้เงินรวม90,000บาท (ราคานี้ยังไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งคิดภาษีแบบอัตราก้าวหน้า) น้องจขกท.หรือใครๆที่เห็นราคานี้ย่อมตาลุกวาวแน่นอน เพราะถ้าเทียบกับแบบแรกได้เงินสูงกว่ามากแต่แน่นอนว่าการจะเป็นนักเขียนประเภทนี้งานของคุณต้องเจ๋งจริง และถึงจะเจ๋งแต่ถ้าสำนักพิมพ์คิดว่าขายไม่ได้ก็อด แล้วข้อเสียอีกอย่างคือนักเขียนประเภทนี้จะได้เงินจากงานเขียนค่อนข้างช้า เพราะหนังสือแต่ละเล่มใช้เวลาผลิตไม่น้อยกว่า3เดือนแน่นอนค่ะ(3เดือนนี่เร็วสุดๆแล้ว) แล้วกว่าเงินจะออกก็ไม่ใช่ว่าหนังสือเสร็จปุ๊บได้เลย เราต้องรอไปอีก 1-3เดือน (แล้วแต่ระเบียบของแต่ละสำนักพิมพ์) รวมๆแล้วกว่าจะได้เงินแต่ละทีก็ร่วมครึ่งปี อย่างเรานี่เงินออกต้องรีบเอาไปใช้หนี้เลยค่ะ5555555 อ่อ แล้วก็นักเขียนจะได้หนังสือของตัวเองด้วยนะคะ จำนวนก็แล้วแต่สำนักพิมพ์เช่นกัน
***** นักเขียนประเภทนี้ไม่ต้องลงมาทำรูปเล่มด้วยตัวเองค่ะ สำนักพิมพ์จะจัดการเองทั้งหมด อาจจะต้องมีการประสานงานเรื่องการปรับแก้กับบก.นิดหน่อย******
จากที่เขียนมาโคตรยาว คืออยากจะบอกจากใจคนที่เขียนหนังสือเลี้ยงชีพว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดเรียกว่างานอดิเรกได้หรอกค่ะ เราเองเคยเป็นนักเขียนแบบแรกมาก่อนที่ตอนหลังจะเป็นนักเขียนแบบที่สอง ซึ่งมันก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป
การเป็นนักเขียนนั้นไม่ยากค่ะ แค่ลองอะไรก็ได้ออกมาก็สามารถเรียกตัวเองว่านักเขียนได้แล้ว แต่การจะเลี้ยงชีพด้วยอาชีพนักเขียนนั้นโคตรรรรรรรยากกกกกกกกกกก ทั้งความท้อแท้ ความกดดัน เขียนไปต้องต่อสู้กับตัวเองตลอดเวลา แล้วไหนจะสถานการณ์ธุรกิจสิ่งพิมพ์บ้านเราอีก รวมๆแล้วก็ทำให้ทางสายนี้ไม่ได้สวยงามอย่างที่ใครๆคิด แต่เราก็ยังทำต่อเพราะมีความสุขค่ะ และเพื่อความอยู่รอดเลยต้องเรียนรู้การเป็นบรรณาธิการไปด้วย (เหนื่อยแบบอยากโดดตึกวันละ3รอบเลยค่ะ)

แสดงความคิดเห็น
อยากเป็นนักเขียน ต้องทำไงค่ะ ??