เราเป้นนักศึกษาพยาบาลปี4 กว่าจะมาถึงจุดนี้ เหนื่อยและท้อมาก คิดว่าเมื่อไหร่จะจบ เคยคิดจะลาออกหลายครั้ง แต่นึกถึงคนที่ส่งเรียน เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเราคิดว่าทำให้เรามาถึงจุดนี้ ใกล้จะจบปีสี่แล้ว ลองอ่านดูนะ เราแค่อยากแชร์ประสบการณ์
จากการที่ได้ผ่านการฝึกปฏิบัติงานมา ทั้งในปีสองและปีสามก็ทำให้เราได้เจอกับอะไรหลายๆอย่าง .อาจจะแตกต่างกันบ้างเหมือนกันบ้าง ยิ่งผ่านการฝึกงานมาหลายวอร์ดก็ทำให้รู้ถึงว่าระบบการทำงานของแต่โรงพยาบาลและแต่ละวอร์ดเป็นอย่างไร แนวทางการปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันบ้าง ซึ่งแนวทางการปฏิบัติของแต่ละที่ก็เพื่อให้ผู้รับบริการมีอาการดีขึ้น ในการฝึกปฏิบัติงานแต่ละครั้งก็ทำให้เรามีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น อาจจะเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่บ้าง รู้สึกดีบ้างปะปนกันไป ซึ่งแต่ละครั้งประสบการณ์เหล่านั้นก็สอนให้เราเข้มแข็งขึ้น และได้ความรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
โดยแต่ก่อนส่วนตัวดิฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนที่ไม่สนิท แต่พอได้เข้ามาเรียนในวิชาชีพนี้ การพูดกับคนอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการพูดกับผู้ป่วย ซึ่งการที่เราจะทราบอาการ ความเป็นอยู่ของผู้ป่วยขณะเข้ามารับการรักษาเราจำเป็นที่จะต้องถาม ทีแรกตอนฝึกงานใหม่ๆตอนปี2 รู้สึกอายมาก เพราะไม่ค่อยกล้าพูดกับผู้ป่วยและญาติสักเท่าไหร่ แต่ก็มีอาจารย์ที่คอยช่วยเหลือ เพราะเป็นครั้งแรกของการปฏิบัติงาน อาจารย์คอยแนะนำว่าควรจะถามอะไรบ้าง ให้ไปอยู่กับผู้ป่วยบ่อยๆ เราจะได้ทราบข้อมูลที่เป็นปัญหา ทีแรกดิฉันก็ไม่ค่อยมีข้อมูลของผู้ป่วยมากเท่าไหร่นัก เพราะไม่รู้จะถามอะไร แต่ก็มีการไปฟังเพื่อนเวลาเพื่อนพูดกับกรณีศึกษาของตัวเอง ไปฟังพี่พยาบาลเวลาถามอาการและความเป็นอยู่ของผู้ป่วยก่อนและหลังให้การพยาบาลว่าถามอะไรยังไง ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้รู้ว่าดิฉันควรถามหรือซักประวัติผู้ป่วยยังไง
การพูดคุยสร้างสัมพันธภาพเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่าการพบกันครั้งแรกเราต้องสร้างความประทับใจให้กับผู้ป่วยและญาติ ทีแรกก็รู้สึกแปลกๆที่เราต้องเข้าไปคุยกับใครก็ไม่รู้ แต่พอเราเข้าหาผู้ป่วยบ่อยๆ เราแทบไม่ต้องชวนผู้ป่วยคุยเลย เพราะผู้ป่วยแต่ละคนนั้นต้องการความเอาใจใส่ พอเราไปดูแล ถามอาการบ่อยๆผู้ป่วยก็พร้อมเปิดใจคุยกับเรา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี การที่จะผ่านเวลาไปในแต่ละวันซึ่งอาจจะเป็นวันที่เหนื่อยและท้อบ้าง ก็ได้กำลังใจจากผู้ป่วยและญาติคนผู้ป่วยที่ทำให้มีกำลังใจและแรงสู้ในแต่ละวัน แต่บางครั้งก็มีเรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในหอผู้ป่วย ซึ่งก็คือการจากไปของผู้ป่วย ซึ่งในตอนนั้นดิฉันฝึกงานครั้งแรกและวอร์ดแรกที่ขึ้น คุณตาเป็นกรณีศึกษาของดิฉันเอง คุณตาป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอาการไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ทางโรงพยาบาลก็ทำเพียงรักษาตามอาการ แต่พอวันหนึ่งคุณตาก็จากไปอย่างสงบ บริเวณรอบเตียงเต็มไปด้วยญาติที่ยืนร้องไห้ต่อการจากไปของคุณตา ดิฉันซึ่งเป็นเจ้าของกรณีศึกษาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำได้แค่เพียงมองอยู่ไกลๆ เพราะว่าขณะดูแลแม้คุณตาจะพูดไม่ได้ แต่ดิฉันก็เดินไปคุยกับคุณตาทุกวัน คอยไปดูแลเสมอ แต่พอคุณตาเสียชีวิตก็ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันมีความบกพร่องในการทำหน้าที่นักศึกษาพยาบาลที่จะต้องไปเป็นพยาบาลต่อไป เพราะขนาดกรณีศึกษาของตนเองยังดูแลให้เขาปลอดภัยไม่ได้ ความรู้สึกตอนนั้นดิฉันเสียใจและร้องไห้ อาจารย์จึงได้เข้ามาพูดให้ปลอบและกำลังใจว่าเราทำให้ทุกคนมีชีวิตรอดไม่ได้ ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เราทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุดเท่านี้ ดิฉันได้ฟังก็พอจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังเสียใจกับการจากไปอยู่ เพราะเป็นกรณีศึกษาแรกที่เสียชีวิตของดิฉัน ซึ่งหลังจากครั้งนั้น หากมีผู้ป่วยเสียชีวิตดิฉันก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดเท่าครั้งแรก
นอกจากกำลังใจจากผู้ป่วยและญาติแล้ว พี่พยาบาลก็มีส่วนที่ทำให้การฝึกงานผ่านไปด้วยดี ซึ่งบางครั้งอาจจะเจอพี่พยาบาลที่ต้องการทดสอบความรู้ของนักศึกษาที่ไปฝึกปฏิบัติงาน ด้วยดี พี่พยาบาลมีอิทธิพลต่อการฝึกงานเป็นอย่างมาก เพราะเราจะต้องเจอพี่พยาบาลเป็นประจำ ซึ่งหากพี่พยาบาลใจดีนักศึกษาก็กล้าที่จะเข้าไปหา กล้าพูด กล้าคุย กล้าถามในสิ่งที่สงสัย แต่ก็มีพี่บางคนที่พี่ทำให้นักศึกษาไม่ไกลเข้าหา ซึ่งดิฉันตอนปี2 ก็เคยเจอพี่พยาบาลที่วอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งทีแรกที่เจอก็ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะพี่เขาโหด แต่พี่เขาชอบสอน ชอบให้ความรู้ ซึ่งวันหนึ่งดิฉันได้ขึ้นเวรดึกกับพี่เขา
แล้วจะได้ไปให้สารน้ำกับผู้ป่วย ซึ่งพี่เขาก็ให้ดิฉันคำนวณซึ่งดิฉันก็ได้บอกวิธีคิดและจำนวนหยดแก่พี่เขาไป แต่พี่เขาก็บอกว่าไม่ถูก ดิฉันก็พยาบาลคิดแต่ดิฉันก็ได้คำตอบเท่าเดิม ซึ่งพี่เขาก็เรียกไปนั่งข้างโต๊ะที่พี่กำลังเขียน Nurse note ซึ่งดิฉันก็ได้เขียนสูตรและวิธีการคำนวณให้พี่ดู พี่ก็บอกมันไม่ถูกให้คิดดีๆ ซึ่งตอนนั้นดิฉันรู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงโง่แบบนี้ แค่คำนวณการให้สารน้ำก็ยังไม่ถูก ซึ่งปกติตัวเองก็ทำได้ แต่ทำไมรอบนี้ถึงทำไม่ได้ และด้วยดิฉันคิดไม่ออกแล้วจริงๆเพราะทำยังไงดิฉันก็ได้เท่าเดิม แต่พี่เขาว่ามันยังผิด และบอกว่าถ้าทำแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นหรอกพยาบาล มันทำให้ดิฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันรู้สึกเหมือนว่าทำไมเรื่องง่ายแค่นี้ทำไม่ได้ เราคงไม่เหมาะกับวิชาชีพนี้แล้วจริงๆหรอ ซึ่งหลังจากที่ดิฉันร้องไห้ต่อหน้าพี่เขา พี่เขาก็ยิ้มแล้วบอกว่ามันถูกแล้ว
พี่เขาแค่อยากให้เรามีความมั่นใจ เพราะการให้สารน้ำกับผู้ป่วยนั้นมันมีความสำคัญมาก หากเราให้ผิด ให้เกินมันจะส่งผลต่อผู้ป่วยได้ และพี่เขาก็สอนวิธีคิดง่ายๆให้ ซึ่งดิฉันก็รู้สึกดีใจนะคะที่ทำได้ถูก แต่ก็รู้สึกเสียความรู้สึกที่ว่าเราทำถูกแล้วทำไมถึงต้องบอกว่ามันไม่ถูก ทำไมต้องว่าให้ขนาดนี้ หลังจากวันนั้นดิฉันก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น กล้าพูดคุยกับพี่พยาบาลคนนั้นมากขึ้น ที่จริงพี่เขาเป็นคนใจดี และเป็นคนเก่งคอยสอนในเรื่องที่เราไม่รู้ คอยให้คำแนะนำเสมอ และกล้าเข้าหาพี่พยาบาลคนอื่นๆเช่นกัน จากคำที่ว่าแค่นี้ทำไม่ได้ไม่ต้องเป็นหรอกพยาบาลก็เป็นแรงผลักดันทำให้ดิฉันลุกขึ้นสู้ ว่าเราต้องทำให้ได้ดิ เพื่อที่จะลบคำสบประมาทของคนอื่น ไม่ต้องทำให้คนอื่นเห็นแต่เราจะทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า เห้ย! แค่นี้เราทำได้นะ จากการฝึกครั้งนั้นก็ทำให้ดิฉันรู้ว่า หากเราเตรียมความรู้ให้พร้อมก่อนการขึ้นฝึก และเพิ่มความมั่นใจไปด้วยระดับหนึ่ง การฝึกงานก็จะผ่านไปได้
แรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งในการฝึกปฏิบัติงานก็คือกำลังใจจากคนในครอบครัว หากวันไหนไม่โอเค รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อยล้า ก็ยังคงมีคนที่บ้านที่รอคอยรับฟังและให้กำลังใจเราเสมอ ตอนฝึกปฏิบัติงานดิฉันโทรกลับบ้านบ่อยมาก แค่ได้ยินเสียงพ่อและแม่น้ำตาก็ไหล ไม่รู้ว่าทำไม เราแค่อายุ 20 ต้นๆ เราต้องมารับผิดชอบอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรอ แต่สุดท้ายเราก็สามารถผ่านมันไปได้ เพราะคิดไว้เสมอว่าเราทำเพื่อคนข้างหลัง พ่อกับแม่เราต้องเหนื่อยแค่ไหนเพื่อให้เราได้เรียนสูงๆ ท่านรอเราด้วยความหวัง เราจะมายอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ครอบครัวแหละคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในการเรียน การฝึกปฏิบัติงานของดิฉัน
จากที่กล่าวมากข้างต้นทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันมีวันนี้ แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะใครหลายๆคนที่คอยมอบพลัง ปลุกความกล้า สร้างแรงผลักดันให้กับเรา แม้เราจะให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่เราหวังไม่ได้ แต่เราสามารถทำตัวเราให้ดีที่สุดได้ พลังที่แข็งแกร่งเริ่มจากตัวเรา ^^
เรื่องเล่า เร้าพลัง นศ.พยาบาล
จากการที่ได้ผ่านการฝึกปฏิบัติงานมา ทั้งในปีสองและปีสามก็ทำให้เราได้เจอกับอะไรหลายๆอย่าง .อาจจะแตกต่างกันบ้างเหมือนกันบ้าง ยิ่งผ่านการฝึกงานมาหลายวอร์ดก็ทำให้รู้ถึงว่าระบบการทำงานของแต่โรงพยาบาลและแต่ละวอร์ดเป็นอย่างไร แนวทางการปฏิบัติอาจจะแตกต่างกันบ้าง ซึ่งแนวทางการปฏิบัติของแต่ละที่ก็เพื่อให้ผู้รับบริการมีอาการดีขึ้น ในการฝึกปฏิบัติงานแต่ละครั้งก็ทำให้เรามีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น อาจจะเจอเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่บ้าง รู้สึกดีบ้างปะปนกันไป ซึ่งแต่ละครั้งประสบการณ์เหล่านั้นก็สอนให้เราเข้มแข็งขึ้น และได้ความรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
โดยแต่ก่อนส่วนตัวดิฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดกับคนที่ไม่สนิท แต่พอได้เข้ามาเรียนในวิชาชีพนี้ การพูดกับคนอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการพูดกับผู้ป่วย ซึ่งการที่เราจะทราบอาการ ความเป็นอยู่ของผู้ป่วยขณะเข้ามารับการรักษาเราจำเป็นที่จะต้องถาม ทีแรกตอนฝึกงานใหม่ๆตอนปี2 รู้สึกอายมาก เพราะไม่ค่อยกล้าพูดกับผู้ป่วยและญาติสักเท่าไหร่ แต่ก็มีอาจารย์ที่คอยช่วยเหลือ เพราะเป็นครั้งแรกของการปฏิบัติงาน อาจารย์คอยแนะนำว่าควรจะถามอะไรบ้าง ให้ไปอยู่กับผู้ป่วยบ่อยๆ เราจะได้ทราบข้อมูลที่เป็นปัญหา ทีแรกดิฉันก็ไม่ค่อยมีข้อมูลของผู้ป่วยมากเท่าไหร่นัก เพราะไม่รู้จะถามอะไร แต่ก็มีการไปฟังเพื่อนเวลาเพื่อนพูดกับกรณีศึกษาของตัวเอง ไปฟังพี่พยาบาลเวลาถามอาการและความเป็นอยู่ของผู้ป่วยก่อนและหลังให้การพยาบาลว่าถามอะไรยังไง ซึ่งหลังจากนั้นก็ทำให้รู้ว่าดิฉันควรถามหรือซักประวัติผู้ป่วยยังไง
การพูดคุยสร้างสัมพันธภาพเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่าการพบกันครั้งแรกเราต้องสร้างความประทับใจให้กับผู้ป่วยและญาติ ทีแรกก็รู้สึกแปลกๆที่เราต้องเข้าไปคุยกับใครก็ไม่รู้ แต่พอเราเข้าหาผู้ป่วยบ่อยๆ เราแทบไม่ต้องชวนผู้ป่วยคุยเลย เพราะผู้ป่วยแต่ละคนนั้นต้องการความเอาใจใส่ พอเราไปดูแล ถามอาการบ่อยๆผู้ป่วยก็พร้อมเปิดใจคุยกับเรา ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี การที่จะผ่านเวลาไปในแต่ละวันซึ่งอาจจะเป็นวันที่เหนื่อยและท้อบ้าง ก็ได้กำลังใจจากผู้ป่วยและญาติคนผู้ป่วยที่ทำให้มีกำลังใจและแรงสู้ในแต่ละวัน แต่บางครั้งก็มีเรื่องน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในหอผู้ป่วย ซึ่งก็คือการจากไปของผู้ป่วย ซึ่งในตอนนั้นดิฉันฝึกงานครั้งแรกและวอร์ดแรกที่ขึ้น คุณตาเป็นกรณีศึกษาของดิฉันเอง คุณตาป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอาการไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
ทางโรงพยาบาลก็ทำเพียงรักษาตามอาการ แต่พอวันหนึ่งคุณตาก็จากไปอย่างสงบ บริเวณรอบเตียงเต็มไปด้วยญาติที่ยืนร้องไห้ต่อการจากไปของคุณตา ดิฉันซึ่งเป็นเจ้าของกรณีศึกษาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทำได้แค่เพียงมองอยู่ไกลๆ เพราะว่าขณะดูแลแม้คุณตาจะพูดไม่ได้ แต่ดิฉันก็เดินไปคุยกับคุณตาทุกวัน คอยไปดูแลเสมอ แต่พอคุณตาเสียชีวิตก็ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าดิฉันมีความบกพร่องในการทำหน้าที่นักศึกษาพยาบาลที่จะต้องไปเป็นพยาบาลต่อไป เพราะขนาดกรณีศึกษาของตนเองยังดูแลให้เขาปลอดภัยไม่ได้ ความรู้สึกตอนนั้นดิฉันเสียใจและร้องไห้ อาจารย์จึงได้เข้ามาพูดให้ปลอบและกำลังใจว่าเราทำให้ทุกคนมีชีวิตรอดไม่ได้ ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เราทำหน้าที่ของเราได้ดีที่สุดเท่านี้ ดิฉันได้ฟังก็พอจะดีขึ้นบ้างแต่ก็ยังเสียใจกับการจากไปอยู่ เพราะเป็นกรณีศึกษาแรกที่เสียชีวิตของดิฉัน ซึ่งหลังจากครั้งนั้น หากมีผู้ป่วยเสียชีวิตดิฉันก็รู้สึกเสียใจ แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกผิดเท่าครั้งแรก
นอกจากกำลังใจจากผู้ป่วยและญาติแล้ว พี่พยาบาลก็มีส่วนที่ทำให้การฝึกงานผ่านไปด้วยดี ซึ่งบางครั้งอาจจะเจอพี่พยาบาลที่ต้องการทดสอบความรู้ของนักศึกษาที่ไปฝึกปฏิบัติงาน ด้วยดี พี่พยาบาลมีอิทธิพลต่อการฝึกงานเป็นอย่างมาก เพราะเราจะต้องเจอพี่พยาบาลเป็นประจำ ซึ่งหากพี่พยาบาลใจดีนักศึกษาก็กล้าที่จะเข้าไปหา กล้าพูด กล้าคุย กล้าถามในสิ่งที่สงสัย แต่ก็มีพี่บางคนที่พี่ทำให้นักศึกษาไม่ไกลเข้าหา ซึ่งดิฉันตอนปี2 ก็เคยเจอพี่พยาบาลที่วอร์ดแห่งหนึ่ง ซึ่งทีแรกที่เจอก็ทำให้ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะพี่เขาโหด แต่พี่เขาชอบสอน ชอบให้ความรู้ ซึ่งวันหนึ่งดิฉันได้ขึ้นเวรดึกกับพี่เขา
แล้วจะได้ไปให้สารน้ำกับผู้ป่วย ซึ่งพี่เขาก็ให้ดิฉันคำนวณซึ่งดิฉันก็ได้บอกวิธีคิดและจำนวนหยดแก่พี่เขาไป แต่พี่เขาก็บอกว่าไม่ถูก ดิฉันก็พยาบาลคิดแต่ดิฉันก็ได้คำตอบเท่าเดิม ซึ่งพี่เขาก็เรียกไปนั่งข้างโต๊ะที่พี่กำลังเขียน Nurse note ซึ่งดิฉันก็ได้เขียนสูตรและวิธีการคำนวณให้พี่ดู พี่ก็บอกมันไม่ถูกให้คิดดีๆ ซึ่งตอนนั้นดิฉันรู้สึกว่าทำไมตัวเองถึงโง่แบบนี้ แค่คำนวณการให้สารน้ำก็ยังไม่ถูก ซึ่งปกติตัวเองก็ทำได้ แต่ทำไมรอบนี้ถึงทำไม่ได้ และด้วยดิฉันคิดไม่ออกแล้วจริงๆเพราะทำยังไงดิฉันก็ได้เท่าเดิม แต่พี่เขาว่ามันยังผิด และบอกว่าถ้าทำแค่นี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องเป็นหรอกพยาบาล มันทำให้ดิฉันกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ มันรู้สึกเหมือนว่าทำไมเรื่องง่ายแค่นี้ทำไม่ได้ เราคงไม่เหมาะกับวิชาชีพนี้แล้วจริงๆหรอ ซึ่งหลังจากที่ดิฉันร้องไห้ต่อหน้าพี่เขา พี่เขาก็ยิ้มแล้วบอกว่ามันถูกแล้ว
พี่เขาแค่อยากให้เรามีความมั่นใจ เพราะการให้สารน้ำกับผู้ป่วยนั้นมันมีความสำคัญมาก หากเราให้ผิด ให้เกินมันจะส่งผลต่อผู้ป่วยได้ และพี่เขาก็สอนวิธีคิดง่ายๆให้ ซึ่งดิฉันก็รู้สึกดีใจนะคะที่ทำได้ถูก แต่ก็รู้สึกเสียความรู้สึกที่ว่าเราทำถูกแล้วทำไมถึงต้องบอกว่ามันไม่ถูก ทำไมต้องว่าให้ขนาดนี้ หลังจากวันนั้นดิฉันก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น กล้าพูดคุยกับพี่พยาบาลคนนั้นมากขึ้น ที่จริงพี่เขาเป็นคนใจดี และเป็นคนเก่งคอยสอนในเรื่องที่เราไม่รู้ คอยให้คำแนะนำเสมอ และกล้าเข้าหาพี่พยาบาลคนอื่นๆเช่นกัน จากคำที่ว่าแค่นี้ทำไม่ได้ไม่ต้องเป็นหรอกพยาบาลก็เป็นแรงผลักดันทำให้ดิฉันลุกขึ้นสู้ ว่าเราต้องทำให้ได้ดิ เพื่อที่จะลบคำสบประมาทของคนอื่น ไม่ต้องทำให้คนอื่นเห็นแต่เราจะทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่า เห้ย! แค่นี้เราทำได้นะ จากการฝึกครั้งนั้นก็ทำให้ดิฉันรู้ว่า หากเราเตรียมความรู้ให้พร้อมก่อนการขึ้นฝึก และเพิ่มความมั่นใจไปด้วยระดับหนึ่ง การฝึกงานก็จะผ่านไปได้
แรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งในการฝึกปฏิบัติงานก็คือกำลังใจจากคนในครอบครัว หากวันไหนไม่โอเค รู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อยล้า ก็ยังคงมีคนที่บ้านที่รอคอยรับฟังและให้กำลังใจเราเสมอ ตอนฝึกปฏิบัติงานดิฉันโทรกลับบ้านบ่อยมาก แค่ได้ยินเสียงพ่อและแม่น้ำตาก็ไหล ไม่รู้ว่าทำไม เราแค่อายุ 20 ต้นๆ เราต้องมารับผิดชอบอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เลยหรอ แต่สุดท้ายเราก็สามารถผ่านมันไปได้ เพราะคิดไว้เสมอว่าเราทำเพื่อคนข้างหลัง พ่อกับแม่เราต้องเหนื่อยแค่ไหนเพื่อให้เราได้เรียนสูงๆ ท่านรอเราด้วยความหวัง เราจะมายอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ครอบครัวแหละคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในการเรียน การฝึกปฏิบัติงานของดิฉัน
จากที่กล่าวมากข้างต้นทุกสิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันมีวันนี้ แม้มันจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด แต่ก็ทำให้เรารู้ว่า เรามาถึงจุดนี้ได้เพราะใครหลายๆคนที่คอยมอบพลัง ปลุกความกล้า สร้างแรงผลักดันให้กับเรา แม้เราจะให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่เราหวังไม่ได้ แต่เราสามารถทำตัวเราให้ดีที่สุดได้ พลังที่แข็งแกร่งเริ่มจากตัวเรา ^^