เมื่อวันก่อนผมเพิ่งได้อ่านบทความหนึ่งซึ่งอยู่ในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ ''เดอะ เทเลกราฟ''
บทความนี้คนเขียนตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสียยืดยาวว่า "Is it time for Jose Mourinho to try a new tactical system at Manchester United?"
แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า "มันถึงเวลาที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะลองกลยุทธ์และระบบการเล่นใหม่กับแมนฯ ยูไนเต็ดหรือยัง?"
อืมมมมม...นะ
แค่ชื่อเรื่องก็กวักมือเรียกแขกแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ชื่นชอบในเรื่องของแท็กติกลูกหนัง
ผมอ่านจนจบ ก่อนพบว่ามันน่าสนใจมาก (โดยผู้อ่านสามารถติดตามเรื่องนี้แบบเต็มๆ ได้ในนิตยสาร "แฟนผี" Project ขบวนที่ 154 ที่จะออกตอนกลางเดือนนี้) น่าสนใจจริงๆ แถมทำให้ต้องคิดตามอีกต่างหาก คิดตามว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาวิเคราะห์เอาไว้หรือเปล่า
นักข่าวผู้เขียนบทความนี้ใช้นามปากกาว่า "เจเจ บูลล์" คุณพี่เขานำเอาเลื่อยไฟฟ้ามาผ่าแท็กติกของกุนซือจอมอหังการคนปัจจุบันของแมนฯ ยูไนเต็ดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแบบถึงกึ๋นเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเกมที่แพ้แมนฯ ซิตี้กับวัตฟอร์ด อ่านแล้วก็คล้อยความคิดพอสมควร
คุณพี่เขาบอกว่า โชเซ่ มูรินโญ่ มีวิธีการทำทีมและสไตล์การเล่นที่ค่อนข้างตายตัวอยู่แล้ว นั่นคือให้ความสำคัญกับเกมรับเป็นพิเศษเอาไว้ก่อน กองหลังต้องถอยไปตั้งรับลึกๆ และไม่ลอยขึ้นสูงมาเติมเกมรุกมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันเกมรุกและเกมสวนกลับของคู่แข่ง เรียกว่าเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน
ส่วนเกมรุกจะอาศัยจังหวะโต้กลับอย่างฉับพลันเป็นอาวุธ เช่นเดียวกับอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของดาวเตะที่ซื้อมาในราคาแพงนั่นแหละ
ทีมของ "มู" จะไม่เน้นการครองบอล โดยยึดหลักปรัชญาลูกหนังที่ว่าถ้ายิ่งครองบอลมากก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดมาก
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมจะอธิบายเป็นฉากๆ ดังนี้
อันดับแรกลองนึกย้อนกลับไปตอนที่พี่แกเข้ามาคุมเชลซีใหม่ๆ ดูนะครับ ฤดูกาลนั้น (2004-05) กุนซือชาวโปรตุเกสผลาญเงินของ "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เพื่อซื้อดาวเตะใหม่ไปมากกว่าหนึ่งร้อยล้านปอนด์เลยทีเดียว
ตอนนั้นสไตล์การเล่นแบบมูรินโญ่ยังใหม่สำหรับฟุตบอลอังกฤษที่ส่วนใหญ่จะเดินหน้าเข้าบดบี้กันให้ตายหงส์ตายห่านกันไปข้างหนึ่ง
แต่ฟุตบอลในแบบฉบับของเขามีความเป็นศาสตร์มากกว่าเป็นศิลปะ โดยเน้นผลการแข่งขันที่ตัวเองต้องการมากกว่าความสนุกสนานของท่านผู้ชม
ก่อนเชลซีจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้เขย่าบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก มันเป็นการห้ำหั่นกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ดกับอาร์เซน่อล ที่เล่นเกมรุกบุกแหลกด้วยกันทั้งคู่
โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาทำให้เชลซีเป็นทีมที่เล่นบนความรัดกุม ส่วนจะดูสนุกหรือไม่นั้นมันไม่ใช่เรื่องของเขา เพราะเป้าหมายหลักคือความสำเร็จเท่านั้น
เกมรับของทีมสิงห์บลูส์ ณ ขณะนั้นมีความเหนียวแน่นมาก คู่เซนเตอร์ คือ จอห์น เทอร์รี่ กับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ อีกทั้งยังมีมิดฟิลด์ตัวตัดเกมอย่าง โคล้ด มาเกเลเล่ และ ไมเคิ่ล เอสเซียง
มิเท่านั้นยังมี ปีเตอร์ เช็ก เป็นด่านสุดท้ายอีกต่างหาก
ในส่วนของเกมรุกมีกองหน้าที่ทั้งบึกบึนและปราดเปรียวอย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ขนาบข้างด้วยปีกที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน กับ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ขณะที่ในแดนกลางก็มีมิดฟิลด์ที่ยิงประตูดีอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เป็นตัวหลัก
เกมรุกของเชลซีไม่ได้มีทีมเวิร์กอะไรมากมาย ไม่ได้แยบยล ไม่ได้ลึกซึ้ง และไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรด้วย โดยเน้นการผ่านบอลไปให้ถึง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก่อนที่หัวหอกชาวไอวอรี่โคสต์จะใช้ความเป็นผู้เล่นประเภท "แมตช์วินเนอร์" ของตัวเองหาทางทำลายตาข่ายให้มันสิ้นซาก
อนึ่ง "แมตช์วินเนอร์" คือกองหน้าที่มีความครบเครื่อง พลิกบอลไปเองได้ เลี้ยงบอลหรือกระชากบอลไปหาทางถล่มประตูด้วยตัวเองได้ - พุ่งเข้าฮอร์สก็ได้ - ยิงประตูเฉียบคม และใช้จังหวะไม่เปลือง เรียกว่าสามารถชงเองกินเองได้พลางช่วยให้ทีมมีชัยเหนือคู่แข่งด้วยลำแข้งของตัวเองเพียงลำพัง
ทางด้านของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ไม่ใช่ตัวเปิดป้อนหรือปั้นเกม จุดเด่นของนักเตะผู้นี้คือการสอดขึ้นไปกระหน่ำตาข่ายได้บ่อยๆ
โชเซ่ มูรินโญ่ จะเน้นเกมรับให้เหนียวแน่นเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อมีเกมรับอันยอดเยี่ยม คุณก็แพ้ยาก จากนั้นก็เป็นเรื่องของผู้เล่นในแผนกเกมรุกที่จะไปจัดการกันเอาเอง ซึ่งดาวเตะแต่ละหน่วยที่ถูกฟ่อนธนบัตรของเสี่ยหมีลากเข้ามาล้วนมีคุณภาพสูงอยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะยัดเยียดความปราชัยให้คู่แข่ง
เชลซีประสบความสำเร็จเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกันด้วยวิธีการเล่นลักษณะนี้
ทีนี้ลองไปดูที่ตอนที่พี่แกคุมอินเตอร์ มิลานบ้าง
ตอนที่เจ้าของสมญา "เดอะ สเปเชียล วัน" เข้าไปรับงานที่นั่น ทีมงูใหญ่คือมหาอำนาจลูกหนังอิตาลีที่ไม่มีใครทัดทานได้อยู่แล้ว แถมอุดมด้วยดาวดังมากกว่าคู่แข่งทีมอื่นๆ ในลีกเดียวกัน ซึ่ง อินเตอร์ มิลานก็มีศูนย์หน้าที่จัดอยู่ในประเภท "แมตช์วินเนอร์" เหมือนกัน นั่นก็คือ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มกระฉูด นอกจากนี้ยังมีจอมทัพที่ฟอร์มร้อนแรงอย่าง เวสลี่ย์ สไนเดอร์ อีกต่างหาก
ส่วนที่เรอัล มาดริดก็ไม่ต่างจากศูนย์รวมผู้เล่นระดับดาวดังอยู่แล้ว แถมยังมีคู่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์อย่างบาร์เซโลน่าเพียงแค่ทีมเดียว
นอกจากจะคับคั่งด้วยดาวดังแบบล้นทีม ที่สำคัญคือเขายังมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวทีเด็ด
จึงไม่น่าแปลกใจหรอกครับว่าทำไมเรอัล มาดริดถึงคว้าแชมป์ลา ลีกา โดยทำได้มากกว่า 100 ประตู ในเมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ มีทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในโลก
เมื่อกลับย้อนมาที่เชลซีอีกครั้งในฤดูกาล 2013-14
ตอนนั้นเชลซีมีศูนย์หน้าราคา 50 ล้านปอนด์ อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส ซึ่งถูกวิญญาณสากกะเบือเข้าสิงร่างอยู่พอดี
ขณะที่กองหน้าอีกคนอย่าง เดมบา บา ก็ผีเข้าผีออก แดนกลางก็มีแต่ผู้เล่นเดิมๆ ที่หลงเหลือมาจากฤดูกาลก่อน
ฤดูกาลแรกที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาสแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซีจึงประสบความไม่สำเร็จ สาเหตุหนึ่งเพราะไม่มีกองหน้าที่มีความมหาประลัยนี่แหละ
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมกุนซือจอมโอหังถึงเคยขอซื้อ เวย์น รูนี่ย์ (ตอนนั้นยังเป็นดาวเตะพันธุ์หมูเดือด) จากแมนฯ ยูไนเต็ดถึง 2 ครั้ง 2 ครา ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฏิเสธ
ฤดูกาลต่อมา โชเซ่ มูรินโญ่ จึงเขียนใบสั่งให้หน่วยเหนือไปลากตัวดาวยิงที่มาแรงที่สุดอย่าง ดีเอโก้ คอสต้า มาร่วมทีม รวมถึงตัวเปิดป้อนอย่าง เชส ฟาเบรกาส และมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง เนมานย่า มาติช
วิธีการเล่นของเชลซีในสมัยที่ 2 ของคุณพี่เขาก็ไม่ได้แตกต่างจากสมัยแรกที่คุมทีมสักเท่าไหร่ แต่ ดีเอโก้ คอสต้า กับ เชส ฟาเบรกาส ดันระเบิดฟอร์มสยดสยองออกมาพอดี ก่อนพลพรรคสิงห์บลูส์จะออกสตาร์ตด้วยการเป็นผู้นำและพุ่งเข้าเส้นชัยแบบม้วนเดียวจบจนถูกล้อเลียนว่า "รถบัส" ที่ปราศจากเสน่ห์ ดูก็ไม่สนุก แถมยังน่าเบื่อ ชนิดที่ดูน้องหมาเล่นฟักกลิ้งเลิฟกันยังเมามันกว่า
ต่อเมื่อมาคุมทีมปีศาจแดงในฤดูกาลนี้
เราเห็นภาพชัดเจนเลยนะครับว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ยังคงใช้วิธีเดิมของตัวเองที่เคยประสบความสำเร็จนั่นแหละ คือใช้เงินสโมสรซื้อดาวเตะที่ตัวเองต้องการ เพื่อเอามาใส่ในกลยุทธ์และระบบการเล่นที่ตัวเองยึดถือเป็นหลักมาตลอด
นั่นคือเน้นเกมรับให้เหนียวแน่นเอาไว้ก่อน ส่วนการทำประตูก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้เล่นในแผนกเกมรุก
เอริก ไบยี่ ถูกซื้อเข้ามาเพื่อช่วยให้เกมรับมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ปอล ป็อกบา กลายเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดในโลก เพราะเขาต้องการให้มาคุมเกมในแดนกลางของแมนฯ ยูไนเต็ด
กองหน้าคู่บุญ-คู่บวชของเขาอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ถูกชักชวนมาร่วมงานกันอีกครั้งที่นี่
ผ่านไป 7 เกมในพรีเมียร์ลีก ผมยังไม่เห็นอะไรที่เรียกว่า "ทีมเวิร์ก" จากพลพรรคปีศาจแดงสักเท่าไหร่เลยนะครับ
สิ่งที่เห็นคือการถอยไปตั้งรับลึก เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอทีมในวรรณะใกล้เคียงกัน
ยกตัวอย่างเกมกับเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญ
ผู้เล่นของแมนฯ ยูไนเต็ดต่างถอยลงมาคุมโซนในแดนตัวเองพลางปล่อยให้คู่ต่อสู้บุกเข้าหาเป็นระลอก เพื่อรอดักจังหวะแล้วพยายามจู่โจมแบบลอบฆ่า
แต่บังเอิญมันดันเกิดความผิดพลาดในเกมรับขึ้นเสียก่อนจนเป็นเหตุให้เสียไปถึง 2 ประตู แผนการที่วางไว้เลยใช้ไม่ได้ผล ขณะที่เกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ดก็ไม่ได้มีความหลากหลายอะไรมากมาย นอกจากใช้ความสามารถของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช รวมถึงการโยน - โยน - โยน และโยนเข้าไปที่หน้าปากประตูของผู้มาเยือน ด้วยหวังว่า เคลาดิโอ บราโว่ จะแสดงความผิดพลาดอีกสักครั้ง
เกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นไปแบบเนิบๆ นาบๆ ไม่ได้มีสปีดความเร็วอะไรมากมาย เพราะเหมือนต่างคนต่างเล่น และไม่มีทีมเวิร์ก
พอคิดอะไรไม่ออกก็ตะบี้ตะบันโยนยาวให้ศูนย์หน้า
ทีนี้มองเห็นหรือยังล่ะครับว่าทั้งสไตล์การเล่น - วิธีการเล่น และระบบการเล่นของ โชเซ่ มูรินโญ่ และนาทีนี้ ซึ่งตรงกับปี ค.ศ. 2016 มันก็เหมือนเดิมกับเมื่อตอนที่คุมเชลซีสมัยแรก เมื่อปี ค.ศ. 2004 นั่นแหละ คือเน้นเกมรับอย่างรัดกุมเอาไว้ก่อน โดยใส่ผู้เล่นที่มีคุณภาพเข้าไปในระบบเดิมๆ
เชดดดด...เข้! นี่มันมุขเดิมเลยนี่หว่า!!
เพียงแต่ว่ามันเคยประสบความสำเร็จมาตลอด
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นในแผนกเกมรุกจะแผลงฤทธิ์ได้หรือเปล่า แผลงฤทธิ์เหมือนกับที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ดีเอโก้ คอสต้า เคยแผลงมันออกมาอย่างตูมตาม ซึ่งปรากฏว่าดาวเตะปีศาจแดงชุดนี้ โดยเฉพาะพวกดาวเตะใหม่ยังระเบิดฟอร์มกันไม่ค่อยออก
เวย์น รูนี่ย์ หมดสภาพไปแล้วครับ
ปอล ป็อกบา ยังต้องปรับตัวและปรับจังหวะการเล่นจึงสำแดงอิทธิเดชออกมาไม่ได้มากนัก เฮนริค มคิทาร์ยาน ก็มีปัญหายังไม่ค่อยได้ลงไปสับตีนในสนาม ขณะที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ จะหวังพึ่งมากเหมือนตอนที่ยังอยู่ในวัยคะนองไม่ได้
เมื่อผู้เล่นส่วนใหญ่ยังโชว์ฟอร์มกันไม่ค่อยออก ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ดก็เลยไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่
จึงพอจะสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าสิ่งที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังทำอยู่ในตอนนี้มันอาจเป็นเพียงมุขเก่าๆ ที่เคยใช้ได้ผลนั่นแหละ และไอ้ที่เคยใช้ได้ผลเนี่ย มันสามารถตั้งคำถามได้เหมือนกันนะครับว่า...เพราะเขามีลูกทีมที่ดีอยู่แล้วหรือเปล่า (ในเมื่อไปคุมทีมไหนก็มักจะใช้เงินมากมายซื้อผู้เล่นใหม่มารองรับ)
ว่าแล้วผมขอเอาประโยคทิ้งท้ายบทความของคุณ เจเจ บูลล์ มาลงตรงนี้นะครับ
...
โชเซ่ มูรินโญ่ เคยเป็น "เดอะ สเปเชียล วัน" เขาเคยรู้อย่างถ่องแท้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้ทั้งแต้มและโชคชะตาให้มาอยู่เคียงข้างเขา แต่ในเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บางทีกุนซือผู้นี้ก็ควรเริ่มพิจารณาถึงสิ่งใหม่ๆ เช่นกัน
ถ้าเขายังจุดไฟปรารถนาให้ลูกทีมไม่ได้ หรือไม่คิดที่จะลองอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง มันก็ต้องทุ่มเงินเพื่อหานักเตะมาใส่ตามแท็กติกอยู่ร่ำไป
บางที...เขาอาจจะเป็นเพียงแค่โค้ชคนหนึ่งที่เคยชนะก็ต่อเมื่อลูกทีมโชว์ฟอร์มกระฉูดเท่านั้นเอง - เท่านั้นเองจริงๆ
เครดิต siamsport
''มู'' กับมุขเก่าๆ
บทความนี้คนเขียนตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเสียยืดยาวว่า "Is it time for Jose Mourinho to try a new tactical system at Manchester United?"
แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า "มันถึงเวลาที่ โชเซ่ มูรินโญ่ จะลองกลยุทธ์และระบบการเล่นใหม่กับแมนฯ ยูไนเต็ดหรือยัง?"
อืมมมมม...นะ
แค่ชื่อเรื่องก็กวักมือเรียกแขกแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ชื่นชอบในเรื่องของแท็กติกลูกหนัง
ผมอ่านจนจบ ก่อนพบว่ามันน่าสนใจมาก (โดยผู้อ่านสามารถติดตามเรื่องนี้แบบเต็มๆ ได้ในนิตยสาร "แฟนผี" Project ขบวนที่ 154 ที่จะออกตอนกลางเดือนนี้) น่าสนใจจริงๆ แถมทำให้ต้องคิดตามอีกต่างหาก คิดตามว่ามันเป็นจริงอย่างที่เขาวิเคราะห์เอาไว้หรือเปล่า
นักข่าวผู้เขียนบทความนี้ใช้นามปากกาว่า "เจเจ บูลล์" คุณพี่เขานำเอาเลื่อยไฟฟ้ามาผ่าแท็กติกของกุนซือจอมอหังการคนปัจจุบันของแมนฯ ยูไนเต็ดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแบบถึงกึ๋นเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเกมที่แพ้แมนฯ ซิตี้กับวัตฟอร์ด อ่านแล้วก็คล้อยความคิดพอสมควร
คุณพี่เขาบอกว่า โชเซ่ มูรินโญ่ มีวิธีการทำทีมและสไตล์การเล่นที่ค่อนข้างตายตัวอยู่แล้ว นั่นคือให้ความสำคัญกับเกมรับเป็นพิเศษเอาไว้ก่อน กองหลังต้องถอยไปตั้งรับลึกๆ และไม่ลอยขึ้นสูงมาเติมเกมรุกมากเกินไป ทั้งนี้เพื่อป้องกันเกมรุกและเกมสวนกลับของคู่แข่ง เรียกว่าเล่นแบบปลอดภัยไว้ก่อน
ส่วนเกมรุกจะอาศัยจังหวะโต้กลับอย่างฉับพลันเป็นอาวุธ เช่นเดียวกับอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของดาวเตะที่ซื้อมาในราคาแพงนั่นแหละ
ทีมของ "มู" จะไม่เน้นการครองบอล โดยยึดหลักปรัชญาลูกหนังที่ว่าถ้ายิ่งครองบอลมากก็ยิ่งมีโอกาสผิดพลาดมาก
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ผมจะอธิบายเป็นฉากๆ ดังนี้
อันดับแรกลองนึกย้อนกลับไปตอนที่พี่แกเข้ามาคุมเชลซีใหม่ๆ ดูนะครับ ฤดูกาลนั้น (2004-05) กุนซือชาวโปรตุเกสผลาญเงินของ "เสี่ยหมี" โรมัน อบราโมวิช เพื่อซื้อดาวเตะใหม่ไปมากกว่าหนึ่งร้อยล้านปอนด์เลยทีเดียว
ตอนนั้นสไตล์การเล่นแบบมูรินโญ่ยังใหม่สำหรับฟุตบอลอังกฤษที่ส่วนใหญ่จะเดินหน้าเข้าบดบี้กันให้ตายหงส์ตายห่านกันไปข้างหนึ่ง
แต่ฟุตบอลในแบบฉบับของเขามีความเป็นศาสตร์มากกว่าเป็นศิลปะ โดยเน้นผลการแข่งขันที่ตัวเองต้องการมากกว่าความสนุกสนานของท่านผู้ชม
ก่อนเชลซีจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้เขย่าบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก มันเป็นการห้ำหั่นกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ดกับอาร์เซน่อล ที่เล่นเกมรุกบุกแหลกด้วยกันทั้งคู่
โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาทำให้เชลซีเป็นทีมที่เล่นบนความรัดกุม ส่วนจะดูสนุกหรือไม่นั้นมันไม่ใช่เรื่องของเขา เพราะเป้าหมายหลักคือความสำเร็จเท่านั้น
เกมรับของทีมสิงห์บลูส์ ณ ขณะนั้นมีความเหนียวแน่นมาก คู่เซนเตอร์ คือ จอห์น เทอร์รี่ กับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ อีกทั้งยังมีมิดฟิลด์ตัวตัดเกมอย่าง โคล้ด มาเกเลเล่ และ ไมเคิ่ล เอสเซียง
มิเท่านั้นยังมี ปีเตอร์ เช็ก เป็นด่านสุดท้ายอีกต่างหาก
ในส่วนของเกมรุกมีกองหน้าที่ทั้งบึกบึนและปราดเปรียวอย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ขนาบข้างด้วยปีกที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูงอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน กับ เดเมี่ยน ดัฟฟ์ ขณะที่ในแดนกลางก็มีมิดฟิลด์ที่ยิงประตูดีอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เป็นตัวหลัก
เกมรุกของเชลซีไม่ได้มีทีมเวิร์กอะไรมากมาย ไม่ได้แยบยล ไม่ได้ลึกซึ้ง และไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรด้วย โดยเน้นการผ่านบอลไปให้ถึง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ก่อนที่หัวหอกชาวไอวอรี่โคสต์จะใช้ความเป็นผู้เล่นประเภท "แมตช์วินเนอร์" ของตัวเองหาทางทำลายตาข่ายให้มันสิ้นซาก
อนึ่ง "แมตช์วินเนอร์" คือกองหน้าที่มีความครบเครื่อง พลิกบอลไปเองได้ เลี้ยงบอลหรือกระชากบอลไปหาทางถล่มประตูด้วยตัวเองได้ - พุ่งเข้าฮอร์สก็ได้ - ยิงประตูเฉียบคม และใช้จังหวะไม่เปลือง เรียกว่าสามารถชงเองกินเองได้พลางช่วยให้ทีมมีชัยเหนือคู่แข่งด้วยลำแข้งของตัวเองเพียงลำพัง
ทางด้านของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ไม่ใช่ตัวเปิดป้อนหรือปั้นเกม จุดเด่นของนักเตะผู้นี้คือการสอดขึ้นไปกระหน่ำตาข่ายได้บ่อยๆ
โชเซ่ มูรินโญ่ จะเน้นเกมรับให้เหนียวแน่นเอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อมีเกมรับอันยอดเยี่ยม คุณก็แพ้ยาก จากนั้นก็เป็นเรื่องของผู้เล่นในแผนกเกมรุกที่จะไปจัดการกันเอาเอง ซึ่งดาวเตะแต่ละหน่วยที่ถูกฟ่อนธนบัตรของเสี่ยหมีลากเข้ามาล้วนมีคุณภาพสูงอยู่แล้ว มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะยัดเยียดความปราชัยให้คู่แข่ง
เชลซีประสบความสำเร็จเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกันด้วยวิธีการเล่นลักษณะนี้
ทีนี้ลองไปดูที่ตอนที่พี่แกคุมอินเตอร์ มิลานบ้าง
ตอนที่เจ้าของสมญา "เดอะ สเปเชียล วัน" เข้าไปรับงานที่นั่น ทีมงูใหญ่คือมหาอำนาจลูกหนังอิตาลีที่ไม่มีใครทัดทานได้อยู่แล้ว แถมอุดมด้วยดาวดังมากกว่าคู่แข่งทีมอื่นๆ ในลีกเดียวกัน ซึ่ง อินเตอร์ มิลานก็มีศูนย์หน้าที่จัดอยู่ในประเภท "แมตช์วินเนอร์" เหมือนกัน นั่นก็คือ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มกระฉูด นอกจากนี้ยังมีจอมทัพที่ฟอร์มร้อนแรงอย่าง เวสลี่ย์ สไนเดอร์ อีกต่างหาก
ส่วนที่เรอัล มาดริดก็ไม่ต่างจากศูนย์รวมผู้เล่นระดับดาวดังอยู่แล้ว แถมยังมีคู่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์อย่างบาร์เซโลน่าเพียงแค่ทีมเดียว
นอกจากจะคับคั่งด้วยดาวดังแบบล้นทีม ที่สำคัญคือเขายังมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวทีเด็ด
จึงไม่น่าแปลกใจหรอกครับว่าทำไมเรอัล มาดริดถึงคว้าแชมป์ลา ลีกา โดยทำได้มากกว่า 100 ประตู ในเมื่อ โชเซ่ มูรินโญ่ มีทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในโลก
เมื่อกลับย้อนมาที่เชลซีอีกครั้งในฤดูกาล 2013-14
ตอนนั้นเชลซีมีศูนย์หน้าราคา 50 ล้านปอนด์ อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส ซึ่งถูกวิญญาณสากกะเบือเข้าสิงร่างอยู่พอดี
ขณะที่กองหน้าอีกคนอย่าง เดมบา บา ก็ผีเข้าผีออก แดนกลางก็มีแต่ผู้เล่นเดิมๆ ที่หลงเหลือมาจากฤดูกาลก่อน
ฤดูกาลแรกที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาสแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซีจึงประสบความไม่สำเร็จ สาเหตุหนึ่งเพราะไม่มีกองหน้าที่มีความมหาประลัยนี่แหละ
นั่นคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมกุนซือจอมโอหังถึงเคยขอซื้อ เวย์น รูนี่ย์ (ตอนนั้นยังเป็นดาวเตะพันธุ์หมูเดือด) จากแมนฯ ยูไนเต็ดถึง 2 ครั้ง 2 ครา ซึ่งแน่นอนว่าถูกปฏิเสธ
ฤดูกาลต่อมา โชเซ่ มูรินโญ่ จึงเขียนใบสั่งให้หน่วยเหนือไปลากตัวดาวยิงที่มาแรงที่สุดอย่าง ดีเอโก้ คอสต้า มาร่วมทีม รวมถึงตัวเปิดป้อนอย่าง เชส ฟาเบรกาส และมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง เนมานย่า มาติช
วิธีการเล่นของเชลซีในสมัยที่ 2 ของคุณพี่เขาก็ไม่ได้แตกต่างจากสมัยแรกที่คุมทีมสักเท่าไหร่ แต่ ดีเอโก้ คอสต้า กับ เชส ฟาเบรกาส ดันระเบิดฟอร์มสยดสยองออกมาพอดี ก่อนพลพรรคสิงห์บลูส์จะออกสตาร์ตด้วยการเป็นผู้นำและพุ่งเข้าเส้นชัยแบบม้วนเดียวจบจนถูกล้อเลียนว่า "รถบัส" ที่ปราศจากเสน่ห์ ดูก็ไม่สนุก แถมยังน่าเบื่อ ชนิดที่ดูน้องหมาเล่นฟักกลิ้งเลิฟกันยังเมามันกว่า
ต่อเมื่อมาคุมทีมปีศาจแดงในฤดูกาลนี้
เราเห็นภาพชัดเจนเลยนะครับว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ยังคงใช้วิธีเดิมของตัวเองที่เคยประสบความสำเร็จนั่นแหละ คือใช้เงินสโมสรซื้อดาวเตะที่ตัวเองต้องการ เพื่อเอามาใส่ในกลยุทธ์และระบบการเล่นที่ตัวเองยึดถือเป็นหลักมาตลอด
นั่นคือเน้นเกมรับให้เหนียวแน่นเอาไว้ก่อน ส่วนการทำประตูก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้เล่นในแผนกเกมรุก
เอริก ไบยี่ ถูกซื้อเข้ามาเพื่อช่วยให้เกมรับมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ปอล ป็อกบา กลายเป็นผู้เล่นค่าตัวแพงที่สุดในโลก เพราะเขาต้องการให้มาคุมเกมในแดนกลางของแมนฯ ยูไนเต็ด
กองหน้าคู่บุญ-คู่บวชของเขาอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็ถูกชักชวนมาร่วมงานกันอีกครั้งที่นี่
ผ่านไป 7 เกมในพรีเมียร์ลีก ผมยังไม่เห็นอะไรที่เรียกว่า "ทีมเวิร์ก" จากพลพรรคปีศาจแดงสักเท่าไหร่เลยนะครับ
สิ่งที่เห็นคือการถอยไปตั้งรับลึก เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจอทีมในวรรณะใกล้เคียงกัน
ยกตัวอย่างเกมกับเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญ
ผู้เล่นของแมนฯ ยูไนเต็ดต่างถอยลงมาคุมโซนในแดนตัวเองพลางปล่อยให้คู่ต่อสู้บุกเข้าหาเป็นระลอก เพื่อรอดักจังหวะแล้วพยายามจู่โจมแบบลอบฆ่า
แต่บังเอิญมันดันเกิดความผิดพลาดในเกมรับขึ้นเสียก่อนจนเป็นเหตุให้เสียไปถึง 2 ประตู แผนการที่วางไว้เลยใช้ไม่ได้ผล ขณะที่เกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ดก็ไม่ได้มีความหลากหลายอะไรมากมาย นอกจากใช้ความสามารถของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช รวมถึงการโยน - โยน - โยน และโยนเข้าไปที่หน้าปากประตูของผู้มาเยือน ด้วยหวังว่า เคลาดิโอ บราโว่ จะแสดงความผิดพลาดอีกสักครั้ง
เกมรุกของแมนฯ ยูไนเต็ดเป็นไปแบบเนิบๆ นาบๆ ไม่ได้มีสปีดความเร็วอะไรมากมาย เพราะเหมือนต่างคนต่างเล่น และไม่มีทีมเวิร์ก
พอคิดอะไรไม่ออกก็ตะบี้ตะบันโยนยาวให้ศูนย์หน้า
ทีนี้มองเห็นหรือยังล่ะครับว่าทั้งสไตล์การเล่น - วิธีการเล่น และระบบการเล่นของ โชเซ่ มูรินโญ่ และนาทีนี้ ซึ่งตรงกับปี ค.ศ. 2016 มันก็เหมือนเดิมกับเมื่อตอนที่คุมเชลซีสมัยแรก เมื่อปี ค.ศ. 2004 นั่นแหละ คือเน้นเกมรับอย่างรัดกุมเอาไว้ก่อน โดยใส่ผู้เล่นที่มีคุณภาพเข้าไปในระบบเดิมๆ
เชดดดด...เข้! นี่มันมุขเดิมเลยนี่หว่า!!
เพียงแต่ว่ามันเคยประสบความสำเร็จมาตลอด
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นในแผนกเกมรุกจะแผลงฤทธิ์ได้หรือเปล่า แผลงฤทธิ์เหมือนกับที่ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ดีเอโก้ คอสต้า เคยแผลงมันออกมาอย่างตูมตาม ซึ่งปรากฏว่าดาวเตะปีศาจแดงชุดนี้ โดยเฉพาะพวกดาวเตะใหม่ยังระเบิดฟอร์มกันไม่ค่อยออก
เวย์น รูนี่ย์ หมดสภาพไปแล้วครับ
ปอล ป็อกบา ยังต้องปรับตัวและปรับจังหวะการเล่นจึงสำแดงอิทธิเดชออกมาไม่ได้มากนัก เฮนริค มคิทาร์ยาน ก็มีปัญหายังไม่ค่อยได้ลงไปสับตีนในสนาม ขณะที่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ จะหวังพึ่งมากเหมือนตอนที่ยังอยู่ในวัยคะนองไม่ได้
เมื่อผู้เล่นส่วนใหญ่ยังโชว์ฟอร์มกันไม่ค่อยออก ผลงานของแมนฯ ยูไนเต็ดก็เลยไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่
จึงพอจะสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าสิ่งที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กำลังทำอยู่ในตอนนี้มันอาจเป็นเพียงมุขเก่าๆ ที่เคยใช้ได้ผลนั่นแหละ และไอ้ที่เคยใช้ได้ผลเนี่ย มันสามารถตั้งคำถามได้เหมือนกันนะครับว่า...เพราะเขามีลูกทีมที่ดีอยู่แล้วหรือเปล่า (ในเมื่อไปคุมทีมไหนก็มักจะใช้เงินมากมายซื้อผู้เล่นใหม่มารองรับ)
ว่าแล้วผมขอเอาประโยคทิ้งท้ายบทความของคุณ เจเจ บูลล์ มาลงตรงนี้นะครับ
...
โชเซ่ มูรินโญ่ เคยเป็น "เดอะ สเปเชียล วัน" เขาเคยรู้อย่างถ่องแท้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้ทั้งแต้มและโชคชะตาให้มาอยู่เคียงข้างเขา แต่ในเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บางทีกุนซือผู้นี้ก็ควรเริ่มพิจารณาถึงสิ่งใหม่ๆ เช่นกัน
ถ้าเขายังจุดไฟปรารถนาให้ลูกทีมไม่ได้ หรือไม่คิดที่จะลองอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง มันก็ต้องทุ่มเงินเพื่อหานักเตะมาใส่ตามแท็กติกอยู่ร่ำไป
บางที...เขาอาจจะเป็นเพียงแค่โค้ชคนหนึ่งที่เคยชนะก็ต่อเมื่อลูกทีมโชว์ฟอร์มกระฉูดเท่านั้นเอง - เท่านั้นเองจริงๆ
เครดิต siamsport